บทที่ 10: วันที่ั์ล้ม (8 ธันวาคม 2540)
เช้าวันที่ 8 ธันวาคม 2540 อากาศในกรุงเทพฯ หนาวเย็นกว่าปกติ แต่ในวงการการเงิน... มันร้อนระอุจนแทบจะลุกเป็ไฟ
ฉันนั่งจิบกาแฟอยู่ในออฟฟิศใหม่ที่เพิ่งต่อเติมเสร็จ ฟังวิทยุประกาศข่าวด้วยใจที่เต้นระรัว แม้จะรู้อยู่แล้วจากอนาคตว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่พอได้ยินประกาศจากองค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน (ปรส.) จริงๆ ขนแขนก็ลุกซู่
"...ขอประกาศรายชื่อ 56 สถาบันการเงินที่ถูกสั่งปิดกิจการถาวร ดังนี้..."
รายชื่อแล้วรายชื่อเล่าถูกอ่านออกอากาศ เหมือนรายชื่อผู้เสียชีวิตในา
จนกระทั่งถึงชื่อลำดับที่ 42... "บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ ธนกิจรุ่งเรือง จำกัด (มหาชน)"
แก้วกาแฟในมือฉันสั่นกึก
นั่นมัน... ธุรกิจของตระกูล 'กรณ์'
...
ย่านสาทร (ศูนย์กลางการเงิน)
ฉันสั่งให้คนขับรถ (ใช่... ตอนนี้ฉันมีคนขับรถส่งของแล้ว) ขับรถกระบะฝ่าการจราจรที่ติดขัดมาที่หน้าตึกสำนักงานใหญ่ของ "ธนกิจรุ่งเรือง"
ภาพที่เห็นคือกลียุค
พนักงานบริษัทนับพันคนยืนกอดกล่องใส่ของใช้ส่วนตัวร้องไห้อยู่หน้าตึก ลูกค้านับร้อยะโด่าทอ ทุบประตูกระจก เรียกร้องจะเอาเงินฝากคืน ป้ายชื่อบริษัทที่เคยสง่างามถูกปาไข่เน่าและสีแดงใส่จนเลอะเทอะ
ฉันเบียดเสียดฝูงชนเข้าไป ท่ามกลางเสียงกรีดร้องและความสิ้นหวัง สายตาสอดส่ายหาคนเพียงคนเดียว
และฉันก็เจอเขา...
ที่บันไดหินอ่อนหน้าตึก 'กรณ์' นั่งทรุดตัวลงอย่างหมดสภาพ
สูทราคาแพงหลุดลุ่ย เนคไทถูกปลดออก กางเกงเปื้อนฝุ่น ใบหน้าที่เคยหล่อเหลาเกลี้ยงเกลาตอนนี้เต็มไปด้วยไรหนวดและขอบตาที่ดำคล้ำ แว่นสายตาที่เขาหวงนักหนา... เลนส์ข้างหนึ่งมีรอยร้าว
เขาดูเหมือนราชสีห์ที่ถูกเลาะเขี้ยวเล็บจนหมดสิ้น
ลูกน้องคนสนิทหายหัวไปหมด เหลือเพียงเขาคนเดียวที่นั่งรับหน้าฝูงชนที่กำลังโกรธแค้น
"เอาเงินกูคืนมา! ไอ้พวกขี้โกง!" ขวดน้ำพลาสติกถูกขว้างใส่หัวเขา
กรณ์ไม่หลบ เขาแค่นั่งนิ่งๆ ยอมรับชะตากรรม ราวกับตายทั้งเป็ไปแล้ว
ฉันทนดูไม่ได้อีกต่อไป
"หลบไป!"
ฉันะโเสียงดัง พร้อมกับใช้ศอกกระแทกฝูงชน แหวกทางเข้าไปจนถึงตัวเขา
ฉันมายืนขวางหน้ากรณ์ กางแขนออกปกป้องเขาจากสิ่งของที่ปลิวว่อน
"คุณบัว..." กรณ์เงยหน้าขึ้นมองฉัน ดวงตาที่เคยคมกล้าบัดนี้ว่างเปล่าและแดงก่ำ "คุณ... มาทำไม? มาสมน้ำหน้าผมเหรอ?"
"ลุกขึ้น" ฉันสั่งเสียงแข็ง
"ผมไม่ไป... นี่คือความรับผิดชอบของผม ปล่อยให้พวกเขาด่าผมเถอะ ผมไม่มีปัญญาคืนเงินพวกเขา" เสียงเขาสั่นเครือ
"ฉันบอกให้ลุกขึ้น!" ฉันกระชากคอเสื้อสูทเขา ดึงร่างสูงใหญ่ที่ไร้เรี่ยวแรงให้ลุกขึ้นยืน "การที่คุณมานั่งเป็เป้านิ่งให้เขาปาของใส่ มันไม่ได้ช่วยให้หนี้ลดลงสักบาทเดียว! ลุก! แล้วไปกับฉัน!"
ฉันลากแขนเขาฝ่าฝูงชน โดยมี รปภ. ที่เหลืออยู่ไม่กี่คนช่วยกันกันทางให้
เราวิ่งไปขึ้นรถกระบะส่งของของโรงงานฉันที่จอดรออยู่
"ออกรถเลยลุง! ไปที่โรงงาน!"
...
โรงงานชัยเฟอร์นิเจอร์ (ยามค่ำ)
กรณ์นั่งนิ่งอยู่บนโซฟาในห้องทำงานของฉัน ในมือถือแก้วน้ำอุ่นที่สั่นระริก
เขาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็ชุดคนงานไซส์ใหญ่สุดที่ฉันหาให้ ทำให้เขาดูแปลกตาไปอีกแบบ
"จบแล้ว..." กรณ์พึมพำ "มรดกปู่... ธุรกิจพ่อ... ผมทำมันพังคามือ หมดตัวแล้วบัว ผมไม่เหลืออะไรแล้ว บ้าน รถ บัญชีธนาคาร โดนอายัดหมด"
เขาหัวเราะออกมาทั้งน้ำตา "ตลกดีนะ เดือนก่อนผมยังขู่จะยึดโรงงานคุณอยู่เลย... ตอนนี้ผมกลายเป็หมาจนตรอกที่ต้องมาขอข้าูลูกหนี้กิน"
ฉันเดินไปนั่งที่โต๊ะทำงาน เปิดลิ้นชักหยิบสมุดเช็คเล่มหนึ่งออกมา แล้วเขียนตัวเลขลงไป
...ไม่ใช่เช็คใช้หนี้ แต่เป็เช็คเงินสดก้อนหนึ่ง
ฉันเดินไปวางเช็คตรงหน้าเขา
"นี่คือเงินเดือนล่วงหน้า 3 เดือน"
กรณ์มองเช็ค แล้วมองหน้าฉันอย่างงุนงง "ค่าอะไร? คุณจะให้ทานผมเหรอ? ผมไม่รับ!"
"ไม่ใช่ทาน" ฉันกอดอก มองเขาด้วยสายตาของ CEO รินลดา "นี่คือค่าจ้าง... สำหรับตำแหน่ง CFO (ประธานเ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน) ของ ชัยเฟอร์นิเจอร์ เอ็กซ์ปอร์ต จำกัด"
"อะไรนะ?"
"ฟังนะคุณกรณ์" ฉันพูดเสียงจริงจัง "คุณอาจจะล้มเหลวในการรักษาบริษัทกงสีไว้ เพราะฟองสบู่มันแตกทั้งระบบ ไม่ใช่ความผิดคุณคนเดียว... แต่ความรู้ในหัวคุณ ประสบการณ์การเงินของคุณ คอนเนกชันต่างประเทศของคุณ... ปรส. ยึดมันไปไม่ได้"
ฉันเดินเข้าไปจับไหล่เขา บีบแน่นเพื่อเรียกสติ
"ตอนนี้โรงงานฉันกำลังโต ฉันขายของเก่ง ฉันดีไซน์เก่ง... แต่ฉันบริหารการเงินพอร์ตใหญ่ๆ ไม่เป็ ฉัน้ามืออาชีพมาช่วยวางระบบ บัญชี ภาษี การลงทุน... และฉันไม่ไว้ใจใคร นอกจากคุณ"
"คุณ... ไว้ใจคนล้มละลายอย่างผมเนี่ยนะ?" กรณ์ถามเสียงแ่
"ฉันไม่ได้มองว่าคุณเป็คนล้มละลาย" ฉันสบตาเขา "ฉันมองเห็น 'กรณ์' คนเดิม คนที่เคยมองเห็นศักยภาพในตัวฉันตอนที่ฉันไม่มีอะไรเลย... ตอนนี้ถึงตาฉันมองเห็นศักยภาพของคุณบ้าง"
ฉันยื่นมือออกไปหาเขา เหมือนวันแรกที่เราเจอกัน
"มาทำงานใช้หนี้ฉันซะดีๆ... ฉันใช้งานหนักนะ บอกไว้ก่อน"
กรณ์มองมือฉัน น้ำตาผู้ชายไหลลงมาอาบแก้มเงียบๆ
ความหยิ่งทะนงในศักดิ์ศรีมลายหายไป เหลือเพียงความซาบซึ้งใจ
เขายื่นมือที่สั่นเทามาจับมือฉัน แล้วบีบแน่น
"ตกลงครับ... เ้านาย"
เขายิ้มออกมา ทั้งที่ตายังแดงก่ำ เป็รอยยิ้มที่จริงใจที่สุดเท่าที่ฉันเคยเห็น
ั์ใหญ่ได้ล้มลงแล้ว... แต่เขากำลังจะลุกขึ้นยืนใหม่ บนบ่าของหญิงสาวตัวเล็กๆ ที่เขาเคยดูถูก
ตำนานบทใหม่ของ "คู่หูนักธุรกิจ" ที่จะมาเขย่าวงการส่งออกไทย เริ่มต้นขึ้น ณ วินาทีนี้
