บทที่ 37 อานุภาพของพลังยุทธ์ขั้นเกิดเทพเ้า
อีกด้านหนึ่ง ข้างกายของผู้รอบรู้เสวียนกู่เป็สตรีผู้งดงามแสนหยาดเยิ้ม วัยเพียงยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปดปี สวมใส่อาภรณ์สีม่วงอ่อนอวดรูปร่างส่วนเว้าส่วนโค้ง ภาพนั้นดูสูงส่งและลึกลับไปพร้อมกัน นางขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อยในเวลานี้ บนใบหน้างดงามมีร่องรอยของความกังวลปรากฏขึ้น แต่กลับยิ่งดูมีเสน่ห์ไม่น้อย
“จือเยียน เ้าใช้ ‘เคล็ดวิชาจับิญญาหยินหยาง’ ของเ้าจัดการกับเด็กหนุ่มตระกูลลู่ผู้นั้นได้อย่างแน่นอน ถึงเวลานั้นหากอยากได้ยาอายุวัฒนะนั่น หรือสิ่งใดที่้าก็จะได้ตามนั้น เ้ายังกลัวว่าเด็กนั่นจะไม่เชื่อฟังอีกหรือ?” มีเสียงพูดจาหยอกล้อของอีกคนดังขึ้น ด้านหลังของคนทั้งสาม มีชายวัยกลางคนผู้หนึ่งที่แลดูมีความรู้คล้ายบัณฑิต ทว่ากลับดูยากจนกำลังพิงต้นสนที่หนาเท่าปากชามต้นหนึ่ง มองสตรีนามว่าจือเยียนด้วยสายตาเ็า
“จางเหวินปิน เหตุผลที่เรามารวมตัวกันในครั้งนี้ ก็เพื่อวางกลอุบายให้ได้ยามหัศจรรย์ทำลายล้างเจ็ดดาวมา ไม่ใช่เพื่อสร้างโอกาสให้พวกเ้าได้มาแก้ไขข้อพิพาทความรักกัน เช่นนั้นแล้วคงจะดีไม่น้อย หากเ้าไม่หาเื่พูดจาประชดประชันเทพธิดาจือเยียนไม่จบไม่สิ้น การกระทำนี้ทำให้บุรุษเช่นเ้าดูใจแคบ และเห็นแก่ตัวนัก!” ชายวัยกลางคนในชุดขาวดูเ็าชะงักไปวูบหนึ่ง แล้วพูดต่ออย่างไม่เกรงใจว่า “นิสัยเช่นเ้า ข้านึกสงสัยเสียจริงว่าเ้าฝึกฝนมาถึงขั้นพลังยุทธ์นี้ได้อย่างไร!”
“ข้าฝึกฝนมาจนถึงขั้นพลังยุทธ์นี้ได้อย่างไร มันเกี่ยวอะไรกับเ้าด้วย ‘จัวชิงเฟิง’ หรือหากเ้าไม่พอใจ เช่นนั้นอยากลองลิ้มรสความคมของ ‘มีดตัดสัมพันธ์’ จากข้าหรือไม่เล่า!” ชายหนุ่มวัยกลางคนผู้มีความรู้กล่าวออกมาด้วยสีหน้าบึ้งตึง
“เ้าทำอย่างกับว่าข้ากลัวเ้า หากไม่ใช่…”
“เอาละ เื่อื่นเอาไว้ก่อน ดูเหมือนว่าครั้งนี้จะอาศัยเพียงพลังยุทธ์และฝีมือ เพื่อแย่งชิงของมาไม่ได้แล้ว มีจอมเทพไท่เสวียนอยู่เช่นนี้คงยาก นอกเสียจากว่าเป็ท่านปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ ที่ชอบทำตัวลึกลับ ไม่ชอบเปิดเผยตัวตนเ่าั้จะลงมือเอง มิเช่นนั้นใครไปก็เสียเปล่า อีกอย่าง ในเมื่อใช้ไม้แข็งไม่ได้ เช่นนั้นก็จงใช้ไม้อ่อน ลู่อวี่ผู้นี้ไม่ใช่คนปรุงโอสถขั้นห้าหรอกหรือ? แม้ว่าตระกูลลู่จะเป็เ้าของกิจการ แต่หากเป็ยาวิเศษที่ล้ำค่าก็คงมีเก็บสะสมไว้ไม่มากนัก หากพวกเราเกิดรวบรวมวัตถุดิบยามหัศจรรย์ทำลายล้างเจ็ดดาวได้ครบ จนปรุงยาได้เตาหนึ่ง และจัดเตรียมยาวิเศษอื่นๆ ไว้บางส่วนได้ บางทีตระกูลลู่อาจจะไว้หน้ากันอยู่สักส่วน” ผู้รอบรู้เสวียนกู่เฝ้าดูกระสวยสีเงินที่ลู่อวี่และคนอื่นๆ นั่งอยู่ห่างไกลออกไป พลางพูดขึ้นมาช้าๆ ด้วยความไม่แน่ใจ
เทพธิดาจือเยียนถอนหายใจเบาๆ พร้อมกับกล่าวว่า “นี่เป็ความเศร้าโศกอย่างถึงที่สุดของนักพรตสันโดษเช่นเรา ไม่มีการสืบทอดต่อไม่ว่า พวกเราล้วนเสาะหากันเอง ฝึกกันเองได้ หรือจะสร้างกันขึ้นมาเองก็ย่อมได้ แต่เื่ปรุงโอสถหลอมอาวุธเหล่านี้ นับว่ายากแสนยากเสียจริง ถึงแม้จะมีวัตถุดิบและสืบทอดต่อกันมาไม่น้อย หากคิดจะค้นคว้าด้วยตนเอง เพื่อให้กลายเป็คนปรุงโอสถผู้หนึ่งนั้น นับว่ายากเหมือนหาหนทางขึ้น์ อย่าว่าแต่กลายมาเป็คนปรุงโอสถขั้นห้าผู้หนึ่ง? ลู่อวี่ผู้นี้ถือว่าเป็ผู้มีพร์ ฉลาดหลักแหลม มีไหวพริบ ถึงได้เป็คนปรุงโอสถั้แ่อายุยังน้อย มิน่าเล่า คนจากเขาหนิงชุยเฟิงถึงได้หวาดกลัวเขาเช่นนี้ แล้วเหตุใดก่อนหน้านั้นถึงไม่คิดจะให้เขาอยู่ฝึกฝนต่อ หากข้ารู้เื่นี้มาก่อน ตอนนี้คงไม่ต้องยุ่งยากกันเช่นนี้!”
เดิมทีผู้รอบรู้เสวียนกู่ยังรู้สึกแย่ไม่น้อย แต่เมื่อได้ยินที่เทพธิดาจือเยียนพูดในเวลานี้ ก็พลันหัวเราะและพูดอย่างไม่พอใจ “พูดเื่ไร้สาระอยู่หรือ ลู่อวี่ผู้นั้นจู่ๆ ก็กลายมาเป็คนปรุงโอสถขั้นห้าได้ มันใช่เื่ที่คนตัวเล็กๆ จะรับได้ง่ายๆ หรืออย่างไร? คนเช่นนี้ฉลาดเฉียบแหลม ต้องเป็คนที่รับมือด้วยยากยิ่ง! เขาปกปิดตัวตนมานานหลายปีเช่นนี้ ก็เพื่อซ่อนเร้นความสามารถ และถึงขั้นแสร้งทำเป็คนเสเพลเ้าสำราญ ยอมเป็คนไร้ค่าอันดับหนึ่งในเทียนตู หากเ้าได้พบเขาก่อนหน้านี้ เขาคงได้ตายด้วยคมกระบี่ของเ้าไปนานแล้ว ยังจะได้เป็สหายกันอีกหรือ? ฮ่าฮ่า!”
ผู้รอบรู้เสวียนกู่พูดมาถึงตรงนี้ก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ แม้แต่ชายชุดขาวจัวชิงเฟิงยังพลอยหัวเราะตามไปด้วย มีเพียงชายหนุ่มวัยกลางคนท่าทางคล้ายบัณฑิตผู้มีความรู้ที่ยังคงทำหน้าเช่นเดิม แต่ั์ตากลับอ่อนแสงลงไม่น้อย
เทพธิดาจือเยียนถูกสองคนนี้หัวเราะเยาะ ก็ไม่นึกโกรธ กลับพูดเพียงว่า “มีอะไรน่าตลก? แปลกคนจริงเชียว!” ทว่าใบหน้ากลับแดงระเรื่อขึ้นมาเล็กน้อย
“เป็อย่างไรบ้าง? ยังมีคนสะกดรอยตามมาอยู่อีกกี่กลุ่มหรือ?” ลู่อวี่ที่นั่งอยู่บนกระสวยสีเงิน ขณะกำลังปรับพลังลมปราณเอ่ยถาม
ตู้เสวียนเฉิงลืมตาขึ้น และตอบว่า “มีอีกสามพวกไปดักรอที่ด้านหน้าอยู่ก่อนแล้ว ด้านหลังไม่มีคนตามมาแล้ว!”
“อ้อ ไม่ลดละความคิดต่ำช้า ดันทุรังจะทำต่อไปหรือ ดูเหมือนไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา คนพวกนี้คิดว่าข้าอารมณ์ดีนักหรืออย่างไร! ดูเอาเถิด ครั้งหน้าหากใครไม่คิดอยากจะมีชีวิตอยู่แล้ว เชิญท่านผู้เฒ่าตู้ลงมือจัดการได้ ต้องทำให้เ้าพวกคนชอบรนหาที่ตายใเสียบ้าง มายามนี้ข้าไม่มีอารมณ์มาต่อล้อต่อเถียงกับคนพวกนี้แล้ว!” หลังจากที่ลู่อวี่พูดจบ ก็หลับตาลงทำสมาธิเพื่อเข้าฌานฝึกบำเพ็ญเพียร ไม่สนใจสิ่งรอบข้างอีกต่อไป
ตู้เสวียนเฉิงฉีกยิ้มจางๆ พร้อมกับพยักหน้า สำหรับเขาแล้วนั้น การรับมือกับพวกนักพรตพลังยุทธ์ขั้นตงซวน ที่คิดจะมาขโมยยามหัศจรรย์ทำลายล้างเจ็ดดาว ไม่นับว่าเป็อุปสรรคใด จะว่าไปเดิมทีเขาเองก็เป็ถึงยอดฝีมือผู้ยิ่งใหญ่ในขั้นหวนสู่สัจธรรม ถึงแม้พลังยุทธ์ในตอนนี้จะลดขั้นใหญ่ลงมาขั้นหนึ่ง ทว่ากลับสำนึกรู้เคล็ดวิชาและสัจธรรม มีความเข้าใจใช้พลังลัทธิเต๋าและพลังวิเศษได้ ทั้งหมดนี้ไม่ใช่สิ่งที่คนเ่าั้จะสามารถเทียบเคียงได้
และที่นายน้อยตระกูลลู่มีท่าทีเช่นนั้น เป็เพราะเื่นี้ไม่ได้อยู่ในแผนการของเขา
แล้วก็เป็ไปตามที่คาดการณ์ไว้ มีคนเจ็ดคนปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าจริงๆ พวกเขาปิดกั้นเส้นทางของกระสวยสีเงินที่มุ่งไปเบื้องหน้าอย่างกล้าหาญ คนเ่าั้ล้วนแล้วแต่แต่งกายด้วยเสื้อคลุมสีดำมิดชิด ไม่เพียงแต่มองไม่เห็นใบหน้าของพวกเขา แม้แต่จิตััก็ถูกตัดแยกออกจากการตรวจจับด้วย เห็นได้ชัดว่าเตรียมการมาอย่างดี
ตู้เสวียนเฉิงไม่ได้รู้สึกแปลกกับเสื้อคลุมอำพรางนี้ เพราะรู้ดีว่ามันเป็เสื้อคลุมเวทชนิดหนึ่งที่นักพรตระดับสูงหลายคนมักสวมใส่เมื่อต้องติดต่อกัน ซึ่งมันสามารถสกัดกั้นจิตััได้ประเภทหนึ่ง พลังการป้องกันของมันไม่ได้โดดเด่น แต่มีความสามารถในการสกัดกั้นจิตัั ต่อให้เขามีพลังยุทธ์สูงสุด แต่จิตััก็ยากที่จะทำลายความทานทนนั้น หรือตรวจจับหน้าตาของคู่ต่อสู้ได้
คนเหล่านี้สวมชุดนักพรตแบบเดียวกัน เห็นได้ชัดว่าไม่้าเปิดเผยตัวตนที่แท้จริง
ลู่เซียงและคนอื่นๆ ที่กำลังบังคับกระสวยบินอยู่ได้รับคำสั่งนานแล้ว เมื่อเจอกับสถานการณ์เช่นนี้ จึงไม่ตื่นตระหนกแม้แต่น้อย ทำเพียงหยุดการเคลื่อนไหวทั้งหมดแล้วคอยเฝ้าระวังภัย พวกเขาล้วนเป็ยอดฝีมือ่ปลายขั้นพลังจิต ที่ฝึกบำเพ็ญเพียรในตระกูลลู่มานานหลายสิบปี บ้างก็หลายร้อยปี แม้ว่าคุณสมบัติจะไม่ได้ดีอะไรนัก และมีหนทางเพียงเล็กน้อยที่จะบรรลุขั้นพลังยุทธ์ขึ้นมา แต่ยังคงเป็กำลังสำคัญของตระกูลลู่
“เหตุใดพวกท่านถึงได้มาขวางทางเช่นนี้?” ตู้เสวียนเฉิงไม่แม้แต่จะออกจากกระสวยบินด้วยซ้ำ ทำเพียงเอ่ยปากถามเป็มารยาทเท่านั้น แต่เสียงของเขากลับดังกังวานออกไปด้านนอก
ผู้นำของกลุ่มคนทั้งเจ็ดคนหัวเราะเบาๆ ในลำคอด้วยน้ำเสียงแหบแห้งแปลกๆ และในขณะที่กำลังจะพูดอะไรบางอย่างอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงก้องกังวานหนึ่งดังออกมาจากกระสวยบิน
“ท่านผู้เฒ่าตู้ เหตุใดถึงยังเสียเวลาเจรจากับพวกเขาอีก? ข้าให้เวลาพวกเขาสาม่ลมหายใจ รีบออกไปซะ มิเช่นนั้นตาย!”
“ดี เ้าเด็กน้อยหยิ่งผยอง เดิมทีข้าคิดอยากจะไว้ชีวิตเ้า แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าข้าจะเมตตาเ้าเกินไป!” ผู้นำคนเดิมะโด้วยความโกรธเกรี้ยว และเรียกคนทั้งหกที่ยืนอยู่ด้านหลังให้ออกมาและกล่าวว่า “บุกเข้าไปพร้อมกัน! จัดการพวกมันให้สิ้นซาก ยามหัศจรรย์ทำลายล้างเจ็ดดาวทั้งหมดนั่น พวกข้าขอคนละเม็ดเป็พอ!”
คนทั้งหกด้านหลังก็พลันโกรธขึ้นมา เพราะคำพูดของลู่อวี่เช่นกัน และทันทีที่พลังปราณผันผวน แสงสว่างหลากสีก็พลันส่องแสงเปล่งประกายขึ้น จากนั้นจึงลงมือจัดการทันที
ทว่าทันใดนั้น ทุกคนพลันรู้สึกว่าท้องฟ้าหม่นแสงลง ร่างกายก็พลอยสั่นไหว บริเวณรอบๆ ดูเหมือนจะหยุดชะงักไป และไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ พวกเขาทั้งเจ็ดล้วนเป็ผู้มีประสบการณ์และความรู้ที่กว้างขวาง เมื่อเงยหน้าขึ้นในเวลานี้ ทันใดนั้นดวงตาก็เบิกกว้างขึ้นโดยไม่คาดคิด มีฝ่ามือใหญ่กำลังปกคลุมท้องฟ้าอยู่เหนือพวกเขาทั้งเจ็ด ความรู้สึกถึงภัยอันตรายที่รุนแรง ทำให้ทุกคนกรีดร้องออกมาด้วยความสิ้นหวังโดยไม่รู้ตัว
“ตูม!” ฝ่ามือใหญ่ที่รวบรวมพลังปราณปัดยอดฝีมือผู้ยิ่งใหญ่ทั้งเจ็ดของพลังยุทธ์ขั้นตงซวน จากท้องนภาจมสู่ใต้ผืนพิภพลงไปหลายลี้ บนพื้นดินปรากฏรอยฝ่ามือเด่นชัด การสั่นะเืครั้งใหญ่ทำให้รู้สึกราวกับเกิดเหตุแผ่นดินะเืไปทั่วหล้า
สภาพของยอดฝีมือทั้งเจ็ดของพลังยุทธ์ขั้นตงซวนนั้น พวกเขาถูกบีบอัดจนเละเป็ก้อนเืเนื้อด้วยพลังอันมหาศาลก่อนที่พลังปราณจากฝ่ามือั์จะถึงพื้นเสียอีก เพราะอย่างไรเสียนี่คือการโจมตีของจอมเทพขั้นเกิดเทพเ้า แม้ว่าจะยังไม่เต็มกำลัง แต่การโจมตีอย่างกะทันหันนั้น ทำให้คนเหล่านี้ไร้ช่องว่างและหนทางต้านทาน
ทางด้านหนึ่ง ผียายแก่ตระกูลเมิ่งและเซินหยวนชิงต่างฝ่ายต่างก็นำยอดฝีมือกลุ่มหนึ่งมารวมกัน พวกเขาเ่าั้มีใบหน้าซีดขาว ทั้งยังมีเม็ดเหงื่อผุดออกมาบนหน้าผากอย่างไม่อาจควบคุมได้ ดั่งภาพมนุษย์ทั่วไปที่กำลังยืนตากแดดภายใต้แสงอาทิตย์ที่แผดเผาใน่ฤดูร้อนอยู่หลายก้านธูป
สิ่งนี้เรียกว่าอะไรกัน? ทั้งผียายแก่แห่งตระกูลเมิ่ง และเซินหยวนชิงไม่ได้รู้รายละเอียดมากนัก เพราะในโลกนี้มีพลังวิเศษและเคล็ดวิชาลับมากมาย จึงไม่อาจล่วงรู้มันได้ทั้งหมด แต่คนที่สามารถใช้เคล็ดวิชาลับนี้ ทั้งยังมีพลังสังหารยอดฝีมือขั้นตงซวนทั้งเจ็ดด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียวได้ นอกจากจอมเทพขั้นเกิดเทพเ้าแล้ว คงมีเพียงจอมเทพขั้นหวนสู่สัจธรรมที่หาตัวจับยากกว่าจอมเทพขั้นเกิดเทพเ้า หรือมหาเทพผู้สูงส่งเพียงคนเดียวของเทียนตูแล้ว แต่ไม่ว่าจะเป็มหาเทพผู้สูงส่ง หรือจอมเทพขั้นหวนสู่สัจธรรม ก็ไม่มีทางไปข้องแวะกับคนตระกูลลู่ได้ มิเช่นนั้นตระกูลลู่คงกลายเป็ตระกูลอันดับหนึ่งในเทียนตูไปนานแล้ว
จึงสรุปได้ว่าคนผู้นั้นคือจอมเทพขั้นเกิดเทพเ้า! ส่วนจะเป็จอมเทพขั้นเกิดเทพเ้าคนใด สิ่งนี้ไม่จำเป็ต้องรู้ เขาหนิงชุยเฟิงไม่มีกองกำลังระดับสูงในการต่อสู้มาคอยสนับสนุน เช่นนั้นแล้วเมื่อเห็นจอมเทพขั้นเกิดเทพเ้าปรากฏตัวขึ้น ก็คิดถอยกลับไปทันที
ผียายแก่ตระกูลเมิ่งเองก็เช่นเดียวกัน แม้ว่านางจะรู้สึกมุ่งมั่นและมีพลัง แต่ก็ไม่ได้โง่เขลาจนคิดจะต่อกรกับจอมเทพขั้นเกิดเทพเ้า!
เพียงแต่คิดไม่ถึงว่า สัตว์ร้ายตัวน้อยของตระกูลลู่ จะได้รับการปกป้องจากนักพรตระดับสูง ที่มีพลังยุทธ์ในขั้นเกิดเทพเ้าได้ สิ่งนี้ทำให้นางไม่ทันได้ตั้งตัว และไม่อาจทำใจยอมรับได้ แต่ถึงอย่างนั้นนางก็ไม่กล้าลงมืออยู่ดี
เพื่อที่จะสกัดกั้นสัตว์ร้ายตัวน้อยของตระกูลลู่กลางคันในครั้งนี้ ผียายแก่ตระกูลเมิ่งและเซินหยวนชิงลงทุนลงแรงไปมาก ถึงได้เชิญยอดฝีมือขั้นตงซวนหลายคนมาได้ แต่เวลานี้มันไม่มีประโยชน์อีกแล้ว เมื่อเห็นยอดฝีมือขั้นตงซวนทั้งเจ็ดถูกอีกฝ่ายสังหารไปด้วยฝ่ามือเพียงข้างเดียว ไม่ว่าจะทำอย่างไร คนพวกนี้ก็คงไม่กล้าลงมืออีกแล้ว
“แยกย้าย!” ผียายแก่แห่งตระกูลเมิ่งยังคงเด็ดขาดเหมือนเคย และไม่สนใจสถานการณ์ของเซินหยวนชิงอีกต่อไป นางทยอยนำคนของตัวเองหลบออกมาและถอยกลับอย่างรวดเร็ว
แต่เซินหยวนชิงสบโอกาสไวกว่าผียายแก่ตระกูลเมิ่ง เมื่อเห็นยอดฝีมือขั้นตงซวนทั้งเจ็ดถูกสังหาร ก็พลันหน้าถอดสีเดินหันหลังกลับและหนีไปก่อนแล้ว ไม่ทันสนใจยอดฝีมือขั้นตงซวนทั้งหลายแหล่ที่เชิญตัวมาอย่างยากลำบาก
เดิมทีเขาเองเป็ผู้มีพลังยุทธ์เพียงขั้นฟันฝ่าเท่านั้น ยังไม่อาจบรรลุขั้นตงซวนได้ หากต้องเผชิญหน้ากับนักพรตขั้นเกิดเทพเ้า บางทีหากถูกตวัดสายตามองเพียงครู่เดียว ก็อาจถูกสังหารแล้ว เช่นนั้นมีหรือจะทันสนใจชีวิตผู้อื่น
ตู้เสวียนเฉิงปัดพลังวิเศษของตนเองทิ้ง และส่ายหน้าด้วยความผิดหวังเล็กน้อย ไม่คิดเลยว่านักพรตที่มีพลังขั้นตงซวนทั้งเจ็ดคนตรงหน้าจะอ่อนแอถึงเพียงนี้ แต่เมื่อคิดๆ ดูแล้ว พวกเขาอาจมีชีวิตที่น่าเวทนาไม่น้อย ไร้พลังวิเศษที่ทรงพลัง ไม่เช่นนั้นคงไม่มาเป็โจรปล้นของกลางทางเช่นนี้!
“นี่คือ ‘มือประทับเสวียนเทียน’ หรือ? พลังวิเศษอันโด่งดังนี้ของท่านผู้เฒ่าตู้ ข้าเคยได้ยินมาก่อน ดูเหมือนจะเป็พลังวิเศษประเภทหนึ่งของสำนักเสวียนเทียนในา แม้ว่าจะไม่ได้แข็งแกร่งที่สุด แต่ก็มีชื่อเสียงไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าใคร!” ลู่อวี่ลืมตาขึ้นแล้วยกยิ้ม จากนั้นก็กล่าวออกมาประโยคหนึ่ง แม้ว่าพลังของมือประทับเสวียนเทียนจะทรงพลังไม่น้อย ทว่ากลับมีข้อกำหนดในการฝึกฝนมากนักและไม่เหมาะกับเขา