ดวงตาของหลี่เจี้ยนอันฉายแววหวั่นวิตก พูดเสียงขรึมว่า “ตอนแรกนายอำเภอคิดว่า มียาพิษในไส้ทอด จึงส่งเ้าหน้าที่ศาลมาจับตัวครอบครัวหลิวจู้ไปทั้งหมด ต่อมาเมื่อฟังคำให้การของครอบครัวหลิวจู้แล้วจึงตัดสินว่า ครอบครัวหลิวจู้ขายอาหารเน่าเสียให้ลูกค้า ลงโทษโบยสองสามีภรรยาหลิวจู้ยี่สิบไม้ ถูกห้ามขายอาหารและปรับเงินเจ็ดตำลึงให้ครอบครัวผู้เสียหายทั้งห้าครอบครัว”
เมื่อเ้าหน้าที่ศาลลงโทษโบย พวกเขาจะถอดกางเกงผู้ถูกโบยให้เห็นก้นต่อหน้าทุกคน
สองสามีภรรยาหลิวจู้ต้องเปลือยก้น และถูกเ้าหน้าที่ศาลโบยยี่สิบไม้ ได้รับความทุกข์ทรมานทั้งกายใจ
หลี่หรูอี้พูดอย่างเนิบช้า “ครอบครัวหลิวจู้คงหาเงินเจ็ดตำลึงไม่ได้แน่ คงต้องขายที่แล้วกระมัง”
ที่ของเขาอยู่ทางเหนือซึ่งไม่มีราคาเท่าที่ทางทิศใต้ ราคาที่ดินดีๆ ในแต่ละหมู่บ้านของอำเภอฉางผิงอยู่ที่หมู่ละสี่ตำลึง หาก้าเงินเจ็ดตำลึงต้องขายที่เกือบสองหมู่จึงจะได้
หลี่ฝูคังจงใจพูดขึ้นว่า “ท่านแม่ ต่อไปพวกเราก็เชื่อน้องสาวเถิด หากไม่ฟังคง…”
หลี่เจี้ยนอันเห็นจ้าวซื่อใจนไหล่สั่น จึงรีบร้อนพูดขึ้นว่า “เอาล่ะ เ้าอย่าพูดอีกเลย ต่อไปท่านแม่ต้องเชื่อคำพูดของน้องสาวแน่”
หลี่หรูอี้กุมมือที่เย็นเฉียบของจ้าวซื่อ พูดเสียงอ่อนโยนว่า “ท่านแม่ ไม่ต้องเป็ห่วงเ้าค่ะ ขอเพียงครอบครัวพวกเราไม่ขายอาหารจานเนื้อที่เก็บไว้ข้ามคืนในฤดูร้อน ย่อมไม่เกิดเื่แน่นอน”
เื่นี้ทำให้ทุกคนไม่มีอารมณ์กินอาหารเย็นเท่าใดนัก
ความสนใจของจ้าวซื่อย้ายจากเื่แยกบ้านของเฟิงซื่อมาอยู่ที่เื่ของหลิวจู้แล้ว ทำให้นางรู้สึกหวาดหวั่นเป็อย่างยิ่ง
หลี่หรูอี้จึงเดินไปส่งจ้าวซื่อที่ห้องนอน “ท่านแม่เ้าคะ ไม่ว่าจะทำการค้าใดย่อมมีความเสี่ยงทั้งนั้น ขอเพียงไม่โลภมากก็จะเลี่ยงความเสี่ยงเ่าั้ได้”
“ข้าเกือบทำร้ายครอบครัวของพวกเราเสียแล้ว” น้ำเสียงของจ้าวซื่อเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด
“สุดท้ายท่านก็ฟังคำพูดของพวกเราพี่น้องไม่ใช่หรือเ้าคะ วันนั้นก็กินไส้ทอดไปจนหมด ไม่ได้ให้ท่านพี่เอาไปขายวันรุ่งขึ้นไม่ใช่หรือ?” หลี่หรูอี้ถือโอกาสกล่าวต่อ “หากเป็ท่านพ่อจะต้องไม่ฟังคำเตือนของพวกเราพี่น้องเป็แน่”
จ้าวซื่อนั่งนิ่ง
หลี่หรูอี้พูดเสียงอ่อย “ต่อไปหากท่านพ่อกลับมาแล้วไม่ฟังคำเตือนของพวกเราพี่น้องในเื่เกี่ยวกับการค้า ท่านต้องอยู่ข้างพวกเรานะเ้าคะ”
“ได้” จ้าวซื่อพยักหน้า “ข้าจะช่วยพวกเ้าเตือนเขาแน่นอน”
“เงินทองแดงนี้ให้ท่านเ้าค่ะ” หลี่หรูอี้นำถุงเงินออกมาวางลงในมือของจ้าวซื่อ และเพื่อเบี่ยงความสนใจของนางจึงถามขึ้นว่า “ท่านลองชั่งน้ำหนักดูสิเ้าคะ ลองทายดูว่ามีเท่าไร?”
“มากเพียงนี้เชียวหรือ?” จ้าวซื่อรู้สึกยินดียิ่ง เปิดถุงเงินออกนับ “ห้าสิบทองแดงเชียว!”
หลี่หรูอี้พูดยิ้มๆ “นี่เป็เงินที่พวกเราได้มาจากการขายแป้งย่างต้นหอมหนึ่งร้อยแผ่นกับแป้งย่างใส่ไข่สองร้อยแผ่น มีรายรับมากก็ให้เงินท่านมาก”
ตอนนี้คนในตัวอำเภอส่วนใหญ่รู้จักแป้งย่างใส่ไข่ของบ้านหลี่แห่งหมู่บ้านหลี่แล้ว นั่นเป็ร้านที่มีเพียงหนึ่งเดียวของเมืองทางเหนือ มีเงินเพียงสองทองแดงก็ซื้อได้แล้ว
ความยินดีของจ้าวซื่อแปรเปลี่ยนเป็ความชื่นชม นางกอดบุตรีสุดที่รัก กล่าวชมว่า “หรูอี้ของข้า เ้าช่างมีความสามารถจริงๆ ตัวเล็กเพียงนี้ก็หาเงินเข้าบ้านได้วันละมากมายเช่นนี้แล้ว”
“ไม่ใช่แค่ข้านะเ้าคะ มีพี่ชายของข้าด้วย” หากอยู่ในโลกเดิม พี่ชายทั้งสี่ของนางคงอยู่ใน่วัยมัธยมต้นและประถม แต่เมื่อเกิดในแคว้นต้าโจวกลับต้องดิ้นรนหาเงินให้ครอบครัวสุดชีวิต ทำให้นางรู้สึกนับถือ รักใคร่ และสงสารพวกเขาด้วย
“ข้าคลอดพวกเ้ามานับว่าเป็บุญของข้าจริงๆ”
“พวกเราได้เป็ลูกท่าน นับเป็บุญของพวกเราต่างหาก” หลี่หรูอี้พูดออกมาจากใจจริง มือทั้งสองโอบกอดจ้าวซื่อไว้ ตอนนี้์ไม่ใจร้ายกับนางแล้ว ทรงประทานมารดาที่อ่อนโยน ใจดี ขยัน และจริงใจให้นางคนหนึ่ง
ครอบครัวทำการค้ามาเกือบครึ่งเดือนแล้ว นอกจากจะมอบเงินให้จ้าวซื่อได้ หลี่หรูอี้ก็เก็บเงินได้อีกสองตำลึงกว่า
แม้จ้าวซื่อจะให้ความสำคัญกับเงิน แต่ก็ไม่ได้เก็บเงินที่ลูกๆ หามาได้ไว้ที่ตนทั้งหมด ในจุดนี้นับว่านางดีกว่าสตรีคนอื่น
สองแม่ลูกคุยกันต่ออีกเล็กน้อย เมื่อหลี่หรูอี้เห็นจ้าวซื่อหาวนางจึงกลับไปล้างหน้าที่ห้องนอน
ภายใต้แสงสลัวจากตะเกียงน้ำมัน หลี่หรูอี้มองไปรอบๆ ห้องนอนขนาดราวยี่สิบตารางเมตร แม้มีพื้นที่ไม่เล็ก แต่มีเพียงเตียงไม้เก่าๆ หลังหนึ่ง โต๊ะแปดเซียนโยกเยกอีกตัวหนึ่ง ไม่มีกระทั่งม้านั่งด้วยซ้ำ นอกจากนี้ก็เป็พื้นที่ว่างเปล่า
ที่นอนบนเตียงทั้งเก่าและขาด ใยฝ้ายในผ้าห่มก็รวมกันจนแข็งเป็ปม ประสิทธิภาพในการให้ความอบอุ่นลดลงมาก
ตอนนี้เป็ฤดูร้อนที่ร้อนอบอ้าวจึงไม่ต้องใช้ผ้าห่ม แต่เมื่อถึงฤดูหนาว ด้วยผ้าห่มเช่นนี้คงทนหนาวไม่ไหว
ที่แย่ที่สุดก็คือ บ้าน คานบ้านถูกพวกแมลงและปลวกกัดกินจนมีเศษไม้ร่วงลงมาบ่อยๆ หลังคาบ้านที่มุงด้วยหญ้าคาก็ชำรุดเป็รูหลายรู ไม่กี่วันก่อนฝนตกหนัก ในบ้านก็มีน้ำรั่วเข้ามา
หากถึงฤดูหนาว เกิดหิมะตกหนักแล้วทำความสะอาดหิมะที่สะสมบนหลังคาไม่ทัน บ้านที่มุงจากหญ้าคาของครอบครัวหลี่อาจถล่มลงมาก็เป็ได้
ตอนแรกที่นางอยากมีเงินเพราะ้าขุดบ่อน้ำ แต่ตอนนี้นางตัดสินใจว่าจะซ่อมแซมบ้านก่อน
ในหมู่บ้านหลี่มีคนรับจ้างขุดบ่อน้ำอยู่ ปกติขุดหนึ่งบ่อต้องใช้เงินสี่ตำลึง หากเป็คนหมู่บ้านเดียวกันจะถูกลงเล็กน้อย แต่ก็ต้องใช้เงินสามตำลึงแปดสิบทองแดง
หากจะซ่อมบ้านก็ต้องไปหาจ้างคนในหมู่บ้านหลี่ โดยผู้ใหญ่วัยฉกรรจ์หนึ่งคนคิดค่าจ้างหกทองแดง รวมอาหารสองมื้อ ค่าแรงงานไม่ได้แพง ที่แพงคือค่าวัสดุ
นางให้พี่ๆ ไปถามมาแล้ว หากจะซ่อมบ้านทั้งห้องของครอบครัวหลี่ ซ่อมแซมเล็กน้อยใช้เงินห้าตำลึง หากซ่อมแซมครั้งใหญ่จะใช้เงินสิบตำลึง
ซ่อมแซมเล็กน้อยก็คือ เปลี่ยนคานบ้านและหลังคา ส่วนซ่อมแซมครั้งใหญ่ก็คือ รักษาฐานบ้านเอาไว้และสร้างบ้านใหม่บนฐานเดิม
หากคำนวณจากรายรับของกิจการค้าขายของบ้านหลี่ในตอนนี้ หนึ่งเดือนหาเงินได้อย่างน้อยห้าตำลึง สองเดือนจึงจะพอนำเงินมาซ่อมแซมบ้านครั้งใหญ่ได้
นางคิดไปคิดมาจนกระทั่งหลับไปโดยไม่รู้ตัว
วันต่อมา เมื่อฟ้าเริ่มสว่าง นางก็ตื่นตรงเวลา เื่แรกที่ทำก็คือเปิดหน้าต่างมองท้องฟ้า นับว่า์เป็ใจจริงๆ วันนี้ฟ้าโปร่งอีกแล้ว
หลี่อิงฮว๋าและหลี่ิ่หานกำลังจุดไฟ นวดแป้ง และตอกไข่อยู่ในครัว
หลังจากล้างหน้าเรียบร้อย หลี่หรูอี้ก็เดินเข้าไปในห้องครัว เริ่มทำแป้งย่างใส่ไข่
ตอนนี้ครอบครัวหลี่จะไปขายแป้งย่างใส่ไข่หกสิบแผ่นและแป้งย่างต้นหอมยี่สิบแผ่นที่ตำบลจินจีทุกวัน
ในโลกก่อน แป้งย่างใส่ไข่ทุกแผ่นจะต้องสอดไส้ไข่หนึ่งฟอง แต่ในโลกนี้หลี่หรูอี้ใส่ไข่เข้าไปในแป้งย่างเพียงหนึ่งในสี่ฟองเท่านั้น เช่นนี้จะทำให้ต้นทุนต่ำลง ราคาของแป้งย่างจะได้ไม่แพง ทำให้มีคนซื้อได้มาก
สามพี่น้องยุ่งอยู่เกือบหนึ่งชั่วยาม เมื่อหลี่อิงฮว๋าและหลี่ิ่หานกินอาหารเช้าเสร็จก็นำแป้งย่างออกไปขาย
วันนี้ชายชราไฝดำในตำบลจินจีมาเช้ากว่าพี่น้องบ้านหลี่
คราวที่แล้วหลังจากชายชราไฝดำล้มเหลวเื่แป้งย่างต้นหอม ทั้งยังตากฝนและโกรธเกรี้ยวจนป่วยไปหลายวัน เพิ่งได้ออกมาตั้งร้านเมื่อสองวันก่อน
ชายชราไฝดำตั้งใจซื้อแป้งย่างต้นหอมของบ้านหลี่ไปหนึ่งแผ่น หลังจากกินเสร็จก็ตัดสินใจไม่ทำแป้งย่างต้นหอมแล้ว เปลี่ยนไปทำแป้งข้าวโพดย่างแทน
แป้งข้าวโพดย่างแผ่นหนาเท่าฝ่ามือ ขายสองแผ่นหนึ่งทองแดง ชายชราไฝดำคิดใช้แป้งข้าวโพดย่างที่ถูกกว่ามาแข่งกับพี่น้องบ้านหลี่
ในหมู่ลูกค้าที่มีเงินมากินอาหารเช้านอกบ้าน แต่ละครอบครัวก็ทำแป้งข้าวโพดย่างเป็อยู่แล้ว บางคนยังทำอร่อยกว่าชายชราไฝดำเสียอีก
พวกเขายอมจ่ายเงินมากขึ้นเล็กน้อยเพื่อซื้อแป้งย่างต้นหอมและแป้งย่างใส่ไข่ของพี่น้องบ้านหลี่ แต่ไม่ยอมซื้อแป้งข้าวโพดย่าง
แป้งข้าวโพดย่างของชายชราไฝดำขายไม่หมด จึงทำได้เพียงลดจำนวนลง จากวันแรกขายร้อยแผ่น ลดลงจนกระทั่งตอนนี้ขายวันละสี่สิบแผ่น
เสียงกังวานใสของหลี่ิ่หานดังขึ้นในเมืองตำบล “แป้งย่างใส่ไข่เพียงหนึ่งเดียวในฝั่งเหนือ เป็หนึ่งไม่มีสอง ทั้งอร่อยและถูก เร่เข้ามาจ้า รีบซื้อรีบกินเลยจ้า!”
ชายชราไฝดำกำลังง่วนอยู่กับเกี๊ยวน้ำในหม้อที่มีไอร้อนพวยพุ่ง เมื่อได้ยินเสียงเรียกลูกค้าอันคุ้นเคยมือก็สั่นไปเล็กน้อยจนเกี๊ยวน้ำในมือเกือบตกลงพื้น บ่นพึมพำว่า “ไข่ไก่หนึ่งชั่งกับแป้งขาวหนึ่งชั่งเพิ่งจะกี่ทองแดงเอง แป้งย่างใส่ไข่แผ่นหนึ่งขายตั้งสามทองแดง สองแผ่นขายห้าทองแดง นี่ยังเรียกว่าถูกอีกหรือ?”
.......................................