จ้านอู๋มิ่งกับโม่ฉางชุนยืนจ้องมองกันอย่างสงบเงียบ รู้สึกว่าบรรดาจักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์ถอยออกไปจากสมรภูมิรบกระดูกขาวอย่างรวดเร็วแล้ว โม่ฉางชุนถอนหายใจยาวๆ อย่างโล่งอกคำหนึ่ง คล้ายยิ้มและไม่ยิ้มมองจ้านอู๋มิ่ง เขาอยากทราบจริงๆ ว่าสิ่งใดบรรจุอยู่ในสมองของชายหนุ่มตรงข้างหน้าคนนี้กันแน่ กลับทำให้เื่ลงเอยเช่นนี้ ตอนนี้เขาอยู่ห่างจ้านอู๋มิ่งเพียงไม่กี่ฟุตเท่านั้น ขอเพียงลงมือ จ้านอู๋มิ่งจะต้องตายอย่างไร้ข้อสงสัย แต่ความมั่นใจของเด็กคนนี้ที่พูดว่าเขาจะต้องตายในวันนี้มาจากที่ใด?
“มีสิ่งใดคิดจะถาม เ้าถามมาได้เต็มที่ มิฉะนั้นเ้าก็จะไม่มีโอกาสแล้ว ข้าเหลือเวลาให้เ้าไม่มากนัก” จ้านอู๋มิ่งมองโม่ฉางชุนอย่างเย้าหยอก ยิ้มอย่างเฉยชา หวนคืนสู่น้ำเสียงหยิ่งผยองตามปกติอีกครั้ง
“เ้าเป็คนหยิ่งผยองที่สุดเท่าที่ข้าเคยเห็นมา ทว่ากลับเป็คนที่มีพร์มากที่สุดอีกด้วย ข้าทราบเื่ราวทั้งหมดที่เ้าทำเมื่อเร็วๆ นี้ เดิมทีเคยคิดว่าเ้าสามารถเป็หมากที่ดีที่สุดตัวหนึ่ง น่าเสียดาย เ้ากลับเดินเข้าสู่เส้นทางมรณะแล้ว…”
“วาจาไร้สาระมากจริง หากนี่คือสิ่งที่เ้า้าพูดละก็ นั่นทำให้ข้ารู้สึกค่อนข้างผิดหวัง” จ้านอู๋มิ่งขัดจังหวะคำพูดของโม่ฉางชุน พูดอย่างอารมณ์ไม่ดีนัก
ในดวงตาของโม่ฉางชุนฉายเจตนาฆ่าเข้มข้นขึ้นวูบหนึ่ง เขาคิดไม่ถึงว่าจ้านอู๋มิ่งกลับหยิ่งผยองมากถึงเพียงนี้ ไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย
“ผนึกต้องห้ามของจู้เชียนเชียน ผู้ใดปลดออกกันแน่?” โม่ฉางชุนสะกดข่มสำนึกฆ่าฟันลง ถามอย่างเ็า
“ข้าเอง!” จ้านอู๋มิ่งตอบ
โม่ฉางชุนรู้สึกประหลาดใจวูบหนึ่ง ถามอีกว่า “มหาค่ายกลหมื่นดวงิญญาสักการะฟ้านี้ ผู้ใดเป็คนก่อตั้งขึ้น?”
“ข้าเอง!” จ้านอู๋มิ่งตอบอีก
“เ้าหลอกข้า!” โม่ฉางชุนโกรธแล้ว คำตอบของจ้านอู๋มิ่งทำให้เขารู้สึกเหมือนกับว่ากำลังถูกใครกำลังล้อเล่นอยู่
“ข้าไม่มีนิสัยชอบเย้าหยอกลิงเล่นหรอกนะ! สิ่งที่ข้าพูดล้วนเป็เื่จริง!” จ้านอู๋มิ่งยิ้มๆ อย่างไม่ใส่ใจ ตอบเสียงเ็า
“ดูเหมือนเ้า้าแสวงหาความตายจริงๆ เช่นนั้นข้าจะส่งเสริมเ้า!” โม่ฉางชุนโกรธจัด ลงมือทันที
จ้านอู๋มิ่งรู้สึกเพียงว่าพื้นที่ถูกจำกัด จากนั้นฝ่ามือขนาดมหึมาบดบังท้องฟ้าครอบคลุมผืนดินก็ฟาดลงมาจากท้องฟ้าโดยตรง ก่อนหน้านี้บรรดาจักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์ต่อสู้กันอยู่บนท้องฟ้า จ้านอู๋มิ่งไม่ได้ััรับรู้โดยตรง และเมื่อเผชิญหน้ากับโม่ฉางชุนในยามนี้ กลับรู้แล้วว่าจักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ การโจมตีแบบนี้ส่งผลต่อจิตสมาธิโดยตรง
ถึงแม้พลังจิติญญาแห่งการต่อสู้ระหว่างฟ้าดินจะเป็พลังเหนือธรรมชาติระดับต่ำมาก แต่เมื่อพลังจิติญญาแห่งการต่อสู้เข้มข้นแข็งแกร่งเพียงพอแล้ว ก็สามารถรบกวนเจตจำนงของโลกหล้านี้ได้เช่นเดียวกัน นี่เรียกกันว่าเดชบารมีของผู้แข็งแกร่ง จักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์ก็คือสุดยอดผู้แข็งแกร่งแห่งโลกนี้ พลังจิติญญาแห่งการต่อสู้ของพวกเขาเข้มข้นและแข็งแกร่งมาก เพียงพอจะหลอมรวมกับฟ้าดิน ััได้ถึงฟ้าดิน ดังนั้นการโจมตีของจักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์ สิ่งที่เพิ่มขึ้นก็คือบารมีฟ้าที่ไร้ขีดจำกัด สิ่งนี้มีผลกระทบต่อจิติญญาของผู้คนมากมายยิ่งนัก
ฝ่ามือของโม่ฉางชุน ทำให้สายธาราของน่านน้ำมหาสมุทรแถบนี้ถูกกดยุบและเว้าลงกลายเป็แอ่งขนาดใหญ่มหึมาแห่งหนึ่ง รอยประทับฝ่ามือขนาดใหญ่รัศมีหลายสิบวาถูกกดลงสู่มหาสมุทรโดยตรง แนวโขดหินใต้น้ำแห่งหนึ่งเกิดเสียงดัง "ตูม" แตกสลายทันที แต่โม่ฉางชุนกลับใเมื่อพบว่าจ้านอู๋มิ่งไม่ได้รับาเ็แม้แต่น้อย เนื่องเพราะจ้านอู๋มิ่งไม่ได้อยู่ภายในรัศมีฝ่ามือของเขาแต่อย่างใด
ในชั่วพริบตาที่ฝ่ามือโม่ฉางชุนโจมตีลงมา จ้านอู๋มิ่งขยับท่าร่างหลบไปไกลหลายสิบวา ร่างกายจะอยู่ตรงขอบฝ่ามือพอดี หนึ่งฝ่ามือของโม่ฉางชุนคล้ายดั่งเช็ดจมูกของจ้านอู๋มิ่งแล้วกดกระแทกลงมา แต่สุดท้ายแล้วก็คือโจมตีพลาด
“ว้าว…เ้าคงไม่ดูแคลนข้าถึงขนาดนี้กระมัง โจมตีอย่างนี้ ตบแมลงวันยังพอใช้ได้อยู่” จ้านอู๋มิ่งหัวเราะแล้ว ในน้ำเสียงแฝงการเย้าหยอกชนิดหนึ่ง
สีหน้าโม่ฉางชุนไม่ค่อยน่าดูอยู่บ้าง เขาไม่ได้ตั้งใจจะฆ่าจ้านอู๋มิ่งด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว เพียงแค่้าสั่งสอนไอ้หนูคนนี้สักเล็กน้อย แต่กลับคิดไม่ถึงว่าการโจมตีของตนเองกลับไม่ได้ส่งผลคุกคามต่ออีกฝ่ายเลย
“คิดไม่ถึงว่าพวกเราล้วนประเมินเ้าต่ำไปแล้ว!” ในดวงตาของโม่ฉางชุนฉายแววประหลาดใจขึ้นวูบหนึ่ง ปรมาจารย์นักยุทธ์น้อยๆ ผู้หนึ่ง ต่อให้เขาจะไม่ได้ลงมืออย่างสุดกำลัง แต่ยังสามารถบดขยี้อย่างง่ายดาย ทว่าเมื่อครู่นี้จ้านอู๋มิ่งกลับดูเหมือนจะไม่ได้รับผลกระทบจากการคุกคามของตน ตลอดจนความเร็วของการเคลื่อนไหวท่าร่างก็เทียบได้กับภาพมายาของเสวียนเสวียนจื่อเลยทีเดียว สิ่งนี้ทำให้เขามิอาจไม่ประหลาดใจ
“เ้าไม่เคยมองดูข้าให้ชัดเจนมาก่อนแม้แต่น้อย”
“ดูแล้วแผนการในวันนี้เป็ฝีมือเ้าทั้งหมดจริงๆ ข้า้ารู้ว่าเ้าสามารถปลดค่ายกลกลืนกินจิติญญาในจิติญญาแห่งชีวิตของจู้เชียนเชียนได้อย่างไร” พลันโม่ฉางชุนฉุกคิดขึ้นมาทันใดว่าสิ่งที่จ้านอู๋มิ่งพูดมาเมื่อครู่นี้อาจเป็ความจริง
“ง่ายดายยิ่ง ขอเพียงมีพลังมากเพียงพอ มากจนทำให้ค่ายกลิญญาที่เ้าจัดวางไว้ ไม่สามารถกลืนกินได้ทัน เช่นนั้นค่ายกลิญญาดังกล่าวย่อมจะพังทลาย…” จ้านอู๋มิ่งยักๆ ไหล่ ไม่ปฏิเสธที่จะตอบคำถามของโม่ฉางชุน
“มหาค่ายกลหมื่นดวงิญญาสักการะฟ้านี้ก็เป็ค่ายกลที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อทำลายค่ายกลกลืนกินจิติญญาในจิติญญาแห่งชีวิตของจู้เชียนเชียน?” พลันโม่ฉางชุนนึกขึ้นมาทันใด ถามขึ้นอย่างใ
“เ้าคาดเดาถูกแล้ว!” จ้านอู๋มิ่งยิ้มแล้ว “ความจริงทั้งหมดนี้เตรียมมาขึ้นเพื่อเ้าโดยเฉพาะ ตระกูลโม่ของพวกเ้าล้วนคอยแต่เล่นงานผู้อื่นมาตลอดทั้งชีวิต ช่วยผู้อื่นแก้ไขดวงชะตาย้อนทวนฝืนฟ้า แต่กลับลอบลงมืออย่างลับๆ ทำให้พวกเขากลายเป็หมากนำโชคชะตาให้ตนเอง ที่พี่ชายรู้สึกขัดตามากที่สุดก็คือกลุ่มพวกเ้านี้ที่เปลือกนอกดูสง่างามสูงส่ง แต่กลับกลายเป็คนชั่วที่จิตใจต่ำช้าเลวทรามแสนสกปรก ดังนั้นข้าจึงคิดกำจัดเหล่าบรรดาคนตระกูลโม่ทั้งหมดที่อยู่ในแผ่นดินนี้ให้หมดสิ้นไปอย่างถอนรากถอนโคน เนื่องจากฟ้าดินแห่งนี้ไม่ใช่ของพวกเ้า”
“อาศัยเ้าน่ะหรือ!” โม่ฉางชุนหัวเราะอย่างดูแคลนแล้ว เมื่อครู่นี้เขาเพียงแค่โจมตีลวกๆ โดยไม่ตั้งใจ ถึงแม้จ้านอู๋มิ่งจะหลบรอดไปได้ แต่ถ้าหากจ้านอู๋มิ่งคิดว่ามีเพียงเท่านี้ นั่นก็เป็เื่ตลกสิ้นดีเื่หนึ่ง ในสายตาของเขา จ้านอู๋มิ่งก็ยังคงเป็เพียงมดปลวกตัวหนึ่งเท่านั้นเอง ถ้ามิใช่เพราะเขา้าทราบคำตอบของเื่ราวบางอย่าง เกรงว่าจ้านอู๋มิ่งจะไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้จนถึงตอนนี้แล้ว
“ทว่าเ้าไม่สามารถจะได้เห็น เพราะข้ารับปากตัวประหลาดเฒ่าเ่าั้แล้วว่าวันนี้เ้าจะต้องตาย เ้าก็ไม่ต้องครุ่นคิดให้มากความเช่นกัน” จ้านอู๋มิ่งส่ายหน้า
“ผู้เยาว์ที่ไม่รู้จักความ แต่ข้ากลับรู้สึกมิอาจตัดใจสังหารเ้าขึ้นมาบ้างแล้ว ข้ารู้สึกว่าเ้ามีชีวิตอยู่มีคุณค่ายิ่งกว่าตายมากมายนัก แน่นอน ข้าจะทำให้เ้าเชื่อฟังวาจาข้า” ระหว่างโม่ฉางชุนพูดจา พลันภายในดวงตาเปล่งประกายแสงสีแดงแปลกๆ ชนิดหนึ่งขึ้นมาทันใด คล้ายดั่งหมอกจางๆ ผืนหนึ่งครอบคลุมไปทางจ้านอู๋มิ่ง
“ตูมมม…” ขณะแสงสีแดงกำลังจะแตะถูกจ้านอู๋มิ่ง ก็ะเิกระจายออก กลายเป็ควันสีเขียวสายหนึ่งหายไปจนไร้ร่องรอย ข้างกายจ้านอู๋มิ่งดูเหมือนจะล้อมรอบด้วยเปลวเพลิงไร้สภาพชั้นหนึ่ง กลับสามารถป้องกันความชั่วร้ายทั้งปวง
“เป็ไปได้อย่างไร” โม่ฉางชุนรู้สึกแค่ว่าจิตสมาธิสะท้านขึ้นคราหนึ่ง แก่นแท้ิญญาปฐมภูมิที่แผ่ออกไปถูกแผดเผาจนสะอาดหมดจด ทำให้จิติญญาเขารู้สึกเ็ปขึ้นมาวูบหนึ่ง ปรมาจารย์นักยุทธ์น้อยๆ ผู้หนึ่งกลับสามารถมีเปลวเพลิงจิติญญาอันน่ากลัวถึงเพียงนี้ ถึงกับสามารถแผดเผาทำลายแก่นแท้ิญญาปฐมภูมิของตน ทำให้ตนไม่สามารถที่จะควบคุมความคิดของจ้านอู๋มิ่งได้
จ้านอู๋มิ่งรู้สึกถึงสภาวะพลังของโม่ฉางชุนพุ่งพรวดขึ้น เขาทราบว่าโม่ฉางชุนหมดความอดทนแล้ว สำหรับคนที่ไม่สามารถควบคุมได้ผู้หนึ่ง โม่ฉางชุนรู้สึกว่าไม่จำเป็จะต้องเหลือไว้แล้ว
“ให้เ้าได้เห็นพลังที่แท้จริงของจักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์สักครั้ง นี่คือสิ่งที่เ้าจินตนาการไม่ถึง…” โม่ฉางชุนตวาดเสียงต่ำคราหนึ่ง พลังจิติญญาแห่งการต่อสู้ระหว่างฟ้าดินดูเหมือนจะได้ยินเสียงเรียกร้อง ท่ามกลางความมืดมิด ล้วนรวบรวมมาทางโม่ฉางชุนอย่างบ้าคลั่ง
สมรภูมิรบกระดูกขาว กลิ่นอายมรณะทั้งหมดกำลังผันแปร ิญญาชั่วร้ายของมหาค่ายกลหมื่นดวงิญญาสักการะฟ้าก็คล้ายดั่งไม่สามารถยับยั้งการเปลี่ยนแปลงของฟ้าดินเช่นกัน
ในสถานที่ห่างไกล กลุ่มวีรบุรุษมองดูจากเมืองวันสิ้นโลกอย่างไกลๆ พบว่าคลื่นในมหาสมุทรวันสิ้นโลกดูเหมือนจะถูกดึงไปในทันใด หยาดน้ำตลอดแนวชายฝั่งทั้งหมดลดฮวบลงหลายวาในทันใด
“ดูสิ ทางสมรภูมิรบกระดูกขาวด้านโน้น...” มีคนอุทานเสียงใ
“เกิดเื่อะไรขึ้นกันแน่…” บางคนอุทานเสียงใ เนื่องจากทั่วทั้งน่านน้ำมหาสมุทรทางด้านสมรภูมิรบกระดูกขาวคล้ายดั่งเริ่มปั่นป่วนขึ้นมาแล้ว ระลอกคลื่นในมหาสมุทรวันสิ้นโลกคล้ายดั่งมุ่งหน้าไปทางสมรภูมิรบกระดูกขาวทั้งหมด คลื่นทะเลไม่มีที่สิ้นสุดดุจดั่งกำแพงที่ไร้ขอบเขต คล้ายจะบดขยี้ทั่วทั้งสมรภูมิกระดูกขาวให้พังทลายพินาศสิ้น
“อู๋มิ่ง…” อาจารย์บรรพบุรุษผู้เฒ่าเทียนฉานและเยว่หลิงซานสีหน้าล้วนแปรเปลี่ยน นี่คือฝีมือของโม่ฉางชุน การโจมตีสุดกำลังของจักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นจึงสามารถทำให้ฟ้าดินขับขานตอบรับ เหล่าธาตุส่งเสียงร้องประสาน
“ต่อให้ท่านทั้งสองรุดไปเวลานี้ก็เกรงว่าจะไร้ประโยชน์เช่นกัน” เหยียนเต้าจื่อขัดขวางเยว่หลิงซานและเทียนฉานจื่อเอาไว้ กล่าวว่า “ท่านทั้งสองสมควรรู้สึกดีใจจึงจะถูก ลองคิดดู ไฉนโม่ฉางชุนต้องโจมตีสุดกำลัง นี่บ่งบอกถึงสิ่งใด?”
เยว่หลิงซานสีหน้าสงบลงทันใด คำพูดของเหยียนเต้าจื่อทำให้เขานึกถึงความเป็ไปได้อย่างหนึ่ง โม่ฉางชุนจำเป็ต้องโจมตีปรมาจารย์นักยุทธ์ผู้หนึ่งอย่างสุดกำลังเช่นนี้หรือ? จักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์ผู้หนึ่ง้าสังหารปรมาจารย์นักยุทธ์น้อยๆ คนหนึ่ง เพียงแค่ยื่นนิ้วก้อยออกข้างหนึ่งเท่านั้น หลังจากนั้นในสถานการณ์ที่อีกฝ่ายไร้เรี่ยวแรงต้านทาน ก็จะถูกกดจนสิ้นชีวิตอยู่ที่พื้น…ต่อให้เผชิญหน้ามหาจักรพรรดิา โม่ฉางชุนก็ไม่จำเป็ต้องโจมตีออกจนหมดอย่างสุดกำลังเช่นกัน แต่เวลานี้การโจมตีของโม่ฉางชุนคล้ายดั่งกำลังรวบรวมพลังของฟ้าดินอย่างสุดกำลัง…สิ่งนี้ทำให้เยว่หลิงซานถอนหายใจด้วยความโล่งอกเป็เวลาสองสามวัน นั่นแสดงว่าโม่ฉางชุนเผชิญหน้ากับคนผู้หนึ่งที่เขาจำเป็ต้องโจมตีอย่างสุดกำลัง…ส่วนคู่ต่อสู้คนนี้จะใช่จ้านอู๋มิ่งหรือไม่ พวกเขาไม่สามารถคาดเดาได้
“เป็ไปได้อย่างไร โม่ฉางชุนถึงกับโจมตีอย่างสุดกำลัง นี่มันสถานการณ์อะไรกัน…” บรรพบุรุษผู้เฒ่าสูงสุดมองดูพลังฟ้าดินที่กำลังรวมตัวกันอย่างคลุ้มคลั่ง ขมวดคิ้วเล็กน้อย การโจมตีชนิดนี้ของโม่ฉางชุนกับการต่อสู้กับกลุ่มจักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์กลางอากาศแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง กลางนภากาศยามนั้น ไม่มีผู้ใดสามารถระดมพลังแห่งฟ้าดินได้อย่างเต็มที่ เนื่องเพราะทุกคนล้วนเป็จักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์ด้วยกัน ระหว่างการต่อสู้เป็ไปไม่ได้ที่จะได้มีโอกาสรวบรวมพลังแห่งฟ้าดิน ขณะเดียวกัน เขตแดนระหว่างจักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์รบกวนซึ่งกันและกัน ทั้งยังต่อต้านซึ่งกันและกัน คิด้าครองความได้เปรียบอย่างสมบูรณ์ในสภาวะพลัง นั่นเป็ไปไม่ได้อย่างเด็ดขาด และในโอกาสที่จะโจมตีโดยยืมพลังจากฟ้าดิน ก็ไม่สามารถที่จะครองได้เปรียบมากนักเช่นกัน ดังนั้น การต่อสู้ของกลุ่มจักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์ด้วยกันจึงจืดชืดยิ่งกว่า ยิ่งต้องใช้ความแข็งแกร่งและฝีมือการต่อสู้ตลอดจนทักษะเคล็ดวิชาลับ การระดมพลังแห่งฟ้าดินอย่างบ้าคลั่งเช่นโม่ฉางชุนในเวลานี้ นั่นเป็เพราะจ้านอู๋มิ่งให้เวลาและโอกาสแก่เขามากเพียงพอ แต่การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ ทำให้ผู้คนค่อนข้างงวยงงอยู่บ้างจนไม่สามารถอธิบายได้
หนานกงหลิวอวิ๋นก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยเช่นกัน เขาคิดไม่ออกจริงๆ ว่าไฉนโม่ฉางชุนถึงจำเป็เปิดศึกต่อสู้ครั้งใหญ่เช่นนี้ เพื่อจัดการกับปรมาจารย์นักยุทธ์น้อยๆ ผู้หนึ่ง แต่สำหรับทุกสิ่งภายในสมรภูมิรบกระดูกขาว มีผลกระทบจากมหาค่ายกลหมื่นดวงิญญาสักการะฟ้านั่น สายตาของพวกเขาไม่สามารถแผ่ขยายเข้าไปได้เลย น่านน้ำมหาสมุทรแถบนั้นเวลานี้มีเพียงหมอกหนาทึบจากการผันแปรของิญญาชั่วร้าย ไม่เพียงแค่บดบังสายตา อีกทั้งยังปิดกั้นการแผ่ประสาทััตรวจสอบของทุกคนอีกด้วย
สำหรับการล่าสังหารโม่ฉางชุน พวกเขาไม่มุ่งหวังอีกต่อไปแล้ว ซึ่งความจริงจ้านอู๋มิ่งกล่าวถูกต้องแล้วถึงสิ่งที่พวกเขาเกรงกลัวจากส่วนลึกในใจ สิ่งที่พวกเขาครั่นคร้ามไม่ใช่ตัวโม่ฉางชุนเอง แต่เป็วิธีการแปลกพิสดารที่สามารถควบคุมพวกเขา ในฐานะที่เป็หนึ่งในสำนักนิกายชั้นนำในแผ่นดินนี้ แม้ว่าสำนักนิกายจะเคารพนับถือจักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์มาโดยตลอด แต่ในส่วนลึกของสำนักนิกายยังคงมีตัวประหลาดเฒ่าเทพเ้าาประจำอยู่ เพียงแต่ว่าเทพเ้าาไม่เคยปรากฏตัวและไม่ได้ลงมืออย่างง่ายดาย ถ้าโม่ฉางชุนกล้าเข้าสู่ภายในของแต่ละสำนักนิกายหลักจริงๆ เช่นนั้นก็จะต้องถูกเทพเ้าาโจมตีอย่างรุนแรงแน่นอน ต่อให้โม่ฉางชุนเป็จักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์ระดับสูงสุดก็ตาม หาก้าสำเร็จบรรลุเป็เทพเ้าา ใต้หล้าจะมีสักกี่คนที่สามารถทำถึงขั้นนี้ได้?
ถ้าจ้านอู๋มิ่งทราบวิธีการควบคุมคนของตระกูลโม่จริงๆ แต่ละสำนักนิกายย่อมมีการป้องกัน เช่นนั้นในอนาคตย่อมต้องระมัดระวังมากยิ่งขึ้น ในใจของบรรดาจักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์ทราบดี ต่อให้จ้านอู๋มิ่งเสียชีวิตแล้ว เช่นนั้นเขาก็คงจะมีวิธีการส่งต่อความลับนี้ไว้ให้กับสำนักบริบาลเดรัจฉานเนิ่นนานแล้ว ถึงเวลานั้นสำนักบริบาลเดรัจฉานก็จะต้องประกาศเื่นี้ให้ทราบกันอย่างทั่วถึงเช่นกัน เวลานี้พวกเขาทำได้แค่รอคอยเพียงอย่างเดียว
