หลังจากจวินเชียนโม่ถูกซูชิงเฟิงไล่ออกมาอยู่นอกประตูไม่กินข้าวอีก
เขาวางถ้วยกับตะเกียบลงแล้วนั่งขัดสมาธิ ใช้ข้อศอกค้ำไว้ที่ขาเพื่อหนุนศีรษะมองไปทางซูชิงเฟิงกับหลินหร่านที่นั่งกินข้าวไปพลางพูดคุย
เมื่อจวินเชียนโม่ถูกขับไล่ออกมาแล้ว ซูชิงเฟิงก็เอ่ยกับหลินหร่นด้วยความสุภาพ “หลังมื้อเที่ยงเ้าพักก่อน นอนกลางวันเสียหน่อยเถอะ”
“ไม่เป็ไรขอรับ ข้าไม่เหนื่อย ไม่ต้องนอนก็ได้” หลินหร่านปฏิเสธทันที
เขาคิดว่าตนเองมาที่นี่เพื่อศึกษาหาความรู้ จะมานอนหลับในสถานที่ของท่านอาจารย์ได้อย่างไร
“ไม่เป็ไร นี่เป็รับสั่งของท่านอ๋อง ท่านบอกว่าเ้าต้องนอนกลางวัน อีกทั้ง่อายุของเ้าก็เป็่ที่กำลังเติบโตและต้องนอน ไม่อย่างนั้น ข้าคงไม่มีหน้าไปพบท่านอ๋องแน่”
“เช่นนั้น ข้า...นอนฟุบหน้าบนโต๊ะก็พอแล้วขอรับ ท่านอาจารย์ไปนอนบนเตียงเถิด” หลินหร่านให้ความเคารพแก่ท่านอาจารย์เป็อย่างสูง โดยไม่ได้คำนึงเลยว่าตนเองเป็ถึงพระชายา
“ไม่ต้องหรอก ข้าไม่คุ้นชินกับการนอนกลางวัน เ้าไปนอนที่เตียงเถิด ไม่นานมานี้เ้าก็แอบมาพลอดรักกับท่านอ๋องที่นี่ไม่ใช่หรือ ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่เคยชินหรอกนะ”
หลังได้ยินคำพูดของซูชิงเฟิง หลินหร่านหน้าแดงขึ้นมาโดยพลัน
่ก่อนหน้านี้ตนกับท่านอ๋องแอบมาพลอดรักกันอย่างนั้นหรือ? ต้องเป็่ที่เขาแอบมานัดพบกับท่านอ๋องแน่นอน จะเรียกว่ามาพลอดรักกันก็คงไม่ผิด
ซูชิงเฟิงรู้สึกพึงพอใจนักที่หลินหร่านให้ความเคารพตนเองในฐานะอาจารย์ ไม่เหมือนกับบางคน คิดว่าตนเองเป็ประมุขของสำนักเฉียนจวิน จึงไม่สนใจให้ความเคารพผู้เป็อาจารย์ สร้างความเดือดร้อนไปวันๆ ไม่เอาการเอางานเสียเลย
พอในใจคิดเช่นนั้น ซูชิงเฟิงจึงได้หันไปมองจวินเชียนโม่ที่กำลังมองมาที่ตนพร้อมส่งยิ้มให้พอดิบพอดี
ซูชิงเฟิงเห็นข้าวในถ้วยของอีกฝ่ายยังเหลืออยู่ เขาเริ่มรู้สึกทนไม่ไหว
เนื่องจากพื้นฐานเขาก็ไม่ได้เป็คนใจจืดใจดำ สาเหตุหลักๆ ที่ไล่ออกไปก็มาจากความน่ารำคาญของจวินเชียนโม่เท่านั้น
หลินหร่านพยักหน้ารับแล้วลงมือกินข้าวต่อ เขาอยากช่วยขอร้องให้กับท่านอาจารย์อา แต่ก็ยังไม่ทันได้เอ่ยปาก ท่านอาจารย์ของเขากลับเอ่ยขึ้นมาก่อน
“เ้า เอาถ้วยข้าวมานี่”
จวินเชียนโม่ยิ้มมุมปากด้วยความเชื่อมั่น
เขารู้อยู่แล้วเชียว อย่างไรชิงเฟิงของเขาก็ไม่มีทางใจดำกับตนได้ลง
จวินเชียนโม่เดินถือถ้วยของตนเองมาหยุดอยู่ตรงหน้าอีกฝ่าย
“ฮะๆ ชิงเฟิง” น้ำเสียงของจวินเชียนโม่ช่างอ่อนโยน รวมไปถึงท่าทีขี้เล่นที่แสดงออกมา
เมื่อเห็นซูชิงเฟิงคีบน่องไก่น่องใหญ่ใส่ในถ้วยของตนเองให้ จวินเชียนโม่ตั้งใจจะกล่าวขอบคุณ แต่...
“เสร็จแล้ว กลับไปนั่งยองกินตรงนู้น”
“หา?” จวินเชียนโม่ตกตะลึง
“ท่านอาจารย์ ให้ท่านอาจารย์อามานั่งกินตรงนี้เถอะขอรับ” หลินหร่านช่วยขอร้อง
“ไม่ได้ เ้ามันน่ารำคาญ” ซูชิงเฟิงไม่รักษาหน้าอีกฝ่ายแม้แต่น้อย “เ้าจะรีบไปนั่งยองตรงนู้นเพื่อกินข้าวให้หมด หรือว่าต่อไปจะไม่มาร่วมโต๊ะกับข้าอีก”
ถึงแม้ว่าสองตัวเลือกนี้จะไม่ดีทั้งคู่ แต่เมื่อลองเอามาเปรียบเทียบดูก็ยังถือว่ามีหนึ่งตัวเลือกที่ดีที่สุด
แน่นอนว่าจวินเชียนโม่ต้องหันกลับไปนั่งยองกินข้าวอยู่ที่หน้าประตูทันที
สุดท้ายก็ยังมีน่องไก่ที่ซูชิงเฟิงคีบให้เองกับมือ ไม่ว่าอย่างไรนี่มันก็คือรักชัดๆ!
หลังจากนั้น จวินเชียนโม่ก็นั่งจ้องซูชิงเฟิงกินข้าวต่อด้วยความข้องใจ
หลังจากรับประทานอาหารเที่ยงเรียบร้อย หลินหร่านรีบรั้งซูชิงเฟิงที่้ากลับไปศึกษาตำราต่อ “ท่านอาจารย์ ท่าน...ท่านช่วยตรวจวัดชีพจร ตรวจสุขภาพร่างกายของข้าได้หรือไม่ขอรับ”
“เป็อะไรไป เ้าไม่สบายหรือ” ซูชิงเฟิงเอ่ยถามพร้อมกับตรวจดูสีหน้าหลินหร่าน แต่ก็ไม่ได้พบปัญหาอะไร
“ไม่ใช่ขอรับ คือ…” หลินหร่านรู้สึกเขินอายจนไม่กล้าพูดออกมา
ซูชิงเฟิงมองดูท่าทีของหลินหร่านก็พอจะรับรู้ได้ เื่นี้ต้องเกี่ยวกับท่านอ๋องแน่
“คือ…” หลินหร่านตัดสินใจอย่างแน่วแน่แล้วถึงค่อยกล่าวออกมา “เมื่อไรข้าถึงจะตั้งครรภ์ขอรับ ข้าอภิเษกสมรสกับท่านอ๋องมาสองเดือนกว่าแล้ว หรือว่าจะเป็เพราะร่างกายของข้าบกพร่องหรือขอรับ”
ซูชิงเฟิงตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ครู่ต่อมา ริมฝีปากอดไม่ได้ที่จะเผยรอยยิ้ม
พระชายาตัวน้อยผู้นี้ช่างจริงใจกับท่านอ๋องเสียจริง เื่การตั้งครรภ์ในชาย ใช่ว่าเขาปฏิเสธ ไม่ชอบเื่เหล่านี้ เขาค่อนข้างเป็ห่วงมากกว่า
“เช่นนั้นเ้านั่งลงสิ เดี๋ยวข้าตรวจชีพจรให้”
หลินหร่านนั่งลงตามคำสั่ง ซูชิงเฟิงจึงทำการััที่ฝ่ามือซ้ายเพื่อตรวจวัดชีพจร
ชีพจรเต้นปกติดี อัตราการเต้นของหัวใจก็ปกติเช่นกัน
หลังจากซูชิงเฟิงดึงมือกลับมาถึงบอก “ร่างกายของเ้าปกติดีไม่มีปัญหา ถึงแม้ร่างกายเ้าอาจไม่ได้แข็งแรงเท่ากับผู้ที่ฝึกศิลปะการต่อสู้ แต่ก็ไม่ได้อ่อนแอเหมือนแต่ก่อนแล้ว”
“เช่นนั้น ทำไมข้าถึงยังไม่…” หลินหร่านถามด้วยความขับข้องใจ
ซูชิงเฟิงมองหลินหร่านที่มีท่าทีร้อนใจ เขาได้แต่ส่ายหน้าพร้อมรอยยิ้มแล้วกล่าว “เ้าอย่าร้อนใจไป เื่เหล่านี้เป็เื่ที่มนุษย์เราควบคุมไม่ได้ อีกทั้งเ้าเป็ชาย ถึงร่างกายจะมีความพิเศษ แต่อย่างไรเ้าก็ไม่ใช่หญิงสาว ขอเพียงเ้ากับท่านอ๋องขยัน อย่างไรก็ต้องมีแน่นอน การรักษาอารมณ์ที่มีความสุขก็ช่วยให้ตั้งครรภ์ได้อย่างราบรื่นขึ้นด้วยนะ”
ถ้อยคำของซูชิงเฟิง หลินหร่านรีบจดจำไว้
เขากับท่านอ๋องต้องขยัน แล้วก็ต้องควบคุมอารมณ์ให้มีความสุข
ในเมื่อร่างกายไม่มีปัญหา หลินหร่านถึงรู้สึกโล่งใจมากขึ้น หลังจากนั้นจึงไปนอนกลางวัน
ซูชิงเฟิงจึงกลับมาประจำที่ของตนเองเพื่อทำการศึกษาค้นคว้าตำราต่อไป
จวินเชียนโม่โน้มตัวไปข้างหน้าเพื่อเอ่ยถาม “ลูกศิษย์ตัวน้อยของเ้าเป็คนของเผ่าจือเม่ย มีหลอดเืดำคู่อย่างนั้นหรือ?”
ซูชิงเฟิงหันไปมองเขาเล็กน้อยก่อนเปิดตำราอ่านต่อ “ใช่”
“มีคนที่มีหลอดเืดำคู่จริงๆ หรือนี่”
ซูชิงเฟิงอดไม่ได้ที่จะหันไปมองจวินเชียนโม่ เพราะเขารู้สึกว่ามันแปลก
เหตุใดคนผู้นี้ถึงได้แสดงท่าทีมีความสุข
“ทำไม? เหตุใดเ้าถึงดูดีใจเช่นนี้?”
“อ่า เปล่าสักหน่อย ข้าแค่รู้สึกประหลาดใจเท่านั้น ตอนแรกข้าก็คิดว่าตำนานที่เล่าต่อกันมาเป็ร้อยๆ ปีของผู้มีหลอดเืดำคู่แห่งเผ่าจือเม่ยจะเป็เพียงเื่ที่เขาเล่าต่อกันมาเสียอีก ไม่คิดว่าจะมีอยู่จริง ว่ากันว่าเผ่าจือเม่ยทำตามบัญชาของ์ มีจิติญญาของเทพเ้า ชายผู้มีเส้นเืดำคู่คือผู้มีภารกิจและความสามารถอันศักดิ์สิทธิ์” จวินเชียนโม่เอ่ยออกมา
ซูชิงเฟิงหยุดเขียนแล้วหันไปหาพลางกล่าวด้วยความรู้สึกจนใจ “สิ่งที่เ้ากล่าวมาไม่ว่าใครก็รู้ทั้งนั้น ก็แค่ตำนาน เ้าดูพระชายาสิ อย่างไรก็เหมือนคนปกติทั่วไปไม่ใช่หรือ นอกจากตั้งครรภ์ได้ก็ไม่มีอะไรพิเศษ หากจะให้พูดถึง เผ่าจือเม่ยตัดขาดจากโลกภายนอกมาหลายร้อยปีแล้ว เื่เหล่านี้เป็เื่จริงหรือไม่จะมีใครรู้กันล่ะ?”
จวินเชียนโม่ไม่ถกเถียงกับซูชิงเฟิงต่อ อย่างไรเผ่าจือเม่ยก็ไม่ใช่เื่ที่เขาสันทัดนัก
นอกจากนี้ หากจะลองถามดู บนโลกใบนี้จะมีชายผู้ทะเยอทะยานคนไหนที่สนใจเื่เผ่าจือเม่ยมากมายเช่นนั้น
แต่อย่างไรเสีย ฮ่องเต้ฉงเต๋อคงจะเป็หนึ่งในนั้นอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้คนที่้าคนของเผ่าจือเม่ย ทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับเผ่าจะดึงดูดผู้คนเ่าั้เป็อย่างยิ่ง
ไม่ว่าจะเป็เื่ที่พวกเขาทำตามบัญชาของ์ มีจิติญญาของเทพเ้า นี่เป็สิ่งที่เผ่าจือเม่ยใช้ปกป้องการถูกรบกวนมานานเป็เวลาร้อยปี อีกทั้งการแพทย์ของเผ่าที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว หรือแม้แต่หลอดเืดำคู่ เป็ต้น และอีกหลายต่อหลายเื่ที่ทำให้ผู้คนต่างปรารถนา
ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งเหล่านี้เชื่อมโยงไปถึงความเกลียดชังในตระกูลของจวินเชียนโม่
นับแต่นั้นมา จวินเชียนโม่จึงใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยว กล้าที่จะรักกล้าที่จะเกลียดชัง เป็จุดเริ่มต้นของจิตใจที่โหดร้ายและร้อนรุ่ม
โศกนาฏกรรมที่เขาได้สังหาร กวาดล้างชนเผ่าหลายสิบกลุ่มในลุ่มแม่น้ำและทะเลสาบจนทำให้เขาได้รับขนานนามว่าเป็ปีศาจเืเย็น
จากนั้น การก่อตั้งสำนักเฉียนจวินขึ้นมาก็กลายเป็สำนักที่มีการสั่งสอนเกี่ยวกับวิชามาร
ดังนั้น จวินเชียนโม่จึงเตรียมพร้อมที่จะเดินทางเข้าสู่เส้นทางการล้างแค้นของเจียงหู ไม่อาจกลับไปเดินร่วมยังเส้นทางปกติของเจียงหูได้อีกต่อไป มีเพียงศิษย์จากสำนักเป่ยเทียนที่ไม่ได้ถูกโลกใบนี้จองจำไว้เพียงผู้เดียวเท่านั้นที่เขายอมรับ ซึ่งอีกฝ่ายก็ยอมรับเขาเป็ศิษย์น้อง
ทว่าทั้งหมดทั้งมวลนี้ คนผู้นั้นเกี่ยวข้องกับเผ่าจือเม่ยซึ่งมีเงื่อนงำซับซ้อนมากมาย เื่นี้เขาจึงต้องจัดการให้ชัดเจน
-------------------------------------------------------
