ขณะที่พูดเขาจึงโน้มตัวเข้าที่ข้างหูของโจวเต๋อเซิงพร้อมพูดเสียงเบาๆ “ก่อนหน้านี้ผมได้ผ่าเปิดช่องเล็กๆบนหินหยกไว้แล้ว จึงเห็นว่าสภาพด้านในเป็อย่างไร แต่เพื่อความปลอดภัย ผมจึงติดมันกลับคืนไปเหมือนเดิมนี่คือวิธีการของผม แหะๆ......”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ โจวเต๋อเซิงจึงอึ้งไปทันทีหลังจากนั้นจึงหัวเราะออกมาเสียงดังลั่น “เป็วิธีการที่ดี เป็วิธีการที่ดีจริงๆ”
“ตอนนี้ผมจะไปจริงๆ แล้วครับหากมีโอกาสก็คงจะได้พบกันอีก” หลินเยว่พูดจบจึงทำท่าจะเรียกคนงานที่เขาจ้างมาเพื่อยกหินหยกก้อนนี้
“เดี๋ยวก่อน”โจวเต๋อเซิงเรียกหลินเยว่ไว้อีกครั้ง“ครั้งที่แล้วคุณยังไม่ได้ทิ้งวิธีการติดต่อไว้ให้ผมเลย จนถึงตอนนี้ผมเพิ่งรู้แค่ชื่อคุณเพียงอย่างเดียวครั้งนี้น่าจะทิ้งไว้ให้ได้แล้วใช่ไหมล่ะ?”
หลินเยว่ทำท่าจับกระเป๋า แล้วพูดพร้อมยิ้มเจื่อนๆ“ผมไม่มีนามบัตรจริงๆ นะครับ”
“เื่นี้คุณไม่ต้องกังวลไป ผมเตรียมกระดาษและปากกาไว้แล้ว”ขณะที่พูด โจวเต๋อเซิงจึงเรียกบอดี้การ์ดให้หยิบสมุดโน้ตและปากกาที่ทำอย่างประณีตด้ามหนึ่งมาให้เขา“เขียนลงบนนี้นะ”
หลินเยว่มองปากกาอันหรูหราเบื้องหน้าของตน แล้วจึงแอบอุทานอยู่ในใจ... คนมีเงินมักจะมีรสนิยมที่แตกต่างอย่างนี้เองความจริงของแค่ใช้ได้ดีก็น่าจะพอแล้วไม่ใช่หรือทำไมต้องทำให้ดูเลิศหรูอลังการขนาดนี้ด้วยล่ะ
เขาหยิบปากกาขึ้นมาแล้วเขียนชื่อและวิธีการติดต่อของตนเองลงบนสมุดโน้ตหลังจากนั้นจึงคืนให้กับโจวเต๋อเซิง
โจวเต๋อเซิงรับสมุดโน้ตขึ้นมาดูหลังจากนั้นจึงเอ่ยชม “ลายมือของคุณไม่เลวเลย มีพลังแข็งแกร่งมากคงผ่านการฝึกมาไม่น้อยใช่ไหมล่ะ”
“ฝึกมาสองสามปี แต่ก็ไม่ได้ทำได้ดีสักเท่าไร”หลินเยว่พูดอย่างถ่อมตัว
“ไม่ว่าจะเป็เื่อะไรทำไมคุณถึงได้ชอบพูดถ่อมตัวนักล่ะ?” โจวเต๋อเซิงถามพร้อมรอยยิ้ม
“ถ้าเช่นนั้นแล้ว ไม่ว่าจะเป็เื่อะไรทำไมท่านถึงได้ชอบพูดชมนักล่ะ?” หลินเยว่ตอบพร้อมรอยยิ้มเช่นกัน
หนึ่งคนหนุ่มและหนึ่งคนแก่พลันสบตากันและต่างหัวเราะออกมาเสียงดังในเวลาเดียวกัน
หลังจากหลินเยว่กลับไปแล้วโจวเต๋อเซิงจึงโน้มตัวลงเก็บเศษหินบนพื้นที่หลินเยว่ตัดทิ้งไว้ขึ้นมาดูผลปรากฏว่าเขาไม่พบแผ่นหินที่ถูกนำมาติดคืนในภายหลังเลยสักชิ้นหินทั้งหมดล้วนเกิดขึ้นมาตามธรรมชาติ และไม่มีจุดไหนที่ถูกตัดมาก่อนเลย
“ไอ้หนูคนนี้หลอกผม”โจวเต๋อเซิงพูดรำพึงด้วยใบหน้าฝืนยิ้ม “เขาจะต้องมีวิธีการเฉพาะของตนเองอย่างแน่นอนเด็กหนุ่มคนนี้ศึกษาเครื่องเคลือบกับท่านเฮ่ออีเหยี่ยนปรมาจารย์แห่งหยกแต่กลับมีความสามารถในการพนันหินหยกสุดยอดเช่นนี้ ดูท่าแล้ว ชื่อเสียงของท่านเฮ่ออีเหยี่ยนปรมาจารย์แห่งหยกก็เป็ไปตามคำเล่าลือจริงๆเด็กหนุ่มสมัยนี้มีคนที่มีความสามารถไม่น้อยเลย หลานชายของท่านเฮ่ออีเหยี่ยนก็ไม่เลว แล้วยังมีลูกศิษย์คนนี้อีกหากพวกเด็กหนุ่มเหล่านี้มารวมตัวกันก็คงจะคึกคักไม่น้อยเลยล่ะ ฮ่าๆ......”
หลังจากหลินเยว่กลับไปแล้วเหตุการณ์ที่เขาพนันหินหยกได้ 2.5 ล้านก็ถูกบอกต่อไปทั่วทุกตรอกซอกซอยของเถิงชงโดยเฉพาะอย่างยิ่งเนื่องจากมีคนอยู่ในเหตุการณ์นี้จำนวนมาก ดังนั้นการเล่าเื่ราวจึงถูกบรรยายได้ออกรสจริงๆ ราคา 2.5 ล้านหยวนเป็ราคาที่เถ้าแก่เกาเป็คนเสนอขึ้นมาและก็เป็มูลค่าที่แท้จริงของหยกก้อนนี้โดยประมาณ ดังนั้นสุดท้ายแล้วจึงไม่มีใครพูดถึงราคาที่มีการทำการซื้อขายจริงๆ ที่ 2 ล้านหยวน แต่กลับพูดเป็ 2.5 ล้านหยวนกันทั้งสิ้น
ตอนแรกเป็การพนันได้จาก 500 หยวนเป็ 4 แสนหยวนหลังจากนั้นจึงช่วยคนที่มีสติไม่สมประกอบคนหนึ่งที่อยู่บนถนนหินหยกมาเป็เวลา 9ปีโดยไม่มีใครสนใจและเพราะเหตุการณ์นี้จึงทำให้ได้รับสิทธิพิเศษอีกทั้งใบการยอมรับจากเถิงชง ต่อมาใช้เงิน1.2 ล้านหยวนเพื่อซื้อหินหยกที่มีรอยแตกและสุดท้ายก็ได้นำหินหยกก้อนหนึ่งมาตัดต่อหน้าสายตาของทุกคนและก็ตัดได้เป็มูลค่า 2.5 ล้านหยวน ความจริงแต่ละเหตุการณ์ล้วนสามารถสร้างความตื่นตะลึงให้กับคนบนถนนหินหยกแห่งเถิงชงได้หลายวันแต่ทว่าเหตุการณ์เหล่านี้กลับเกิดขึ้นภายในไม่กี่วันอีกทั้งยังเกิดขึ้นกับเด็กหนุ่มคนหนึ่งเพียงคนเดียว และสิ่งเหล่านี้จึงทำให้หลินเยว่กลายเป็ผู้มีชื่อเสียงบนถนนหินหยกแห่งเถิงชงและยังเป็บุคคลที่มีชื่อเสียงที่ยังไม่เคยพนันเจ๊งเลย
และเวลานี้ความสามารถของหลินเยว่ก็เริ่มปรากฏขึ้นในวงการการพนันหินหยกเขาเริ่มมีชื่อเสียงขึ้นมาบ้างแล้ว
หลังจากหลินเยว่นำหินหยกกลับมาที่โรงแรมแล้วเขาจึงได้แต่เอนตัวลงบนเตียงพร้อมรอยยิ้มราวกับคนบ้าตอนนี้เขาก็ถือได้ว่าเป็เศรษฐีระดับหลายสิบล้านคนหนึ่งเขาตัดสินใจยังไม่ผ่าหินหยกก้อนนี้ในตอนนี้ แต่เขาจะรอกลับไปถึงคุนิก่อนแล้วค่อยผ่าหยกที่เขาตัดได้ในสองวันนี้ล้วนขายให้กับโจวเต๋อเซิงซึ่งการกระทำแบบนี้จะส่งผลไม่ค่อยดีกับหรงเล่อเซวียนนัก เพราะหรงเล่อเซวียนก็จำเป็จะต้องมีหยกชั้นเลิศมาแปรรูปด้วยเช่นกันดังนั้น รอให้เขากลับไปแล้ว เขาจะขายหินหยกมูลค่า 50 ล้านหยวนก้อนนี้ให้กับหรงเล่อเซวียน ไม่ว่าอย่างไรก็น่าจะถือได้ว่าขายให้กับคนของตัวเองใช่ไหมล่ะของดีๆ ก็ต้องเก็บไว้ให้กับคนของตัวเองก่อน
บวกกับวันนี้โจวเต๋อเซิงได้ให้เช็คกับเขาอีก 8แสนหยวน ทำให้นอกจากหินหยกแล้วเขายังมีเงินติดตัวอีก 1.09 ล้านหยวนเขาก็ถือว่าเป็เศรษฐีระดับล้านอยู่เหมือนกัน แต่ทว่า เมื่อเขาคิดถึงหยกมูลค่า 50ล้านหยวนก้อนนั้นแล้วเขาจึงรู้สึกว่าเศรษฐีระดับล้านมันไม่เห็นจะเจ๋งตรงไหนเลยมันก็เหมือนกับการยืนอยู่บนชั้น 2หรือชั้น 3 แล้วมองลงไปยังชั้น1 เท่านั้นเองมันต่ำมากเลยล่ะ
จนกระทั่งตอนกลางคืน หลินเยว่ก็ยังไม่ได้เดินออกไปจากห้องของเขาเป้าหมายในการมาเถิงชงในครั้งนี้ของเขาได้สำเร็จเรียบร้อยแล้วตอนนี้เขามีหินหยกมูลค่า 50 ล้านหยวนการมาครั้งนี้ช่างคุ้มค่าจริงๆ ตอนบ่ายและตอนกลางคืนเขาจึงฝึกผ่าธูปอยู่ในห้อง ครั้งนี้เขาตั้งใจท้าทายตนเองโดยการฝึกผ่าธูปเป็เวลา 10ก้านธูปโดยก้าวข้ามตัวเลข 8 และ9 ไปโดยอัตโนมัติเพราะหาก้ามีสภาวะจิตสงบนิ่งไม่ว่อกแว่กราวกับบ่อน้ำแห้งขอดไร้คลื่นน้ำในการผ่าธูปจากเดิมอยู่ที่5ดอกจนสามารถยืนหยัดไปถึง 6 ดอกแล้วเขาจำเป็ต้องมีการสั่งสมกำลังและพยายามเอาชนะขีดจำกัดของตนเองให้ได้ ดังนั้นเขาจึงจำเป็ต้องท้าทายตนเองสักหน่อย
เมื่อผ่าไปถึงธูปดอกที่ 9 แขนของหลินเยว่ก็เริ่มเกิดอาการเ็ปและรู้สึกชาเหมือนที่เคยเป็ในสมัยก่อนหลังจากนั้นเขาก็ไร้ความรู้สึกไปในทันที และตัวเขาก็มีสภาพกลายเป็เครื่องจักรที่กระทำราวกับหุ่นยนต์มีแต่ความชาไร้ความรู้สึก
หลินเยว่พยายามกัดฟันเพื่ออดทนต่อความปวดร้าวและความรู้สึกหนักอึ้งที่ส่งผ่านมาทางแขนเมื่อเขาผ่าจนครบดอกที่ 9 แล้วเขารู้สึกว่าเขาใกล้จะสติแตกมากขึ้นทุกทีทุกครั้งที่ยกแขนขึ้นก็ให้ความรู้สึกราวกับว่าเวลาได้ผ่านไปเป็หมื่นปีเขารับรู้ความรู้สึกเ็ปในแต่ละวินาทีได้อย่างชัดเจนมันเป็ความทรมานที่ส่งผลทำให้เส้นประสาทของเขาตึงเครียดราวกับว่ามันจะสามารถขาดผึ่งได้ทุกเวลา
ยังมีอีก 1 ดอก!
หลินเยว่กัดฟันบอกกับตัวเอง ตอนนี้ทั้งแขนขวาของเขายกขึ้นมาไม่ไหวแล้วเขาค่อยๆ เดินลากเท้าไปทางธูปที่กำลังเผาไหม้อยู่หลังจากนั้นจึงใช้มือซ้ายหยิบธูปขึ้นมาวางให้มั่นคง แล้วใช้ไฟแช็กจุดไฟให้กับธูปดอกนั้นเนื่องจากเป็การใช้มือซ้ายในการจุดไฟจึงไม่ค่อยมีความชำนาญ เขาจึงต้องจุดไฟแช็กอยู่หลายครั้งถึงได้จุดติดแต่ทว่าเมื่อจุดติดแล้ว ไฟยังไม่ทันโดนธูปก็ดับไปเสียอีก ดังนั้น หลินเยว่จึงใช้เวลานานมากจึงจะสามารถจุดธูปขึ้นมาได้
หลังจากนั้นหลินเยว่จึงเดินกลับมาที่ตำแหน่งเดิมของตัวเองเขายืนอยู่ตรงตำแหน่งนั้นพร้อมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เขารู้ดีว่าตอนนี้เขาไม่สามารถหยุดทุกการกระทำได้เพราะยิ่งได้พักเขาก็ยิ่งเกิดความี้เี และทำให้ธูปดอกที่ 10 นี้เขาอาจจะผ่าได้ไม่ครบหรือไม่ก็ไม่สามารถยกมีดขึ้นมาได้อีกเลยยิ่งไปกว่านั้นเขาก็ห้ามล้มตัวลงนอนบนเตียง หากเขาเอนตัวลงแล้ว เขาก็ไม่ต้องคาดหวังว่าจะลุกขึ้นมาผ่าต่อได้อีก
หลินเยว่คิดพลางพยายามยกแขนขวาที่ไร้ความรู้สึกของตัวเองขึ้นมาแต่เพียงขยับเล็กน้อย ความรู้สึกปวดร้าวอย่างที่สุดและเส้นประสาทที่มีความตึงเครียดจนถึงที่สุดพลันแทรกซึมเข้าสู่สมองของเขาทำให้เขาต้องสบถออกมาอย่างอดไม่ได้
มันเ็ปมาก
มุมปากของหลินเยว่ยกยิ้มขึ้นมาเจื่อนๆนี่เป็ครั้งแรกที่เขาได้รับรู้ถึงความปวดร้าวมากขนาดนี้ทั้งๆ ที่ยังมีสติดีอยู่
หรือว่าเขาจะต้องล้มเลิกในตอนนี้อย่างนั้นหรือ?
ไม่... ไม่ได้เด็ดขาด
หลินเยว่รู้สึกว่าวันนี้เป็โอกาสที่ดีวันหนึ่งและเป็วันที่เขาควรจะเอาชนะตนเองให้ได้ เขาห้ามล้มเลิกความตั้งใจ ถึงแม้ว่าจะต้องเหน็ดเหนื่อยจนหมดสติกลางคันเขาก็ห้ามไม่ยกมีดขึ้นมา
เขาจะต้องยกมีดขึ้นมา!
หลินเยว่แผดเสียงออกมาจากลำคอราวกับสัตว์ป่า
“อ๊าก......”
หลินเยว่พยายามอดทนต่อความเ็ปที่ไม่ธรรมดาเขาค่อยๆ ยกแขนขึ้นมาอย่างช้าๆ ตอนนี้เขาไม่เหลือเรี่ยวแรงในการยกมีดเลยสักนิดเขาได้แต่พยายามอดทนต่อความเ็ป ใช้ความแข็งกร้าวเอาชนะความเ็ป
“ยก......”
หลินเยว่คำรามเสียงต่ำกัดฟันยกแขนขึ้นขนานกับพื้น แล้วค่อยๆ ยกขึ้นจึงถึงตำแหน่งที่ลงมีดเส้นประสาทของเขาตึงมาก ไม่มีการผ่อนคลายเลยสักนิด เพราะเขารู้ว่าหากเขาผ่อนลงแล้วความพยายามทั้งหมดที่เขาได้ทำมาก็จะเสียไปโดยเปล่าประโยชน์
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้