“หลบหน่อยๆ หลีกทางหน่อยสิ เกิดเื่อะไรขึ้นตรงนี้เรอะ ใครกำลังจะฆ่าใครกัน?” กลุ่มคนแหวกออกเป็สองฟากฝั่ง มือปราบสี่คนพร้อมอาวุธครบมือเดินตรงเข้ามา
“หัวหน้าสวี ข้าคือตี๋วั่นเสียน เ้าคนชั่วผู้นี้คิดจะสังหารข้า ได้โปรดรีบช่วยข้าเร็วเข้า” ตี๋วั่นเสียนซึ่งคุกเข่าอยู่บนพื้นมองเห็นมือปราบทั้งสี่คนเดินเข้ามาใกล้ๆ จึงะโก้องร้องขาน ดีอกดีใจเสียยิ่งกว่าเห็นหน้าบิดาบังเกิดเกล้าของตนเสียอีก
“คุณชายตี๋”
ตี๋วั่นเสียนเป็คุณชายจากตระกูลเศรษฐีร่ำรวย มือปราบหลายๆ คนจึงรู้จักหน้าค่าตาเขา เมื่อหัวหน้าสวีเห็นว่าตี๋วั่นเสียนถูกคนบังคับให้นั่งคุกเข่าก็ใจนสะดุ้งโหยง รีบเปลี่ยนเป้าสายตาไปทางใบหน้าเคร่งขรึมของเยี่ยเฉินเฟิง พลางคาดเดาฐานะของอีกฝ่าย
“หัวหน้าสวี เขาเป็แค่คนพาลที่ไม่เห็นกฎหมายบ้านเมืองอยู่ในสายตา ไม่มีเบื้องลึกเื้ัอะไรทั้งนั้น ขอแค่ท่านช่วยข้าจับกุมเขาได้ ตระกูลตี๋ของข้าจะต้องตอบแทนท่านอย่างงามแน่นอน”
เห็นพวกหัวหน้าสวียังคงสองจิตสองใจเหมือนตัดสินใจไม่ได้ ตี๋วั่นเสียนก็ฉลาดพอจะคาดเดาได้ว่าพวกเขากังวลเื่ใดอยู่ จึงะโบอกอีกฝ่าย
“ไม่มีเื้ั!”
ได้ยินตี๋วั่นเสียนกล่าวเช่นนั้น หัวหน้าสวีก็ตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาด สายตาที่มองเยี่ยเฉินเฟิงอยู่พลันเย็นเยียบ ตวาดใส่อีกฝ่ายลั่น “เ้ากล้าดีมาจากไหนถึงได้คิดสังหารคนซึ่งๆ หน้าเช่นนี้”
“สังหารคนซึ่งหน้า? ใช้ตาดูก็รู้แล้วว่าพวกเขาเป็ฝ่ายมาหาเื่ข้าก่อน พวกเขาก็แค่พลังอ่อนด้อยกว่าจึงสู้ข้าไม่ไหว สุดท้ายก็ถูกข้าทุบตีอย่างที่เห็น” เยี่ยเฉินเฟิงยกแขนไพล่หลัง เอ่ยตอบอย่างเฉยเมย
“บังอาจนัก อยู่ต่อหน้าข้ายังกล้าทำตัวโอหังอีกเรอะ” หัวหน้าสวีกล่าวขึ้นด้วยสายตาอำมหิต “มัวเฉยอยู่ทำไมล่ะ ยังไม่รีบไปจับตัวมันมาอีก ถ้ามันกล้าขัดขืนก็ฆ่าทิ้งได้เลย”
“ทำตัวยิ่งใหญ่เสียเหลือเกิน”
เยี่ยเฉินเฟิงแสยะยิ้มเย็น แรงกดดันมหาศาลราวกับูเาไฟที่กำลังะเิพรั่งพรูออกมาจากร่างกายของเขา
ในยามนี้เขาคล้ายกับหมาป่าที่ซ่อนเร้นกายอยู่แสนนาน แยกเขี้ยวยิงฟันแหลมคมข่มขู่
เมื่อััได้ถึงแรงกดดันอันสุดแสนน่ากลัวของเยี่ยเฉินเฟิง มือปราบสองคนที่อยู่ใกล้เขาก็ใจหล่นวูบลงเท้า ความหวาดกลัวทับถมจิตใจจนไม่เหลือที่ว่าง ส่งผลให้พวกเขาเผลอก้าวถอยหลังอย่างไม่รู้ตัว แทบไม่กล้าเฉียดเข้าไปใกล้อีกฝ่าย
“จะ...เ้าคิดจะทำอะไร? คิดจะฝ่าฝืนกฎหมายใช้กำลังต่อต้านงั้นเรอะ?”
หัวหน้าสวีไม่คาดคิดว่าเยี่ยเฉินเฟิงจะมีพลังที่แข็งแกร่งถึงขั้นนี้ เขาทำเป็ใจดีสู้เสือกล่าวเตือนอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงขาดห้วง
“ถ้าพวกเ้าไม่กลัวตายก็บุกเข้ามาพร้อมกันเลยสิ แต่เตรียมใจรับผลที่จะตามมาเอาเองละกัน” เยี่ยเฉินเฟิงใช้สายตาเ็ากวาดมองทั้งสี่คน พลางพูดบอกด้วยน้ำเสียงโเี้
“เ้า...”
กลุ่มของหัวหน้ามือปราบสวีถูกความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายกดดันจนชะงักค้าง ไม่มีใครกล้าก้าวออกไปเลยแม้แต่คนเดียว
ส่วนตี๋วั่นเสียนที่คุกเข่าอยู่ที่พื้นก็ตัวแข็งทื่อเพราะััจิตสังหารที่แผ่กระจายออกมาจากร่างเยี่ยเฉินเฟิงได้ เหงื่อเม็ดโตจำนวนมากผุดขึ้นบนหน้าผากของเขา ร่างกายสั่นสะท้านเล็กน้อย
ในขณะที่สถานการณ์ดำเนินไปอย่างตึงเครียด ทั้งสองฝ่ายพร้อมจะเข้าปะทะกันได้ทุกเมื่อ เฉียวจิ้งยวนที่สวมชุดกระโปรงยาวสีแดงสด รูปร่างอ้อนแอ้นอรชร สัดส่วนโค้งเว้าได้รูปงดงามก็ก้าวขาเรียวยาวทรงเสน่ห์ออกมาจากสำนักฝึกยุทธ์ เอ่ยตำหนิขึ้นเสียงดัง “เยี่ยเฉินเฟิงเป็สหายของข้า หากพวกเ้ากล้าก็ลองแตะต้องเขาดูสิ”
“คุณหนูเฉียว”
ตระกูลเฉียวและตระกูลตี๋ต่างก็เป็ตระกูลมหาเศรษฐีที่ร่ำรวย แต่ฐานะของตระกูลเฉียวอยู่สูงกว่าตระกูลตี๋อย่างเห็นได้ชัด เมื่อเฉียวจิ้งยวนปรากฏตัวขึ้น หัวหน้าสวีที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกก็ถึงกับผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก กล่าวทักทายอีกฝ่ายด้วยความเคารพ
“อืม...”
เยี่ยเฉินเฟิงไม่คาดคิดมาก่อนว่าเฉียวจิ้งยวนจะออกหน้าช่วยตนในเวลาเช่นนี้ หัวคิ้วของเขาขมวดเข้าหากัน เกิดความสงสัยว่าตอนที่ตนไปช่วยนางไว้ได้หลุดพิรุธอะไรจนนางจับได้หรือเปล่า
แต่พอลองนึกดูดีๆแล้ว เฉียวจิ้งยวนที่ตกอยู่ในฤทธิ์ยาอย่างหนัก อีกทั้งตนยังใช้หน้ากากหนังมนุษย์ปลอมแปลงรูปโฉม โอกาสที่จะถูกนางจับได้แทบไม่มีเลยด้วยซ้ำ
แต่ถึงนางจะจับได้จริงๆ เขาก็ไม่มีวันยอมรับหรอก
ต่อให้เฉียวจิ้งยวนจะงดงามมากเพียงใด แต่นางเป็คนประเภทที่บูชาลาภยศสรรเสริญมากเกินไป เยี่ยเฉินเฟิงจึงไม่เคยคิดจะยุ่งเกี่ยวอะไรกับนาง และไม่อยากมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งมากไปกว่าที่เป็อยู่ตอนนี้ด้วย
“เยี่ยเฉินเฟิง ข้ามีธุระอยากคุยกับเ้าหน่อย เ้าพอจะสะดวกคุยกันตามลำพังไหม?”
เฉียวจิ้งยวนที่เย่อหยิ่งประดุจนกยูงเมินเฉยหัวหน้ามือปราบสวี นางจ้องมองเยี่ยเฉินเฟิงด้วยสายตาซับซ้อนพร้อมเอ่ยถามขึ้นอย่างแ่เบา
นางบังเอิญเห็นเหตุการณ์ตอนที่เขากำลังสั่งสอนตี๋วั่นเสียนเข้าพอดี ภาพที่เยี่ยเฉินเฟิงสำแดงพลังอำนาจมันดันซ้อนทับกับเงาร่างที่วนเวียนอยู่ในห้วงความคิดของนางพอดี
“คุณหนูเฉียว สหายของท่านเพิ่งจะลงมือทุบตีผู้บริสุทธิ์อย่างคุณชายตี๋ไปหมาดๆ ถ้าหากข้าปล่อยเขาไปทั้งอย่างนี้ ข้าก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายเื่นี้ต่อตระกูลตี๋อย่างไรดีจริงๆ” หัวหน้าสวีพูดอย่างลำบากใจ
“หากเ้าไม่มีคำอธิบายเื่นี้ต่อตระกูลตี๋ แปลว่าเ้ามีคำอธิบายเื่นี้ต่อตระกูลเยี่ยของข้าสินะ เขาเคยเป็คนของตระกูลเยี่ยมาก่อน หากเขาถูกใส่ร้ายและไม่ได้รับความยุติธรรม ตระกูลเยี่ยของพวกเราจะไม่ยอมอยู่เฉยแน่”
เฉียวจิ้งยวนยังไม่ทันจะได้แผลงฤทธิ์เดช เยี่ยจื่อหลิงที่ทราบข่าวก็ปรากฏตัวขึ้นที่นอกสำนักฝึกยุทธ์เสียก่อน
“เฮ้อ!”
เยี่ยเฉินเฟิงไม่อยากติดค้างอะไรกับตระกูลเยี่ยอีกแล้ว แต่ยังไม่ทันจะได้ทำอะไร ตนก็ติดค้างหนี้น้ำใจของเยี่ยจื่อหลิงไปเสียแล้ว
“อึก...ตระกูลเยี่ยแห่งนครหลวง”
หากการปรากฏตัวของเฉียวจิ้งยวนทำให้หัวหน้าสวีคิดหนักล่ะก็ การปรากฏตัวของเยี่ยจื่อหลิงก็สามารถทำให้เขาพลิกลิ้นได้เช่นกัน
หากคิดที่จะล่วงเกินตระกูลเยี่ยล่ะก็ อย่าว่าแต่ในเมืองไป๋ตี้เลย คาดว่าทั้งแคว้นจื่อจินแห่งนี้ก็คงไม่เหลือที่ให้เขายืนอีกต่อไป
“ต้องขออภัยคุณชายเยี่ยด้วย เมื่อครู่ข้าเผลอล่วงเกินท่านเพราะมีตาหามีแววไม่ ขอท่านอย่าได้ถือโทษโกรธเคืองผู้น้อยเช่นข้าเลย” เมื่อหัวหน้าสวีเห็นว่าฐานะของเยี่ยเฉินเฟิงไม่ธรรมดา เขาก็รีบเปลี่ยนหน้าตาท่าทาง ค้อมศีรษะโค้งกายขออภัยอีกฝ่ายทันที
“ไสหัวไป!” เยี่ยเฉินเฟิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น เขารังเกียจพวกที่กลับกลอกตลบตะแลงเช่นนี้จากใจจริง
“ได้ๆ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้เลย!”
หัวหน้าสวีและพรรคพวกแตกกระเจิงเหมือนดั่งนกหวาดเกาทัณฑ์ กระจัดกระจายหนีหายอย่างลนลาน
พอพวกหัวหน้าสวีเผ่นหนีไปแล้ว ตี๋วั่นเสียนที่ขวัญหนีดีฟ่อก็ไม่กล้าอยู่ต่อ เขารีบคลานขึ้นจากพื้นอย่างทุลักทุเล เผ่นหนีไปอย่างว่องไวราวกับติดปีก
“ขอบใจนะ!”
หลังจากพวกตี๋วั่นเสียนหายไปหมดแล้ว เยี่ยเฉินเฟิงก็กล่าวขอบคุณเย่จื่อหลิงพร้อมผงกศีรษะให้เล็กน้อย
“เยี่ยเฉินเฟิง คราวหน้าก็ระวังตัวเอาไว้บ้างล่ะ”
เยี่ยจื่อหลิงกล่าวทิ้งท้ายเพียงประโยคสั้นๆ และเดินกลับเข้าสำนักฝึกยุทธ์ไปทันที
“เยี่ยเฉินเฟิง ข้ามีเื่บางอย่างใคร่จะถามเ้า เ้าช่วยตอบข้ามาอย่างสัตย์จริงจะได้ไหม?” เมื่อคนที่มุงดูอยู่แยกย้ายกันไปหมดแล้ว เฉียวจิ้งยวนจึงหันมาเอ่ยถามเสียงแ่ สายตาวาววับของนางจับจ้องไปที่เยี่ยเฉินเฟิง
“เื่อะไร?” เยี่ยเฉินเฟิงแกล้งทำเป็ไม่รู้เื่
“คนที่ช่วยข้าเอาไว้ในคืนนั้นใช่เ้าหรือไม่” นางมองอีกฝ่ายด้วยสายตาซับซ้อน ในแววตาสะท้อนการรอคอยอย่างคาดหวังและความลังเลไม่แน่ใจ
“คืนนั้น? เ้ากำลังพูดถึงเื่อะไรกัน? ข้าว่าเ้าคงจะจำผิดคนแล้วล่ะ”
เยี่ยเฉินเฟิงขมวดคิ้วเล็กน้อย ถามกลับอีกฝ่ายด้วยท่าทีฉงนสนเท่ห์
“ไม่ใช่เ้าจริงๆ หรือ?” เฉียวจิ้งยวนสังเกตแววตางุนงงของเยี่ยเฉินเฟิง ความผิดหวังฉายชัดบนใบหน้าของนาง
แม้ในใจลึกๆ ของนางจะไม่เชื่ออยู่แล้วว่าคนที่ช่วยนางในคืนนั้นจะเป็เยี่ยเฉินเฟิง แต่เพราะภาพที่เยี่ยเฉินเฟิงลงมือสั่งสอนตี๋วั่นเสียน คล้ายคลึงกับชายคนที่ช่วยนางไว้ในคืนนั้นมากเหลือเกิน
“ขอโทษนะ แต่ข้าไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเ้าหมายถึงอะไร?” เยี่ยเฉินเฟิงส่ายหน้าปฏิเสธ
“ไม่มีอะไรหรอก ข้าขอตัวไปทำธุระก่อนนะ”
เฉียวจิ้งยวนไม่พบพิรุธจากสีหน้าของเยี่ยเฉินเฟิงเลยสักนิด จึงได้แต่ยิ้มเยาะตัวเองในใจ และเลิกสนใจใยดีในตัวของเยี่ยเฉินเฟิง
‘เฉียวจิ้งยวน!’
สายตามองตามแผ่นหลังอันงดงามของเฉียวจิ้งยวนที่เดินจากไป เยี่ยเฉินเฟิงแอบทอดถอนใจอยู่เล็กน้อย
หลังจากได้สมองกลืนเทวะ เขาก็มีพื้นที่ให้ก้าวเดินกว้างไกลไพศาลกว่าเดิมหลายเท่า แคว้นจื่อจินจะกลายเป็เพียงความทรงจำ่สั้นๆ สำหรับเขา
และใน่เวลาสั้นๆนั้น เขาไม่คิดจะสร้างความทรงจำอะไรให้มากไปกว่านี้ จะได้ไม่ส่งผลกระทบต่อเส้นทางการฝึกฝนพลังของเขา
