สายฝนกระหน่ำลงมาไม่ขาดสาย เสียงล้อรถม้าดังกึกก้องบนสะพานหินเก่าที่ทอดตัวข้ามแม่น้ำใหญ่ ม่านน้ำหนาทึบทำให้มองเห็นได้เพียงโครงร่างของรถม้าที่แล่นฝ่าความมืด เมื่อรถเคลื่อนมาถึงกลางสะพาน ร่างหนึ่งพลันกระโจนออกจากตัวรถ ในมือกระชับถังใบหนึ่งแน่น ก่อนจะดิ่งลงสู่สายน้ำเชี่ยวกรากเบื้องล่าง
กระแสน้ำบ้าคลั่งพัดพาร่างนั้นไปตามแรงปะทะ เขาพยายามกระเสือกกระสนว่ายน้ำ มือหนึ่งเกาะถังไว้ราวกับเป็ความหวังสุดท้าย อีกมือพยายามตะเกียกตะกายฝ่าคลื่นน้ำ แต่แรงน้ำที่พัดมาก็รุนแรงเกินกว่าจะต้านทาน ขาข้างหนึ่งไปกระแทกเข้ากับโขดหินใต้น้ำจนกระดูกหัก ความเ็ปแล่นปราดไปทั่วร่าง แต่เขาไม่มีเวลาให้ความสนใจกับมัน สิ่งที่สำคัญที่สุดคือต้องรักษาชีวิตและถังในมือไว้ให้ได้
หลังจากถูกกระแสน้ำพัดพาไปไกล ในที่สุดเขาก็พบจังหวะที่พอจะเกาะตลิ่งได้ ด้วยแรงที่เหลืออยู่น้อยนิด เขาลากร่างขึ้นจากน้ำ กะเผลกด้วยขาที่าเ็ เดินโซซัดโซเซไปตามริมฝั่ง จนมาเจอซากโรงเก็บของเก่าหลังหนึ่ง ผนังไม้ผุพังมีรูโหว่ให้น้ำฝนลอดผ่าน กลิ่นอับชื้นคละคลุ้งไปทั่ว เศษข้าวของพังยับเยินกองอยู่ตามมุมห้อง
โชคดีที่ฝนเริ่มซา แสงจันทร์เต็มดวงลอยเด่นอยู่บนฟ้า ส่องสว่างผ่านช่องหลังคาที่พังทลาย เขาวางถังลงอย่างระมัดระวัง มือสั่นระริกเปิดถังออกและล้วงเข้าไปหยิบกระดาษและผลึกแท่งแหลมออกมา ผลึกใสนั้นมีบางสิ่งแปลกประหลาดอยู่ภายใน เป็เนื้อสมองที่เต็มไปด้วยปากและฟัน เส้นประสาทขดเกลียวพันกันยุ่งเหยิง
เขาอ่านข้อความโดยมีแสงจันทร์ให้ความช่วยเหลือ ทำตามขั้นตอนในกระดาษ หยิบมีดขึ้นมากรีดฝ่ามือ หยดเืลงบนผลึก พลางเปล่งคำภาษาแปลกประหลาดที่เขียนไว้ ผลึกใสค่อยๆ เปลี่ยนเป็สีแดงเข้ม เมื่อพิธีกรรมเสร็จสิ้น เขาล้วงหยิบหลอดแก้วบรรจุยาสีขี้เถ้า เปิดจุกดื่มเข้าไป แล้วคว้าผลึกแหลมแทงเข้าที่หน้าอกตรงตำแหน่งหัวใจ
ความเ็ปแล่นริ้วไปทั่วร่าง ใบหน้าเริ่มบิดเบี้ยว ดวงตาพิการคืบคลานออกมาจากหน้าผาก นิ้วที่หกงอกออกมาจากมือ ปากฉีกแยกออกเป็สองแฉก เขารีบกวาดตามองหาต้นไม้ใกล้ๆ เมื่อพบแล้วจึงใช้ขาข้างที่พอจะเคลื่อนไหวได้ดีดตัว กระแทกหน้าอกเข้ากับลำต้นสุดแรง แรงปะทะทำให้ผลึกจมหายเข้าไปในหัวใจ
ร่างของเขาทรุดลงบนพื้นชื้นแฉะ ความรู้สึกเหมือนมีบางสิ่งพยายามยึดครองจิตใจปรากฏขึ้น เขาต่อสู้กับความบ้าคลั่งภายใน พร้อมกับทนความเ็ปทางกาย เวลาผ่านไป การมองเห็นเริ่มเปลี่ยนแปลง ร่างที่กำลังกลายพันธุ์ค่อยๆ ปรับสภาพกลับเป็มนุษย์ดังเดิม แต่ทุกสิ่งรอบตัวกลับบิดเบี้ยว
ดวงจันทร์บนฟากฟ้ากลายเป็ก้อนเนื้อสมองมหึมา มีเส้นประสาทพันเกลียว ปากที่เต็มไปด้วยลูกตาประหลาดกลอกกลิ้ง ลิ้นยาวนับพันรยางค์เลื้อยไปมาน่าขยะแขยง มันจ้องมองเขาจากเบื้องบน ท้องฟ้าไร้ดวงดาวเปลี่ยนเป็สีแดงฉานดั่งโลหิต
เขาล้มลงกับพื้น ดวงตาค่อยๆ ปิดลง แต่ก่อนที่สติจะดับสิ้นผุดประโยคหนึ่งขึ้นมา
"อ่า...อย่างนี้นี่เอง"
เขาหมดสติไปในที่สุด นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นดินและหญ้าเปียกชื้น ไร้แสงไฟรอบกาย มีเพียงสายลมหนาวเย็นที่พัดผ่านและเสียงใบไม้ไหว คำถามสุดท้ายในห้วงคำนึงก่อนความมืดจะกลืนกินจิตใจ
'ทุกอย่างมันเริ่มขึ้นั้แ่เมื่อไหร่กันนะ กระทั่งมาถึงจุดนี้ได้…'
เมื่อหมดสิ้นสติตื่นรู้ ย้อนไปถึงภาพของวันวาน กลับไปก่อนที่เื่ราวทุกอย่างจะเริ่มต้นขึ้น…
......
เมื่อกลุ่มเมฆสีเทาเข้มก่อตัวกันเป็ม่านหนาทึบ บดบังแสงอาทิตย์ยามบ่ายจนมืดครึ้มไปทั่ว ละอองฝนเริ่มโปรยปรายลงมาเป็สายบนพื้นดินแห้ง ไม่นานนักสายฝนก็กระหน่ำลงมาอย่างหนักหน่วง เม็ดน้ำกระทบพื้นดินที่แห้งผาก ส่งกลิ่นฝุ่นดินชื้นฉุนจมูกไปทั่วบริเวณ พื้นดินอันแข็งกร้าวกลับอ่อนยวบลง กลายเป็แอ่งโคลนเหนียวเหนอะหนะ รองเท้าของผู้คนที่สัญจรไปมาจมลงไปในน้ำขุ่นคล้ำ เดินแต่ละก้าวก็ยากลำบาก ต้องออกแรงดึงขาขึ้นมาส่งเสียงดัง ม้าลากเกวียนก็หันเหเบี่ยงไปตามทางอื่น เพราะล้ออาจติดอยู่ในหล่มโคลนลึกไม่อาจขยับไปไหนได้
ณ ชนบทเล็กๆ แห่งหนึ่งในอาณาจักรไฮเดลิน ตั้งอยู่ห่างไกลจากเมืองหลวงอยู่พอสมควร ขณะนี้กลิ่นอายอันเศร้าสร้อยและน่าหวาดหวั่นได้แผ่กระจายไปทั่วหมู่บ้านที่เต็มไปด้วยกระท่อมไม้และบ้านเรือนที่เรียงรายกัน ชาวบ้านทยอยกันมาที่สุสานหมู่บ้านซึ่งเต็มไปด้วยแอ่งน้ำขุ่นจากสายฝน เพื่อมาร่วมพิธีศพของเหล่าผู้เคราะห์ร้ายที่สิ้นชีวิตลง
หมอกควันสีขาวจากธูปที่จุดไว้หน้าโลงศพทั้งสามลอยขึ้นสูงกลางอากาศ ก่อนจะถูกสายลมและสายฝนพัดกระจายจนเลือนรางไป คนแก่คนเฒ่ายืนหน้าศพ กล่าวคำอธิษฐานและบริกรรมคาถา พากันก้มหน้าก้มตาอย่างรำลึกถึงผู้วายชนม์ เสียงดนตรีแห่งความอาลัยที่บรรเลงเป็จังหวะช้าๆ ประกอบกับท่วงทำนองหม่นหมอง ราวกับบ่งบอกอารมณ์โศกเศร้าที่เข้มข้นขึ้นทุกขณะ เหล่าญาติมิตรต่างพากันสะอื้นร่ำไห้ สีหน้าแต่ละคนหม่นหมองเศร้าสร้อย บางคนเช็ดน้ำตาด้วยผ้า บ้างก็ปล่อยให้น้ำตาไหลริน เสียงสะอื้นเบาๆ ดังประสานกันจนแยกไม่ออก
ท่ามกลางฝูงชนเ่าั้มีบุรุษผู้หนึ่ง นาม ชาร์ลส์ เรเวนส์ครอฟต์ ชายหนุ่มในชุดสีเข้มโทนมืด ใบหน้าคมชัดได้รูป ในตาและสีผมเป็สีน้ำตาลเข้ม อายุประมาณยี่สิบกลางๆ ยืนมองดูพิธีกรรมด้วยสีหน้าเรียบเฉย แต่ในใจกลับสงสัยใคร่รู้อย่างยิ่งถึงเหตุการณ์ประหลาดที่กำลังเกิดขึ้นในหมู่บ้านแห่งนี้
เขาไม่ใช่คนของหมู่บ้านนี้ั้แ่แรก ชาร์ลส์ มาที่นี่ด้วยคำขอร้องของ เอ็ดมันด์ ผู้มีฐานะผู้หนึ่งของหมู่บ้านที่จ้างวานให้เขาตามหาสร้อยอัญมณีอันล้ำค่าที่หายไป ถึงแม้เอ็ดมันด์จะสามารถซื้อสร้อยคอเส้นใหม่ได้ตลอด แต่สร้อยเส้นนี้กลับเป็มรดกตกทอดของครอบครัว มันจึงมีคุณค่าทางใจสำหรับเอ็ดมันด์อย่างมาก
ก่อนที่ชาร์ลส์ จะมาถึงหมู่บ้าน เอ็ดมันด์ได้ไปว่าจ้างสมาคมรับจ้างในเมืองหลวงให้ช่วยตามหาสร้อยมรดกอันมีค่ายิ่งที่หายไป โดยไม่กล้าขอความร่วมมือจากผู้คนในหมู่บ้านเพราะไม่มั่นใจว่าจะไว้วางใจได้เพียงใด เนื่องจากชาวบ้านเสียชีวิตอย่างปริศนาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เอ็ดมันด์ไม่กล้าไว้ใจใครในการช่วยตามหา ประกอบกับมีพวกหัวขโมยที่ฉวยโอกาสจากความวุ่นวายอีกด้วย เขาจึงจ้างนักสืบจากสมาคมรับจ้างในเมืองหลวงให้มาช่วย
เมื่อเอ็ดมันด์ไปติดต่อกับสมาคม พนักงานแนะนำนักสืบฝีมือดีให้หนึ่งคน คือ ชาร์ลส์ เรเวนส์ครอฟต์ เรียกว่าเป็นักสืบที่ไขปริศนามามากต่อมากแล้ว
เอ็ดมันด์ยังสงสัยว่าทำไมแค่ตามหาของหายถึงต้องส่งนักสืบฝีมือระดับนี้มาด้วย พนักงานอธิบายว่าสมาชิกคนอื่นๆ กำลังติดรับงานอื่น ส่วนชาร์ลส์ บังเอิญอยู่ที่สมาคมพอดี เธอจึงแนะนำไป
ด้วยความร้อนใจที่อยากได้สร้อยคืนโดยเร็ว เอ็ดมันด์จึงตอบตกลง พนักงานก็พาชาร์ลส์ ชายหนุ่มผมน้ำตาลที่กำลังเหม่อมองกระดานประกาศงานอยู่เข้ามาพบ แล้วแนะนำตัวอย่างเป็ทางการ
เอ็ดมันด์มองชายหนุ่มด้วยสายตาเคลือบแคลงใจ เพราะดูเหมือนเด็กหนุ่มอายุราวยี่สิบกลางๆ ผู้นี้จะไม่น่าไว้วางใจได้เท่าไร แต่เพราะคำพูดของพนักงานทำให้เขายอมตกลง
ในท้ายที่สุด เอ็ดมันด์จ้างชาร์ลส์ ด้วยค่าจ้างถึงแปดสิบครูเซโด ซึ่งเทียบเท่ากับรายได้เฉลี่ยราวสองถึงสามเดือนของชาวนา พร้อมรับรองค่าอาหาร ที่พัก และค่าเดินทางเท่าที่จำเป็ระหว่างทำงาน ชาร์ลส์ไม่รีรอที่จะตอบตกลง ทั้งสองลงลายมือชื่อในสัญญาและออกเดินทางมาหมู่บ้านนี้ทันที แต่นั่นกลับทำให้เอ็ดมันด์ยิ่งสงสัยว่านักสืบหนุ่มผู้นี้จะมีฝีมือจริงๆ หรือไม่
แต่ข้อสงสัยนั้นก็ถูกขจัดออกไปจนหมดสิ้น เมื่อชาร์ลส์ได้แสดงความสามารถให้เห็นอย่างน่าทึ่ง เขาตามหาสร้อยที่หายไปจนเจอในเวลาอันรวดเร็ว ปรากฏว่าสร้อยถูกขโมยไปใน่ที่หมู่บ้านเกิดความระส่ำระสาย เป็ฝีมือของพวกหัวขโมยที่ฉวยโอกาสใน่เวลาแห่งความวุ่นวาย ในท้ายที่สุด ชาร์ลส์ก็สามารถจัดการกับพวกโจรได้อย่างราบคาบ และนำตัวพวกมันไปมอบให้เ้าหน้าที่พร้อมกับนำสร้อยมาคืนเ้าของเดิมได้สำเร็จ
แต่ในระหว่างการสืบสวนนั้น ความลึกลับของการตายปริศนาได้ดึงดูดความสนใจของชาร์ลส์ เขาจึงตัดสินใจที่จะอยู่ต่อเพื่อสืบหาความจริงว่าเกิดอะไรขึ้นกับหมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้กันแน่
ผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่เป็ชาวนา ก่อนเสียชีวิตพวกเขามีอาการคลุ้มคลั่งเสียสติ บางคนมีอาการชักกระตุก บางคนก็มีอาการปวดแสบปวดร้อนตามร่างกาย และเมื่อเวลาผ่านไป คนที่มีอาการเ่าั้ก็ล้มตายลง ในสภาพที่สีผิวซีดเผือด นิ้วมือนิ้วเท้ามีสีคล้ำจนเกือบดำราวกับถูกไฟไหม้ ทำให้ชาวบ้านเชื่อว่าเป็ฝีมือของแม่มด หรือภูตผีปีศาจ
ท่ามกลางบรรยากาศอันโศกเศร้าของงานศพ ขณะที่โลงไม้โลงสุดท้ายกำลังถูกหย่อนลงหลุม ก็มีเสียงประหลาดดังออกมา คล้ายกับเสียงคนเคาะแผ่นไม้จากด้านในของโลงศพ ทันทีที่เสียงภายในโลงดังขึ้น เหล่าชายฉกรรจ์ที่กำลังแบกโลงอยู่ต่างปล่อยมือจากโลงด้วยความใ โลงไม้ร่วงหล่นลงไปกระแทกกับก้นหลุมอย่างแรง ทำให้ฝาลงเปิดออก ผู้คนต่างใวิ่งหนีกันกระเจิดกระเจิงเมื่อเห็นร่างไร้ิญญากลิ้งหลุดออกมาจากโลง แม้แต่ญาติของผู้ตายเองก็ไม่มีข้อยกเว้น ทุกสายตาจับจ้องอย่างไม่กล้าขยับเขยื้อน บางคนขนลุกซู่ตัวสั่นเทิ้ม
บรรยากาศในงานพิธีเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและเงียบงัน ทุกคนที่มาร่วมงานต่างเว้นระยะห่างจากร่างที่หล่นออกมา ล้อมวงกันเป็วงกลมโดยมีร่างนั้นเป็ศูนย์กลาง บวกกับสภาพอากาศที่มีเมฆเทาปกคลุมเต็มท้องฟ้าบดบังแสงตะวัน ช่างสร้างความน่ากลัวและเย็นะเืให้ผู้ที่มาร่วมงานได้อย่างดี
แต่แล้วก็มีเสียงะโของชายหนุ่มก็ดังขึ้น ตัดผ่านความเงียบงันไปทั่วพื้นที่
"เกิดเื่แล้ว! พบศพอีกแล้ว!" เขาวิ่งหน้าตื่นตูมเข้ามา กางแขนโบกไปมาอย่างร้อนรน
ผู้คนต่างพากันหันไปมองอย่างตกอกใ ความหวาดกลัวยิ่งทวีคูณ บ้างกระซิบถามไถ่ บ้างยืนตะลึงงัน สับสนไปหมด
"ตาย...อีกแล้วเหรอ ใครกัน?" เอ็ดมันด์โพล่งถาม
"ไม่รู้เหมือนกัน สภาพมันน่ากลัวมาก ผมไม่กล้ามอง เลยรีบวิ่งออกมาก่อน" ชายหนุ่มตอบพลางหอบหายใจ เหงื่อท่วมกายทั้งที่อากาศยังคงเย็น
"พบที่ไหน?" ชาร์ลส์ รีบถามด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด
"ในป่าใกล้ๆ หมู่บ้านนี่เอง" ชายหนุ่มชี้มือไปทางทิศเหนือ ที่มีแนวป่ารกทึบตั้งตระหง่านอยู่ไม่ไกลนัก เห็นเป็เงาดำทะมึน
ชาร์ลส์ ผงกหัวแล้วกำลังจะเดินนำไป แต่กลับต้องหยุดชะงักไปก่อน เมื่อนึกได้ว่าเขาไม่รู้จักเส้นทางและไม่รู้ว่าศพอยู่ส่วนไหนของป่า เขาหันกลับไปหาชายหนุ่มที่วิ่งมาแจ้งข่าว "ขอคนนำทางหน่อยได้ไหม"
ชายหนุ่มนั้นรีบยกมือขึ้น "ทางนี้"
กลุ่มชาวบ้านรีบเดินตามออกไปอย่างร้อนรน ต้องคอยระวังก้าวเดินเป็พิเศษ เพราะพื้นดินลื่นเป็โคลนตม รองเท้าเปื้อนเลอะไปด้วยสิ่งสกปรก ดึงขาออกจากโคลนได้ยากเย็น เหมือนมีอะไรกำลังดูดรั้งเอาไว้
หมู่ไม้ในป่ารกครึ้มอึมครึม พื้นดินชุ่มน้ำขังเป็แอ่ง เต็มไปด้วยพุ่มไม้และกิ่งก้านที่ถูกลมกระชากหักโค่นลงกองระเกะระกะ แสงสลัวส่องลอดผ่านกิ่งใบลงมานิดหน่อย ทำให้บรรยากาศขมุกขมัวเหมือนยามเย็น หมอกควันสีขาวจางลอยคว้างอยู่กลางอากาศ ซากใบไม้ผุๆ ส่งเสียงเบาๆ
เมื่อกลุ่มของชาร์ลส์ มาถึง ก็ได้พบกับเหล่าทหารพิทักษ์เมืองและชายฉกรรจ์อีกกลุ่มหนึ่งรออยู่นอกป่า เนื่องจากหมู่บ้านแห่งนี้เป็หมู่บ้านเล็กๆ เ้าหน้าที่ที่ประจำการอยู่จึงมีไม่มากนัก เวลาเกิดเื่ใหญ่ก็อาจจะต้องขอแรงจากชายฉกรรจ์ในหมู่บ้านมาช่วย
ทุกคนเดินไปเงียบๆ มีเพียงเสียงกิ่งไม้ยอดหญ้าแตกหักใต้รองเท้า ทุกคนละแวกระวังเนื่องจากหวาดกลัวในสิ่งที่จะเห็น ชาร์ลส์เองก็ใจเต้นระส่ำ คาดเดาไม่ถูกว่าจะต้องเผชิญกับอะไรบ้าง
เมื่อมาถึงโคนต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ชายหนุ่มที่นำทางชะงักเท้ากึก สีหน้าถอดถอนเมื่อมองไปยังพงหญ้าด้านหลังลำต้น เขากลืนน้ำลายดัง ก่อนจะค่อยๆ ชี้นิ้วสั่นเทาไปข้างหน้า เหล่าทหารและชาวบ้านต่างพากันมองตาม ก่อนจะอุทานออกมาอย่างใ
ภาพเบื้องหน้าที่พวกเขาเห็นนั้นช่างน่าสยดสยองยิ่งนัก ร่างของชายคนหนึ่งนอนจมกองเื เนื้อตัวถูกสุนัขป่าสามตัวรุมกัดกิน พวกทหารพิทักษ์เมืองไม่รอช้า รีบชักปืนออกมายิงไล่หมาป่าจนวิ่งหนีกระเจิงไปแต่ละทิศละทาง ก่อนจะเข้าไปดูศพอย่างระมัดระวัง พลางคอยหันมองไปรอบๆ บรรจุดินปืนและะุใหม่ ระแวดระวังภัยที่อาจจะเกิดขึ้นอีก
สภาพศพนั้นเรียกได้ว่าดูน่าสยดสยองอย่างมาก เสื้อผ้าขาดวิ่งเปรอะเปื้อนเต็มไปด้วยเื แขนขาบิดเบี้ยวอย่างผิดธรรมชาติ ตรง่ท้องด้านข้างถูกแทะจนเห็นเครื่องใน แต่ในส่วนอื่นนั้นยังไม่เสียหายมากนัก คาดว่าหมาป่าอาจพึ่งมาได้ไม่นาน แต่สภาพศพไม่ได้มีเพียงแค่นั้น มันยังมีส่วนที่คล้ายกับชาวนาที่ตายไปก่อนหน้านี้ คือสีผิวซีดเผือด มีแผลพุพองตามร่างกาย ปลายนิ้วมือนิ้วเท้ามีสีคล้ำเหมือนไฟไหม้
เมื่อสภาพศพประจักษ์สุดสายตาของทุกคนจนครบถ้วน เสียงคำพูดร้องดังออกมาห้อมล้อมกลุ่ม บางคนสันนิษฐานไปว่าอาจเป็ฝีมือของแม่มดที่สาปแช่งหมู่บ้านแห่งนี้อยู่ เนื่องจากที่เห็นรอยสีดำที่ปรากฏอยู่บนนิ้วมือนิ้วเท้า แต่ความโกลาหลที่เพิ่งเริ่มขึ้นกลับถูกสยบลงด้วยเหล่าทหารพิทักษ์เมืองที่มาด้วยกัน
"โท...โทมัส?!?"เอ็ดมันด์กลับอุทานออกมาอย่างใ
ชื่อนั้นทำให้ชาร์ลส์ หันไปถามทันควัน "เขาเป็ใคร?"
"เขาเป็ลูกของอดีตเพื่อนร่วมรบของผมเอง เ้าโทมัสนี่มีนิสัยชอบยืมเงินชาวบ้านไปเล่นพนัน แต่ไม่ยอมใช้คืน เลยไม่ค่อยมีใครชอบขี้หน้าเขามากนัก" เอ็ดมันด์ถอนหายใจเฮือกใหญ่พลางส่ายหน้าเบาๆ
ชาร์ลส์พยักหน้ารับฟังแต่ไม่ได้ถามอะไรต่อ
ชาวบ้านทุกคนช่วยกันแบกศพอันน่าสยดสยองนั้นกลับเข้าหมู่บ้าน เพื่อนำไปไว้ในโบสถ์รอการตรวจพิสูจน์ของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่จะเดินทางมาจากเมืองในวันพรุ่งนี้ เนื่องจากที่นี่ไม่มีใครมีความรู้ด้านนิติเวชเลย
ระหว่างที่กำลังเดินทางกลับ ชาร์ลส์ เริ่มได้ยินเสียงพึมพำของชาวบ้านที่ร่วมเดินทางมาด้วยกัน
"อีกแล้ว... นี่มันศพที่สี่ที่แล้วนะ"
"ใช่ หมู่บ้านเราต้องถูกสาปแน่ๆ"
"เงียบๆ หน่อย กลัวว่าแม่มดจะแอบฟังอยู่ก็ไม่รู้"
คำพูดของคนพวกนั้นทำให้ชาร์ลส์ใคร่ครวญ เขาอดคิดไม่ได้ว่ากำลังเผชิญกับเหตุการณ์อันน่าพิศวงเพียงใด และยังมีเงื่อนงำอีกมากที่ต้องไขให้กระจ่างแจ้ง
ในคืนนั้นชาร์ลส์ จำใจต้องรบกวนขออาศัยบ้านของเอ็ดมันด์เป็ที่พักต่ออีกสักระยะ เพื่อสะดวกในการสืบหาความจริงต่อไป ชาร์ลส์พักอยู่ในบ้านหลังเดียวกับเอ็ดมันด์และลูกชายของเขา ในบ้านหลังคาไม้ชั้นเดียวที่ภรรยาได้จากไปนานแล้ว
ขณะที่กำลังรับประทานอาหารมื้อเย็นร่วมกัน ชาร์ลส์ เอ่ยปากขอโทษเอ็ดมันด์ที่ต้องมารบกวนพักอาศัยต่อ เพราะอยากอยู่สืบคดีประหลาดนี้ต่อไปอีกสักระยะ เอ็ดมันด์ไม่ถือสาเพราะเห็นว่าชาร์ลส์ ก็ช่วยตามหาสร้อยมรดกคืนมาให้แล้ว
ภายในห้องรับประทานอาหารที่ไว้ต้อนรับแขกผู้มาเยือนนั้นมีเพียงแสงเทียนดวงน้อยแต่ให้ความรู้สึกอบอุ่น ชาร์ลส์และเอ็ดมันด์นั่งเผชิญหน้ากัน ต่างคนก็ครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ขณะที่กำลังรับประทานไก่อบเครื่องเทศและซุปผักใบเขียวร่วมกัน ชาร์ลส์ถือโอกาสถามไถ่เกี่ยวกับโทมัส "เอ็ดมันด์ผมมีเื่จะคุยกับคุณหน่อย คนที่ตายอยู่ในป่าเหมือนคุณจะรู้จักชายคนนั้นนะ"
มือที่หยิบขาไก่อบเครื่องเทศที่กำลังเข้าปากของเอ็ดมันด์นิ่งค้างกลางอากาศ พร้อมปากที่อ้าค้างไว้เตรียมจะรับ เขาหันหน้าไปหาลูกชายที่อยู่ด้านข้างก่อนหันสายตากลับมามองที่เขา "ผมขอพูดคุยหลังกินอาหารเสร็จได้ไหม?"
ชาร์ลส์หันสายตาตามเอ็ดมันด์ไปจ้องมองเด็กที่อยู่ตรงหน้า เขารู้ตัวแล้วว่าเขาอาจจะถือวิสาสะเกินมากไปหน่อย และอาจเป็เวลาที่ไม่เหมาะสมที่จะถามคำถามพวกนี้ "ต้องขออภัยด้วย"
หลังมื้ออาหารชาร์ลส์ นั่งอยู่ในห้องรับแขก โดยมีเอ็ดมันด์นั่งอยู่ตรงข้าม บรรยากาศระหว่างพวกเขาสองคนนั้นเงียบสงบ แสงสว่างเพียงหนึ่งเดียวในห้องคือเทียนหนึ่งเล่มที่วางอยู่บนโต๊ะ พร้อมกับเสียงฝนตกที่กระทบผิวดินและหลังคา
"ชายที่คุณเรียกเขาว่าโทมัส คุณรู้จักเขาดีแค่ไหน" ชาร์ลส์ เปิดประเด็นคำถามโดยไม่อ้อมค้อม
"ผมรู้จักเขามานาน เขาเป็ลูกชายของเพื่อนผมที่เคยร่วมรบมาด้วยกัน แต่ถึงเขาจะเป็ลูกชายของเพื่อนแต่ผมก็ห่างเหินกับเขามานานแล้ว" เอ็ดมันด์ถอนหายใจออกมา
"คุณบอกว่าเขามีนิสัยชอบยืมเงิน คุณเคยให้เขายืมเงินไปบ้างหรือเปล่า"
"ครั้งหนึ่ง เขามาขอยืมเงินผมเป็จำนวนหนึ่งร้อยครูเซโดเพื่อจะเอาไปลงทุน แต่ผมมารู้ทีหลังว่าเขาเอาไปเล่นพนันจนหมดเกลี้ยง พอผมจะไปทวงคืนก็โดนต่อว่า และโดนขู่ทำร้ายถ้าผมยังตามตื๊อเขาอีก นั่นจึงเป็ครั้งสุดท้ายที่ผมไปหาเขา"
"เขาติดหนี้มากมายขนาดนั้นเลยหรือ"
"ก็เท่าที่ผมจำได้ เขาติดหนี้คนที่รู้จักเกือบจะทั้งหมด และไม่ยอมคืนเลยสักคน ส่วนคนที่เขาน่าจะติดเงินมากที่สุด ก็น่าจะเป็ เรจินัลด์ ไวน์ยาร์ดส์ ที่เป็คู่หมั้นของอดีตภรรยาของผู้ใหญ่บ้านที่ตายไป"
"อย่างนี้นี่เอง" ชาร์ลส์ เลื่อนสายตามองต่ำครุ่นคิดบางอย่างอยู่ในหัว
เอ็ดมันด์อดสงสัยไม่ได้ "คุณถามเื่พวกนี้ไปทำไมกัน?"
ชาร์ลส์ สบตาคู่สนทนา "ผมแค่อยากรู้ว่าทำไมโทมัสถึงได้ไปอยู่กลางป่า และตายได้อย่างไรน่ะสิ"
"อืม… ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน เพราะไม่ได้ติดต่อกับเขามานานแล้ว บางทีเ้าหนุ่มนั้นอาจไปทำอะไรน่าสงสัย แล้วถูกแม่มดในป่าจับได้ เลยโดนสาปให้ตายอย่างทรมานก็ได้" เอ็ดมันด์เดาไปงั้นๆ
ชาร์ลส์ เลิกคิ้วประหลาดใจ "คุณก็เชื่อเื่แม่มดกับคำสาปหรือ?"
"ก่อนหน้านี้ผมไม่เคยเชื่อเื่พวกนี้เลย แต่หลังจากที่ได้เห็นกับตาถึงศพที่ตายอย่างประหลาดหลายรายแบบนั้น ผมเริ่มคิดไปแล้วละว่ามันต้องมีอะไรเกี่ยวข้องแน่ๆ" เอ็ดมันด์กอดอกถอนหายใจ ก่อนจะหันไปมองนอกหน้าต่าง ราวกับจะมองหาคำตอบจากความมืดมิด
"พรุ่งนี้พอหมอจากเมืองหลวงมาถึง พวกเราคงได้รู้กันแล้วว่าความจริงเป็อย่างไร" ชาร์ลส์ พูดด้วยน้ำเสียงแน่วแน่ ดวงตาทอประกายวาววับเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น
"ผมก็หวังแบบนั้น..." เอ็ดมันด์พูดเบาๆ ริมฝีปากเหยียดเป็รอยยิ้มจางๆ แต่สายตายังคงเต็มไปด้วยความหวาดหวั่นกับสิ่งที่จะเกิด
ท้ายที่สุดชาร์ลส์ ได้แต่หวังว่าพรุ่งนี้เมื่อหมอจากเมืองหลวงมาถึง คงจะได้คำตอบที่แท้จริงว่าเกิดอะไรขึ้นกับหมู่บ้านแห่งนี้กันแน่
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้