เนื่องจากรีบร้อนออกมา เหยียนอู๋อวี้จึงมิได้พกอาวุธมาด้วย นางเพียงแค่เหน็บกระบี่อ่อนด้ามหนึ่งไว้ข้างเอว จังหวะที่หันกลับมา เหยียนอู๋อวี้ชักกระบี่อ่อนออกมาแทงใส่คู่ต่อสู้ไปตรงๆ ต่อให้ฆ่าตายในคราเดียวไม่ได้ อย่างน้อยก็โจมตีให้อีกฝ่ายรับมือไม่ทัน
ไม่คาดคิดเลยว่ากระบี่อ่อนของเหยียนอู๋อวี้จะช้าไปก้าวหนึ่ง ร่างของอีกฝ่ายมาอยู่เบื้องหน้านางแล้ว นางพลิกฝ่ามือแทงโจมตีกระบวนท่าที่สองทันที ขณะเห็นผู้ที่มาชัดเจน ปอยผมเบาบางพลันตกลงมาบนมือเขาอย่างไร้ซุ่มไร้เสียงแล้ว
“เป็ท่าน” เหยียนอู๋อวี้เห็นผู้ที่มาชัดเจนแล้ว นางแอบนึกในใจว่าโชคดี ยังดีที่ยั้งมือได้ทันเวลา ไม่เช่นนั้นใบหน้าหล่อเหลานั่นต้องทิ้งรอยแผลเป็แน่
ผู้ที่มาคือจวินอู๋เสีย เขายกแขนขึ้นพลางใช้ปลายนิ้วดุจหยกขาวปัดกระบี่ออกเบาๆ กระบี่อ่อนจึงเคลื่อนตำแหน่งไปทางอื่น
“ท่านบุ่มบ่ามเกินไปแล้ว” เหยียนอู๋อวี้กล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง
จวินอู๋เสียกลับไม่ถือสา เขาซ่อนเส้นผมไว้ในอ้อมแขนพลางเปิดปากเอ่ย “ท่านไปพบอาลักษณ์อู๋ในคุก?”
“ใช่” เหยียนอู๋อวี้มิได้ปิดบังในจุดนี้
“ไทเฮาพบหนังสือสมรู้ร่วมคิดกับศัตรูในเรือนเขาจึงเตรียมลงทัณฑ์เขา” จวินอู๋เสียกล่าวเสียงราบเรียบ “ท่านช่างกล้าหาญยิ่งนัก”
เหยียนอู๋อวี้ไม่คิดจะตอบคำถามนี้ของเขา นางมักรู้สึกแปลกๆ คล้ายถูกเด็กที่ตนเองเฝ้าดูจนเติบใหญ่สั่งสอน แม้ยามนี้เขาสูงกว่าตนเองไปมากแล้ว ทว่าในใจเหยียนอู๋อวี้ยังคิดเสมอว่าเขาตัวเล็กกว่านางตลอดไป
“ท่านมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?” เหยียนอู๋อวี้เปลี่ยนเื่
“ข้าเห็นท่านออกมาจึงตามไป” จวินอู๋เสียเอ่ยราวกับมิใช่เื่ใหญ่โตอันใด
ทว่าเหยียนอู๋อวี้กลับใสุดขีด “ท่านรู้ได้อย่างไรว่าคืนนี้ข้าจะออกมา?”
“ข้าเพียงแค่รู้สึกว่าหากท่านไม่ยื่นเท้าเข้าไปในเื่นี้ก็ดูจะผิดปกติเกินไปสักหน่อย ตอนกลางวันข้าเห็นท่านไปที่ตำหนักบรรทมของอู๋เจาหรง ตอนกลางคืนต้องออกมาอีกเป็แน่ ข้าเพียงเฝ้าอยู่ที่ต้นไม้รอคอยกระต่ายออกมาเท่านั้น”
เหยียนอู๋อวี้เผยสีหน้าประหลาดใจอีกครั้ง จากนั้นจึงเผยไอสังหารออกมาในดวงตาทันที “ท่านสะกดรอยตามข้า”
จวินอู๋เสียมองนางคราหนึ่ง ก่อนจะหัวเราะออกมาพลางกล่าวว่า “ข้าคิดว่าสหายเก่าของท่านผู้นั้นน่าจะบอกท่านเช่นกันว่าที่แห่งนั้นเป็สถานที่นัดพบระหว่างเรา ไม่รู้ว่าท่านหรือนางกันแน่ที่ลืม?”
แน่นอนว่าเหยียนอู๋อวี้ไม่ได้ลืม ทว่าก็พูดไม่ได้เช่นกัน นางทำได้เพียงกล่าวตอบ “ถึงอย่างนั้นก็คงไม่มีเื่บังเอิญเช่นนี้กระมัง”
“ข้าเดินเล่นในสถานที่แห่งนั้นหลายครั้งแล้ว ทางลับเส้นนั้นข้าก็รู้เป็อย่างดี ไม่นับว่าบังเอิญอันใด ท่านไป ข้าก็ย่อมรู้”
บนใบหน้าของจวินอู๋เสียไม่มีความโกรธเคืองเลยแม้แต่น้อย ทั้งสายตาที่มองนางยังอบอุ่นอย่างยิ่ง เมื่อเห็นเหยียนอู๋อวี้ไม่สบายใจ กลับกลายเป็ว่าคล้ายตนเองชวนทะเลาะอย่างไร้เหตุผลเสียอย่างนั้น
ระหว่างที่ทั้งสองสนทนากันก็ได้ออกมาจากคุกหลวงแล้ว เหยียนอู๋อวี้เดินนำเขาไปยังสถานที่ห่างไกลแห่งหนึ่ง จากนั้นจึงเปิดปากเอ่ย “ในเมื่อเป็เช่นนี้ ข้าก็จะไม่ปิดบังท่านอีก”
จวินอู๋เสียคาดหวังมานานแล้ว ดวงตาคู่นั้นมองตานางเงียบๆ ต่อให้ยืนอยู่เบื้องหน้าเขา เหยียนอู๋อวี้ก็ไม่มีความคิดที่จะถอดผ้าปิดหน้าออก ศีรษะและใบหน้านางถูกคลุมเอาไว้ เหลือเพียงดวงตากระจ่างใสคู่หนึ่ง จวินอู๋เสียมองมันเงียบๆ จิตใจเหม่อลอยครู่หนึ่ง เขาคิดว่าตนเองได้เห็นใครอีกคน ก่อนจะแอบยกยิ้มอยู่ภายในใจ มิใช่หรือ?
เหยียนอู๋อวี้กลับมิได้คาดเดาความคิดเขา นางเพียงแค่เล่าเื่ที่เกิดขึ้นในคุกให้เขาฟังหนึ่งรอบ จากนั้นจึงกล่าวว่า “ไพ่ตายของอาลักษณ์อู๋อยู่ในเรือนรับรองแถบชานเมือง เรือนรับรองแห่งนั้นมิได้ใช้ชื่อเขา คนธรรมดาย่อมหาที่นั่นไม่พบอย่างแน่นอน”
ในที่สุดจวินอู๋เสียก็เอ่ยปากถาม “ท่านจะไปหรือ?”
เหยียนอู๋อวี้ส่ายศีรษะ “ไม่ ข้ามิได้ไปเอง”
จวินอู๋เสียเผยสีหน้าสงสัย จากนั้นจึงคิดได้ว่า “ท่าน้าให้ข้าไป?”
เหยียนอู๋อวี้มองเขาอย่างชื่นชม เด็กคนนี้ฉลาดจริงๆ นางยังไม่ได้เปิดปากก็คาดเดาออกแล้ว นางจึงกล่าวโดยไม่ปฏิเสธ “แน่นอนว่าเป็ท่านที่ไป เดิมทีข้า้าไปหาท่านเช่นกัน เพียงแต่ชั่วขณะไม่รู้จะไปหาท่านได้อย่างไร เจอกันวันนี้นับเป็เื่บังเอิญแล้ว”
“มิใช่เื่บังเอิญ เป็ข้าตามท่านมา” จวินอู๋เสียเอ่ยแก้
เื่เล็กน้อยเช่นนี้เหยียนอู๋อวี้ไม่คิดหยุมหยิมกับเขาอยู่แล้ว แม้ตอนแรกจะรู้สึกโกรธเคืองที่เขาจับผิดนาง ทว่าก็เพียงแค่โกรธเคืองที่เขาสะกดรอยตาม เจตนาฆ่านั่นเป็สัญชาตญาณในร่างกาย นางยังมีความเชื่อใจต่อเด็กหนุ่มผู้นี้อย่างอธิบายมิได้ บางทีอาจเป็เพราะเขาทิ้งภาพผีเสื้อมากมายไว้ในศาลากระมัง
“ข้า้าให้ท่านช่วยไปที่เรือนรับรองแห่งนั้นเพื่อดูว่าแท้จริงแล้วด้านในซ่อนสิ่งใดไว้ หากข้าคาดเดาไม่ผิด คงจะเป็หลักฐานกระทำผิดบางอย่างขององค์หญิงใหญ่ หากโชคดี อาจจะพบสิ่งของของซ่งอี้หาน”
“ท่านจะทำอย่างไร?” จวินอู๋เสียพึมพำรอบหนึ่งแล้วจึงถามนาง “หากพบหลักฐาน เป็ไปไม่ได้ที่ท่านจะพลิกคดีของตระกูลอวิ๋นได้อย่างง่ายดาย”
เหยียนอู๋อวี้กล่าวพลางแย้มยิ้ม “อู๋เจาหรงใส่ร้ายข้ามาโดยตลอด นอกจากนี้ยังมีส่วนเกี่ยวข้องในคดีของตระกูลอวิ๋นอีกด้วย ข้าจะไปช่วยคนตระกูลอู๋ได้อย่างไร?”
จวินอู๋เสียคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงกล่าวว่า “เข้าใจแล้ว ท่านอยากให้ซ่งอี้หานยื่นมือช่วยตระกูลอู๋”
เหยียนอู๋อวี้ชื่นชมจวินอู๋เสียอยู่ในใจพลางกล่าวว่า “ไม่เลว ข้าช่วยตระกูลอู๋ไม่ได้แน่นอน ทว่าซ่งอี้หานกระทำได้ ต่อให้รัชทายาทไร้ประโยชน์จะกลายเป็เสียนอ๋องแล้ว แต่กระนั้นเขาก็ยังเป็อ๋อง ในเมื่อเขาลากองค์หญิงใหญ่กับอาลักษณ์อู๋เข้ามาพัวพันด้วยกัน เช่นนั้นเขาก็คงมิได้มีอำนาจเพียงเท่านี้เป็แน่”
“เช่นนั้น องค์หญิงใหญ่ต้องถูกตัดทอนอำนาจอย่างแน่นอน อำนาจก็จะตกไปอยู่ที่ซ่งอี้หาน” จวินอู๋เสียมองนางด้วยความสงสัย “ท่านคิดจะลงมือกับองค์หญิงใหญ่ก่อนหรือ? หากเป็เช่นนั้น เกรงว่าซ่งอี้หานจะได้ประโยชน์แทน”
“อำนาจของอาลักษณ์อู๋ได้มาจากองค์หญิงใหญ่ ซ่งอี้เฉินกับไทเฮาต่างจ้องกันตาเป็มัน ข้าไม่อยากให้อำนาจตกไปอยู่ในมือของไทเฮา ยิ่งใหญ่ที่สุดเพียงหนึ่งเดียวมิใช่เื่ดี และข้าก็ไม่อยากให้ตกไปอยู่ในมือของซ่งอี้เฉินเช่นกัน เพราะข้าไม่มีทางยอมให้เขากลับมาเป็ใหญ่อีกครั้งอย่างเด็ดขาด ทว่าซ่งอี้หานต่างออกไป ในเมื่อเขาจำศีลมานานเพียงนี้ย่อม้าบางสิ่งอย่างแน่นอน ข้ายังไม่รู้แน่ชัดว่าตอนนี้เขามีกำลังอำนาจมากน้อยเพียงใด เพียงแต่อย่างน้อย ตราบใดที่เขารับ่ต่อคดีนี้ เขาต้องได้อำนาจของอาลักษณ์อู๋โดยที่เทพไม่รู้ผีไม่เห็นอย่างแน่นอน นอกจากนี้ยังทำให้เชื้อพระวงศ์ทั้งสามพระองค์นั้นหวาดระแวงกันเองอีกด้วย”
“หากไม่เห็นด้วยตาตนเอง ข้าคงเดาไม่ออกว่าท่านจะมีความคิดและการกระทำเชิงกลยุทธ์ที่ไม่ด้อยกว่าไปอวิ๋นอู๋เหยียนเลย” จวินอู๋เสียมองนางพลางเอ่ยปากชมคล้ายตั้งใจคล้ายมิได้ตั้งใจ
เหยียนอู๋อวี้แย้มยิ้มพลางกล่าวว่า “ข้าไม่อยากเป็นาง นางเป็คนโง่”
“มีคนรักล้วนโง่งม” จวินอู๋เสียเอ่ยขึ้นมาโดยไม่รู้ตัวและมิได้ส่งเสียงใดออกมาอีก
“ชีวิตนี้ของนางไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้าย ดีต่อผู้อื่นอย่างสุดจิตสุดใจ กลับถูกคนที่มอบความจริงใจให้ทำลายหมดสิ้นทั้งตระกูล” เหยียนอู๋อวี้เอ่ยพลางนึกถึงอดีตโดยไม่รู้ตัวอีกครั้ง “ชีวิตนี้ของนาง นอกจากบิดามารดาแล้ว เกรงว่าคงไม่มีผู้ใดชอบนางเลย อู๋เหยียนที่หมายถึงไร้สี และอู๋เหยียนที่หมายถึงอัปลักษณ์ ฉีเซวียนหวังปฏิบัติต่อจงอู๋เยี่ยนเช่นไร ซ่งอี้เฉินก็ปฏิบัติต่อนางเช่นนั้น ต่อให้เปลี่ยนคน เกรงว่าก็คงมีจุดจบเช่นเดียวกัน”
“ไม่มีคนรักนาง ไม่ใช่เพราะรูปร่างหน้าตา” จวินอู๋เสียพูดโพล่งออกมา ไม่รู้เหตุใดใบหน้าเขาจึงแดงซ่าน
เหยียนอู๋อวี้มิได้สังเกตเห็น นางส่ายศีรษะด้วยรอยยิ้มพลางมองเขาแล้วเอ่ยว่า “ท่านยังเด็ก ไม่เข้าใจเื่พวกนี้ ภายหลังรู้รสชาติของความรักก็จะเข้าใจเองว่าความรักเกิดจากรูปลักษณ์”
นางเอ่ยพลางแย้มยิ้มอีกครั้ง “นั่นเป็เหตุผลที่ท่านไม่ชอบเหยียนรั่วฟางมิใช่หรือ?”
จวินอู๋เสียส่ายศีรษะแล้วอธิบายทันที “ข้ามิได้คิดอันใดต่อบุตรสาวของเหยียนเฉิงเซี่ยงแม้แต่น้อย สตรีหยาบคายเช่นนี้ไม่ควรค่าให้มอง สรุปแล้ว ความรักไม่เกี่ยวอันใดกับรูปลักษณ์ แต่เกี่ยวกับหัวใจ”
เหยียนอู๋อวี้มองเขาอย่างจนใจ นางมิได้ยืนกรานบังคับเขาอีกต่อไป เพียงแค่เอ่ยถามว่า “ท่านยินดีไปที่นั่นแทนข้าหรือไม่?”