เมื่อซูฉางอันกลับไปที่บ้านก็พบกับมั่วทิงอวี่ที่กำลังนั่งเหม่ออยู่ที่โต๊ะอาหารพอดี
ถูกต้องแล้ว เขากำลังเหม่อลอยอยู่ นอกจากการคุยกับซูฉางอัน มั่วทิงอวี่ก็ใช้เวลาทั้งหมดที่เหลือไปกับการเหม่อลอยเช่นนี้เสมอ
ซูฉางอันปัดเสื้อผ้าของตัวเองเพื่อไล่หิมะที่เกาะอยู่บนตัวออกไป
“เ้านั่งเหม่อลอยอีกแล้วรึ?”
“ข้ากำลังฝึกกระบวนดาบอยู่ต่างหากล่ะ” มั่วทิงอวี่กล่าวชี้แจง
เมื่อหลายวันก่อน ตอนที่มั่วทิงอวี่เริ่มเหม่อลอยเป็ครั้งแรก ซูฉางอันก็เคยถามเขาไปแล้วว่ากำลังทำอะไรอยู่
และคำตอบของมั่วทิงอวี่ก็คือกำลังฝึกกระบวนดาบอยู่นั่นเอง แต่สำหรับซูฉางอันแล้ว การฝึกกระบวนดาบที่เขาเข้าใจไม่ใช่การเหม่อลอยแบบนี้ ดังนั้นเขาจึงไม่เชื่อมั่วทิงอวี่
“ข้าให้” ซูฉางอันยื่นเป็ดย่างที่ถูกห่อด้วยกระดาษไปให้มั่วทิงอวี่
“มันคืออะไรรึ?” มั่วทิงอวี่รับห่อกระดาษไป และเมื่อได้กลิ่นหอมจากมัน ของเหลวในปากก็พากันพรั่งพรูออกมาทันที เขาทำอาหารไม่เป็ ดังนั้นเขาจึงผ่านการฝึกฝนนับสิบปีมาได้ด้วยการกินอาหารที่ทั้งเรียบง่ายและจืดชืดเท่านั้น เป็เวลานานมากแล้วที่เขาไม่ได้แตะต้องอาหารคาวเช่นนี้
“เป็ดย่างจากร้านน้าหวังน่ะ” ซูฉางอันแค่นหัวเราะ “กินเยอะๆ เลยนะ ต้องมีร่างกายที่แข็งแรงก่อน จึงจะไปฆ่าคนได้”
มั่วทิงอวี่นิ่งเงียบไป พลันรู้สึกซาบซึ้งขึ้นในใจ
“ขอบคุณ” เขาเปิดกระดาษที่ห่ออยู่ด้านนอกออกจนได้เห็นเนื้อเป็ดนุ่มๆ ที่ถูกไฟอ่อนย่างจนกลายเป็สีเหลืองทอง และถูกแบ่งออกเป็ชิ้นเท่าๆ กันด้วยทักษะการใช้มีดที่เยี่ยมยอด
เขาลองกัดลงไปหนึ่งคำ พลันน้ำมันรสเลิศในตัวเป็ดก็กระจายไปทั่วปากในเสี้ยววินาที
มั่วทิงอวี่เริ่มกินเป็ดย่างด้วยคำโตอย่างหยุดไม่อยู่
“อร่อยใช่ไหมล่ะ?” ซูฉางอันยิ้มอย่างได้ใจ ก่อนจะหยิบเนื้อเป็ดขึ้นมาหนึ่งชิ้น แล้วเริ่มกัดกินคำใหญ่ด้วยเช่นกัน
“อืม” มั่วทิงอวี่ที่มีเนื้อเป็ดอยู่เต็มปากตอบกลับด้วยน้ำเสียงอู้อี้
“พรุ่งนี้ข้าจะซื้อไก่ย่างมาให้ ไก่ย่างอร่อยกว่านี้อีก เ้าอยู่ต่ออีกสักหน่อยเถอะ รักษาร่างกายให้ดีก่อนจึงจะทำเื่ที่เ้าอยากจะทำได้ แบบนั้นเ้าจะได้รอดชีวิตกลับมาไง”
มั่วทิงอวี่ชะงักนิ่งไป เขาวางเป็ดย่างในมือลงแล้วมองไปยังซูฉางอันด้วยความจริงจัง
“ข้าไม่มีทางรอดกลับมาได้” เขากล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบทว่าก็จริงจัง ราวกำลังบอกว่าพรุ่งนี้พระอาทิตย์จะโพล่ขึ้นมาอีกครั้ง และสักวันหิมะจะต้องละลายไปเช่นนั้น
น้อยคนนักที่จะพูดถึงเื่ความเป็ความตายของตนได้ด้วยน้ำเสียงเช่นนี้ นอกเสียจากคนที่ปล่อยวางจากความเป็ความตายแล้ว
ซูฉางอันเองก็วางเป็ดย่างในมือลงด้วยเช่นกัน จู่ๆ เขาก็รู้สึกเสียใจเหลือเกิน แม้เขาและมั่วทิงอวี่จะรู้จักกันได้เพียงไม่นาน แม้เดิมทีเขาจะพามั่วทิงอวี่กลับมาเพราะ้าฝึกวรยุทธิ์เท่านั้น และแม้มั่วทิงอวี่จะเน้นย้ำครั้งแล้วครั้งเล่าว่าตนไม่มีทางรอดกลับมาได้ก็ตาม
ทว่าซูฉางอันก็ยังรู้สึกเสียใจมากอยู่ดี
“คนที่เ้ากำลังจะฆ่าเก่งมากเลยรึ?” ซูฉางอันพยายามเกลี้ยกล่อมมั่วทิงอวี่ หากเขาเก่งกาจขนาดนั้น เช่นนั้นก็อย่าไปเลย เพราะไม่ว่ายังไงการมีชีวิตอยู่ต่อไปก็ยังเป็เื่ที่ดีที่สุดอยู่ดี
“อืม เก่งมาก” มั่วทิงอวี่พูดตามความจริง
“เ้าเคยบอกว่าตัวเองไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาใช่ไหม”
“ใช่ ข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนาง”
แล้วทำไมเ้ายังต้องไปอีกล่ะ? ซูฉางอันอยากะโถามออกไปเหลือเกิน แต่เขาก็ไม่ได้ทำ เพราะสายตาของมั่วทิงอวี่บอกกับเขาแล้ว ว่าเขาต้องฆ่าคนๆ นั้นให้จงได้
“ความจริงเ้าไม่จำเป็ต้องไปฆ่าคนๆ นั้นเสียเดี๋ยวนี้เลยนี่ อย่างไรเสียเ้าก็ยังได้รับาเ็อยู่ เ้าอยู่ที่ฉางเหมินไปสัก่ก่อนก็ได้ ระหว่างนี้เ้าก็ฝึกวิชาที่นี่ไปก่อน รอให้เก่งกว่าคนๆ นั้นแล้วค่อยไปฆ่าเขาก็ได้ แบบนั้นเ้าก็ไม่ต้องตายแล้ว” ซูฉางอันรู้สึกว่าข้อเสนอแนะของตนช่างยอดเยี่ยมมากจริงๆ
“ไม่ได้” มั่วทิงอวี่ส่ายหัว
ซูฉางอันไม่รู้ว่าที่เขาบอกว่าไม่ได้มันคืออะไรกันแน่ หมายถึงไปฆ่าเขาวันหลังไม่ได้ หรือฝึกให้เก่งกว่าเขาไม่ได้กันแน่
เขาได้เพียงมองดูมั่วทิงอวี่ และรอให้เขากล่าวอธิบายต่อไปเท่านั้น
มั่วทิงอวี่นิ่งเงียบไป ไม่ใช่เพราะเขาไม่อยากอธิบายหรอกนะ แต่เป็เพราะไม่รู้จะอธิบายยังไงต่างหาก โดยเฉพาะเมื่อคนตรงหน้าเป็แค่เด็กที่เพิ่งมีอายุเพียงสิบสี่สิบห้าปีเท่านั้น
แต่ในที่สุดเขาก็ยอมพูดออกมา
“ดาบของข้าไม่ได้ออกจากฝักมานานนับสิบปีแล้ว สิบปีที่ผ่านมา ข้าพกมันติดตัวและส่งพลังดาบเข้าไปตลอด หากดาบไม่ออกจากฝัก พลังแห่งดาบก็จะถูกสะสมเอาไว้ในนั้นเรื่อยๆ ตอนนี้ดาบนี้ก็มีพลังมากจนข้าแทบจะควบคุมไม่ได้แล้ว ข้าจึงไม่มีเวลาจะมารออีก”
มั่วทิงอวี่พยายามอธิบายให้เข้าใจง่ายที่สุดแล้ว แต่ซูฉางอันก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี เขารู้เพียงว่าดูเหมือนความคิดเห็นของตนจะใช้ไม่ได้เท่านั้น
“แล้วเ้าจะไปเมื่อไหร่ล่ะ?” ซูฉางอันกล่าวถาม
“พรุ่งนี้”
“เร็วจัง เ้ายังาเ็อยู่ หากเ้าฆ่าคนๆ นั้นไม่ได้จะทำยังไงกัน?”
“ไม่ ข้าต้องฆ่านางได้แน่” มั่วทิงอวี่ดูจะมั่นใจมาก เหมือนที่เขาบอกว่าตัวเองจะต้องตายไม่มีผิด ราวกับว่าในโลกของเขาไม่มีทางเกิดเื่ที่เหนือความคาดหมายขึ้นเช่นนั้น
ซูฉางอันไม่เข้าใจความคิดของมั่วทิงอวี่เลยแม้แต่น้อย ในเมื่อเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอีกฝ่าย แล้วจะฆ่าเขาได้ยังไงกันล่ะ?
“เพราะคนที่จะส่งนางไปจากโลกมาถึงแล้ว นางจึงต้องตายอย่างแน่นอน”
มั่วทิงอวี่มีท่าทีจริงจังเป็อย่างมาก มากอย่างที่ไม่เคยเป็มาก่อนเลยทีเดียว
เขารับรู้ได้ว่าคนที่เขากำลังรอคอยได้มาถึงแล้ว และเมื่อเขาคนนั้นมาถึง นางก็ต้องตายอย่างแน่นอน
ที่ทิศใต้ของเมืองฉางอัน ทิศเหนือของเมืองหยุนโจวมีูเาสูงชันตั้งอยู่ ที่นั่นถูกเรียกว่าเขาเทียนเหมิน
บนเขาเทียนเหมินมีหอคอยตั้งอยู่แห่งหนึ่ง ชื่อว่าหอดารา
หอดาราไม่ได้อยู่ภายใต้การปกครองของราชสำนัก ไม่ได้มีความใกล้ชิดสนิทสนมกับเผ่าปีศาจ และไม่ข้องแวะกับเผ่ามาร
มันเป็สถานที่ที่วิเศษและอยู่เหนือกว่าโลกทั้งปวง ไม่ต่างไปจากเทวดาที่ลงมาเยือนดินเลย
ทว่าชาวบ้านที่ตีนเขากลับไม่รู้เื่เหล่านี้ ต่างก็คิดว่ามีเทพเ้าอาศัยอยู่บนเขาสูง จึงจัดพิธีสักการะบูชาขึ้นทุกๆ ปีเพื่อให้ลมฝนตกต้องตามฤดูกาล บ้านเมืองสงบร่มเย็นเสมอมา
ทว่าเหล่านักพรตทั้งหลายกลับไม่ได้มองเช่นนั้น แต่พวกเขาเรียกคนที่นั่นว่า ‘ผู้ส่งิญญา’ ต่างหาก
นักรบแห่งดาราจักรเป็ผู้มีพลังล้ำเลิศในใต้หล้า และมีชะตาชีวิตเชื่อมอยู่กับดาราจักร
ตราบใดที่ชีพดารายังไม่สลาย ร่างกายก็จะไม่สิ้น ดวงิญญาก็จะไม่มอดด้วยเช่นกัน
ทว่าเมื่อชีพดาราสิ้นลง ทั้งร่างกายและพลังที่มีก็จะสูญสลายหายไปด้วย
ร่างกายจะถูกฝังอยู่ใต้ผืนดิน ทว่าดวงิญญาจะหวนคืนสู่หมู่ดาว
ทว่าทะเลแห่งดวงดาวและพื้นพิภพอยู่ห่างกันนัก แม้แต่ดวงิญญาของนักรบดาราจักรที่แสนแข็งแกร่งก็ยังไม่อาจไปจนถึงฝั่งได้เลย
เหตุนี้หอดาราจึงถือกำเนิดขึ้น พวกเขาจะคอยนำทางดวงิญญาของนักรบแห่งดาราจักรไปที่ทะเลแห่งดวงดาวด้วยเพลงแห่งหมู่ดาว กระทั่งดวงิญญาแห่งนักรบไปถึงที่นั่นอย่างปลอดภัยนั่นเอง
ดังนั้น เมื่อใดที่ผู้ส่งิญญาปรากฏตัวขึ้น ย่อมต้องมีนักรบแห่งดาราจักรสิ้นชีพลงเสมอ
นี่เป็เื่ที่ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงได้ ก็ราวกับดวงตะวันที่ขึ้นทางทิศตะวันออก และร่วงหล่นลงที่ทิศตะวันตกนั่นเอง
แม้แต่นักรบแห่งดาราจักรที่อยู่เหนือสรรพสิ่งก็ยังต้องเคารพในกฎข้อนี้
คนของหอดาราปรากฏตัวที่เมืองฉางเหมิน
ข่าวนี้ถูกหน่วยสายข่าวของมหาอำนาจทั้งหลายส่งกลับไปยังหน่วยงานของตนด้วยความรวดเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
ณ เมืองฉางอัน ภายในพระราชวังอันแสนกว้างใหญ่
ชายวัยกลางคนคนหนึ่งนั่งอยู่บนตำหนักสูงลิบ ทอดสายตามองไปยังขุนนางเบื้องล่างที่กำลังส่งข่าวสารต่างๆ มาให้ด้วยสายตาลึกล้ำ ราวในนั้นมีหมู่ดาวซ่อนอยู่อย่างไรอย่างนั้น
ท่านผู้นั้นเคาะนิ้วไปที่โต๊ะเบื้องหน้าเบาๆ ขณะที่ขุนนางเบื้องล่างต่างก็มีเหงื่อซึมไปตามๆ กัน มันเป็ความเกรงกลัวโดยสัญชาตญาณนั่นเอง
องค์มหาจักรพรรดิเป็เช่นนี้เสมอ เขาสามารถอ่านความคิดของผู้อื่นได้ด้วยการมองเพียงแวบเดียวเท่านั้น ทว่ากลับไม่มีใครดูออกเลยว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
“แบบนี้ก็แปลว่ามั่วทิงอวี่ทำสำเร็จงั้นรึ?” เขากล่าวขึ้นในที่สุด น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความหนักแน่นของเขา ราวผ่านกาลเวลามานานแสนนานกว่าจะมากระทบถึงหูของคนทั้งหลายในที่สุด
“แม้จะน่าเหลือเชื่อ แต่เมื่อผู้ส่งิญญากับมั่วทิงอวี่ไปปรากฏตัวที่เมืองฉางเหมินพร้อมกัน นั่นก็แปลว่า...” คนเบื้องล่างกล่าวขึ้นตามความจริง แม้ก่อนหน้านี้จะไม่มีใครเชื่อ แม้ก่อนหน้านี้จะไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน... ไม่เคยมีนักรบที่ไม่ใช่นักรบแห่งดาราจักรคนไหนสังหารนักรบแห่งดาราจักรสำเร็จมาก่อน ทว่าในเมื่อผู้ส่งิญญามาแล้ว เช่นนั้นเื่นี้ก็กลายเป็เื่ที่ไม่อาจโต้แย้งได้อีก
ไม่มีใครในห้องโถงตอบกลับไปสักคน ผู้คนทั้งหลายต่างก็รู้สึกตื่นตระหนกไปตามๆ กัน
“อีกอย่าง ทางศูนย์ดาราจักรก็ส่งข่าวมาว่าเมื่อเร็วๆ นี้ดาวหยิงโฮ่หมองแสงลง ทั้งยังมีบางจุดที่มืดลงด้วย” ผู้อยู่เบื้องหน้ากล่าวเสริมต่อไป ราว้าจะเพิ่มความน่าเชื่อถือในสิ่งที่ตนพูดเช่นนั้น
นักรบแห่งดาราจักรทุกคนล้วนมีชีพดาราเป็ของตัวเอง และชีพดาราทั้งหลายก็เป็ตัวแทนของชะตาชีวิตของนักรบแห่งดาราจักรนั่นเอง
และการที่ดวงดาวหม่นแสงลง จึงเป็สัญญาณแห่งการมอดสิ้นของนักรบแห่งดาราจักร ความมืดบนนั้นจะเป็เหมือนปรสิตที่ไล่ไม่ไปมันจะค่อยๆ กลืนกินแสงในดวงดาวลงอย่างช้าๆ และเมื่อแสงสว่างหมดสิ้นลง ดวงดาวก็จะตายลงอย่างสิ้นเชิง และเมื่อชีพดาราสูญสิ้น นักรบแห่งดาราจักรก็จะตายไปด้วย
“เขาไม่ยอมชักดาบออกจากฝักมานานนับสิบปี เมื่อดาบออกจากฝัก ก็จะดื่มเืของนักรบแห่งดาราจักรเลยงั้นรึ? พลังดาบที่สะสมมานานนับสิบปีทรงพลังมากพอจะสังหารนักรบแห่งดาราจักรได้... มั่วทิงอวี่เอ๋ย มั่วทิงอวี่ สมแล้วที่เป็ยอดอัจฉริยะที่ยอดเยี่ยมที่สุดในรอบร้อยปีของเผ่ามนุษย์!” มหาจักรพรรดิตรัสเสียงแ่ ก่อนจะยกยิ้มขึ้นที่มุมปาก
หลังจากเหยากวงสิ้นชีพลง ไคหยางก็เก็บตัวเงียบไม่ยอมออกมาอีก อวี้เหิงก็แก่ชราลงเรื่อยๆ ทว่าทางเหนือของเผ่ามนุษย์ยังคงมีเผ่าปีศาจที่เป็ภัยอันตราย ทางตะวันตกก็มีเหตุความวุ่นวายอีก แม้จะมีเขาที่เป็ถึงมหาจักรพรรดิคอยควบคุมดูแลอยู่ แต่ยิ่งนับวันเขาก็ยิ่งรู้สึกว่าสถานการณ์ยากจะควบคุมมากขึ้นไปทุกทีแล้ว
หากดาวหยิงโฮ่ของเผ่าปีศาจสิ้นสลายลง เขาก็มอบแนวป้องกันที่ทิศเหนือให้จิ้นอ๋องเป็ผู้ดูแล และตนก็มีเวลามาจัดการเื่ความวุ่นวายที่ทิศตะวันตกแล้ว
มหาจักรพรรดิหรี่ตาลง ั้แ่เหยากวงจากไป เป็เวลานานมากแล้วที่เขาไม่ได้รู้สึกมีความสุขเช่นนี้
เขาหวนคิดถึงหนุ่มน้อยเมื่อสิบปีก่อนขึ้นอีกครั้ง
มั่วทิงอวี่ คนที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้าตนราวกับสุนัขไร้บ้าน ทว่าสายตากลับเปล่งประกายไปด้วยรังสีแห่งความอำมหิตคนนั้น
มั่วทิงอวี่อาศัยอยู่ในที่พำนักของเหยากวงมานานนับสิบปี โดยทุกคนต่างก็มองว่าเขาเพียงแค่อยู่เพื่อเอาชีวิตรอดไปวันๆ อย่างไร้ศักดิ์ศรีเท่านั้น
ทว่าเขารู้ดีว่ามั่วทิงอวี่ไม่ได้เป็เช่นนั้น
วินาทีที่หนุ่มคนนั้นสัญญาว่าจะสังหารหยิงโฮ่ เขาก็ไม่เคยปล่อยให้ดาบห่างตัวเลย
เขากำลังสะสมพลังเอาไว้ในดาบของตัวเอง สะสมมาตลอดสิบปี
แต่ถึงกระนั้น มหาจักรพรรดิก็ยังไม่คิดว่ามั่วทิงอวี่จะสังหารนักรบแห่งดาราจักรได้อยู่ดี เพราะเขารู้ดีว่านักรบแห่งดาราจักรน่าหวาดกลัวมากขนาดไหน เมื่อเทียบกับพลังที่แข็งแกร่งจนเกินกว่าที่มนุษย์จะมีในนั่นแล้ว มั่วทิงอวี่ก็เป็เพียงมดน้อยที่แสนอ่อนแอเท่านั้น
ทว่าหากใครคนหนึ่งเตรียมตัวมานานถึงสิบปีเพื่อสังหารใครอีกคน ลำพังแค่เื่นี้ก็ทำให้ผู้ถูกหมายหัวขนลุกได้แล้ว แม้แต่นักรบแห่งดาราจักรก็ยังต้องรู้สึกหวาดกลัวเลย หากทำให้หยิงโฮ่รู้สึกหวาดกลัวได้ ลำพังแค่เื่นี้ก็เพียงพอให้มหาจักรพรรดิไว้ชีวิตมั่วทิงอวี่แล้ว
ทว่าตอนนี้กลับแตกต่างออกไป เมื่อคนของหอดาราปรากฏตัวขึ้น เื่การตายของหยิงโฮ่จึงกลายเป็เื่ที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้อีก
มหาจักรพรรดิกำลังรอคอย คนทั้งแผ่นดินก็เช่นกัน
พวกเขากำลังรอให้ศึกตัดสินดำเนินมาถึง
หนุ่มน้อยที่ถือดาบเอาไว้ในมือ จะแสดงกระบวนดาบที่น่าสะพรึงมากเพียงใดให้คนในใต้หล้าได้ประจักษ์...