เซี่ยงเหมยไม่เชื่อสิ่งที่ซย่านีพูดเลยสักนิดไม่ใช่ว่าเธอไม่มีตาสักหน่อย เซี่ยงเหมยกล่าวขึ้น “เธอรู้ได้อย่างไรว่าซ่งหานเจียงไม่ได้มีใจให้เธอ? ครั้งก่อนตอนที่เธอไปขายของแล้วต้องกลับบ้านคนเดียวเขาเป็ห่วงเธอไม่ใช่หรือ เขากลัวว่าเธอจะไม่ปลอดภัยก็เลยตามเธอกลับมาบ้านนี่? แบบนี้ไม่เรียกว่ามีเธออยู่ในใจแล้วจะให้เรียกว่าอย่างไร?”
ซย่านียิ้มเบาๆ พลางส่ายหน้า “ที่ฉันพูดเป็เื่จริงนะ พี่สะใภ้ พี่ไม่รู้สถานการณ์ระหว่างเราสองคนหรอก พวกเราแต่งงานกันมาหลายปีขนาดนี้ แต่ละวันพวกเราสองคนคุยกันไม่เคยเกินสิบประโยคเลยด้วยซ้ำ”
เซี่ยงเหมยกล่าว “วันๆ เขาคลุกตัวอยู่แต่ที่มหาวิทยาลัย เธอจะไปคุยกับเขาได้ที่ไหนกัน?”
“ไม่ใช่แบบนั้นหรอก เมื่อก่อนตอนอยู่ที่บ้านเกิดของฉัน ตอนที่เขายังไม่ได้สอบติดมหาวิทยาลัย ขนาดพวกเราสองคนเจอหน้ากันทุกวันแต่กลับไม่มีเื่อะไรจะพูดกันเลย” ซย่านีปั่นจักรยานช้าๆ อดไม่ได้ที่จะเข้าสู่ห้วงความทรงจำในอดีตของตน “เขาเป็คนมีสติปัญญา เขาเป็คนชอบอ่านหนังสือ ถ้าไม่มีอะไรทำ เขาก็ยังเลือกที่จะอ่านหนังสือเหมือนเดิม ฉันเกลียดที่เขาปวกเปียกไม่มีกำลังทำงานและไม่อาจติดตามกลุ่มผู้ใช้แรงงานเพื่อออกไปทำงานหาเงินได้ ตอนนั้นฉันยังเคยดุด่าเขาด้วยนะแถมยังฉีกหนังสือของเขาอีก...ตอนนั้นเขาน่าจะเกลียดฉันแทบตายเลยล่ะค่ะ”
เซี่ยงเหมยยังคงปากแข็งต่อไป “...เื่นั้น คนสองคนแต่งงานกันย่อมต้องมีปากเสียงกันบ้าง มันก็เป็เื่ปกติไม่ใช่หรือ?”
ซย่านีส่ายหน้า “ตอนที่พวกเราสองคนเพิ่งจะแต่งงานกันนั้น มันก็ไม่ได้เป็ดีั้แ่แรกอยู่แล้วค่ะ ตอนนั้นฉันบังเอิญตกน้ำแล้วเขามาช่วยฉันไว้ แต่ครอบครัวของฉันคิดว่าฉันสูญเสียความบริสุทธิ์ไปแล้วก็เลยบังคับเขาให้แต่งงานกับฉัน ในเวลานั้นเขาคงจะรู้สึกอับจนหนทางและต้องกล้ำกลืนความไม่เป็ธรรมมากแน่ๆ”
เซี่ยงเหมยใกับคำพูดของซย่านี เธอคิดไม่ถึงเลยว่าจะมีเื่ราวมากมายซุกซ่อนอยู่ระหว่างคู่รักสองคนนี้
ซย่านีกล่าวสรุปในที่สุด “เพราะฉะนั้นแล้ว พวกเราก็ไม่จำเป็ต้องฝืนทนกันอีกต่อไป ควรต่างคนต่างไปดีแล้วค่ะ ฉันถือว่าเื่นี้เป็การปลดปล่อยพวกเราทั้งคู่แล้ว”
“เอ๊ะ เดี๋ยวก่อน...” เซี่ยงเหมยกล่าว “ไม่สิ ถ้าเขาไม่ได้ยินยอมพร้อมใจจริงๆ เขาจะมีลูกกับเธอถึงสามคนได้อย่างไร? เธอคงไม่ได้ทำลูกเองคนเดียวสามคนหรอกมั้ง? หรือเธอไปบังคับให้เขามีลูกงั้นหรือ?”
ซย่านีพูดไม่ออก “…”
เซี่ยงเหมยกล่าวต่อ “เธอพูดมาตั้งนาน ที่ไหนได้ก็คือเธอรู้สึกผิดกับซ่งหานเจียงนั่นแหละ แต่ฉันว่าซ่งหานเจียงเขาก็ไม่ได้ผูกใจเจ็บอะไรนะ หากเขาไม่ยินดีใช้ชีวิตกับเธอจริงๆ ตอนปีที่เขาสอบติดมหาวิทยาลัยก็คงไม่พาเธอกลับเมืองหลวงมาด้วยหรอก อีกอย่างพวกเธอก็มีลูกกันตั้งสามคนแล้ว ในฐานะคู่สามีภรรยาที่อยู่กันมานาน หากตอนที่แต่งงานกันไม่มีความรู้สึกต่อกันเลยก็ไม่เห็นเป็ไรเลยนี่? พวกเธอก็นับถือเป็ญาติกันก็ได้! มีคู่สามีภรรยาตั้งเท่าไหร่ที่ทะเลาะกันทุกเมื่อเชื่อวันแต่พวกเขาก็ยังยืนกรานจะอยู่ด้วยกันไม่คิดหย่าขาดต่อกัน ส่วนพวกเธอสองคนปฏิบัติต่อกันด้วยความเคารพราวกับแเื่ สถานการณ์เช่นนี้ก็ดีมากเลยนะ”
ซย่านีแทบจะคล้อยตามคำพูดของเซี่ยงเหมยเสียแล้ว!
เซี่ยงเหมยไม่สนับสนุนเื่การหย่าของซย่านีเลยจริงๆ เธอจะต้องกำจัด ‘ความคิดไร้สาระ’ ของซย่านีไปให้หมด “จะว่าไปแล้ว พวกเธอก็มีลูกด้วยกันตั้งสามคนเลยนะ! เธอยินดีที่จะปล่อยให้พวกเด็กๆ ไม่มีพ่อในอนาคตงั้นหรือ? อีกอย่างถ้าหย่ากันขึ้นมาจริงๆ เธอจะเก็บลูกไว้ได้ทั้งสามคนจริงๆ น่ะหรือ? หากซ่งหานเจียงแย่งลูกไปจากเธอเล่า เธอจะทำอย่างไร? เธอจะไปขโมยลูกคืนจากเขาหรือ? หากเขาแย่งลูกไปหนึ่งคน เธอจะไม่ปวดใจตายหรืออย่างไร?”
“เขาไม่มีทางแย่งลูกไปจากฉันได้หรอก” ซย่านียังคงมั่นใจในเื่นี้ “เขามีเื่มากมายให้ต้องทำที่มหาวิทยาลัยย่อมไม่มีทางดูแลลูกๆ ได้อยู่แล้ว ตอนนี้แม้แต่เพื่อนบ้านก็ยังรู้เลยว่าแม่สามีปฏิบัติต่อลูกๆ ของฉันไม่ดี เขาเองก็คงไม่วางใจยกเด็กๆ ให้แม่ตัวเองเลี้ยงดูหรอก”
“เธอวางแผนทุกอย่างไว้แล้วใช่ไหม?” เซี่ยงเหมยทั้งโกรธและเป็กังวล เธอไม่เข้าใจเลยทำไมซย่านีถึง้าจะหย่ากับซ่งหานเจียงด้วย? ผู้ชายดีๆ อย่างซ่งหานเจียงหายากเหมือนงมเข็มในมหาสมุทรแต่ซย่านีกลับยอมทิ้งเขาไปง่ายดายปานนี้เชียวหรือ?
ทั้งสองคนพูดคุยกันตลอดทาง ไม่ทันรู้ตัวก็ถึงบ้านเสียแล้ว
ซย่านีจอดรถสามล้อไว้ที่หน้าประตูบ้านของเธอแล้วหันกลับไปพูดกับเซี่ยงเหมยว่า “พี่สะใภ้ พี่ก็อย่าพยายามเกลี้ยกล่อมฉันอีกเลย ฉันตัดสินใจดีแล้วค่ะ”
เซี่ยงเหมยคว้าตัวซย่านีแล้วพูดกับเธอ “หากว่าทำเพื่อลูกๆ เล่า?”
ซย่านีลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่หลังจากนั้นไม่นานดวงตาของเธอก็กลับมาฉายแววแน่วแน่อีกครั้ง “ต่อไปฉันจะดีกับลูกๆ เพิ่มขึ้นเป็สองเท่าเอง”
ซ่งหานเจียงเป็บุรุษที่ดีแต่เพราะเขาเป็คนดีเกินไป ดังนั้นเธอจึงไม่อาจเป็ตัวถ่วงเขาได้
แม้ว่าซ่งหานเจียงจะเป็บุรุษที่ดีแต่เขากลับไม่ใช่บิดาที่ดี หากตอนนั้นเขาทุ่มเททำหน้าที่พ่อและใส่ใจลูกๆ อยู่เสมอ แทนที่จะมัวสนใจแต่เื่การทดลองของตนเอง ถ้าเป็เช่นนั้นแล้วต่อให้เธอเป็แม่ที่บกพร่องในหน้าที่อย่างไร สุดท้ายแล้วลูกๆ ของเธอก็คงไม่ต้องมีจุดจบแบบนั้นหรอก
ดังนั้นในความคิดของซย่านีแล้ว ไม่ว่าลูกๆ จะมีพ่ออย่างซ่งหานเจียงหรือไม่มี มันก็ไม่ต่างกันเลยสักนิด
เซี่ยงเหมยยังอยากจะพูดอะไรอีกหน่อยแต่ซย่านีกลับผลักประตูบ้านแล้วก็ะโเรียกลูกๆ ของเธอแล้ว “เสี่ยวเยวี่ยเอ๋อร์ หยางหยาง ออกมาช่วยแม่ขนของที!”
เพียงร้องเรียกแค่ครั้งเดียว เด็กทั้งสองคนก็รีบวิ่งออกจากบ้านมาราวกับะุปืน
ซย่านีแก้เชือกบนรถสามล้อพลางยิ้มตาหยีและพูดกับเด็กๆ “แม่ซื้อผ้านวม และผ้าปูที่นอนสวยๆ มาเต็มเลย เดี๋ยวพวกลูกลองเลือกกันดูนะ ชอบอันไหนก็เอาไปได้เลยจ้ะ”
“ดีจังเลย!” เด็กทั้งสองคนมีความสุขมากเลย
ซย่านีหยิบผ้าห่มนวมสองผืนนั้นขึ้นมาแล้วเอ่ยสั่ง “ลูกช่วยแม่ยกหม้อกับถ้วยชามและก็ตะเกียบพวกนี้เอาไปไว้ในห้องครัวที ส่วนมีดนั่นไม่ต้องไปยุ่งนะ เดี๋ยวแม่จะมาหยิบไปเอง”
ซ่งวั่งซูรับคำ “งั้นหนูถือหม้อเองค่ะ!” เธอถือไว้ในมือข้างละชิ้น
ซ่งตงซวี่ร้องะโ “ผมขอถือชาม!” จากนั้นเขาก็ยกชามขึ้นมาจากตะกร้าอย่างรวดเร็ว
เซี่ยงเหมยเองก็ถือของไม่น้อยเลย พวกเขาวุ่นอยู่กับการขนของเข้าบ้านหลังใหม่ซึ่งใช้เวลาขนของไปกลับถึงสองเที่ยวเลยทีเดียว
อันที่จริงแล้วสิ่งของอย่างผ้านวมหรือผ้าปูที่นอนรวมไปถึงพวกผ้าอื่นๆ ทางที่ดีที่สุดควรซักและตากแดดให้แห้งก่อนค่อยนำมาใช้ แต่ตอนนี้พิจารณาดูแล้ว พวกเขามีอยู่สองตัวเลือกเท่านั้นคือทำความสะอาดพวกผ้าต่างๆ และต้องอดทนต่อความหนาวเย็นเพราะผ้าไม่แห้ง หรือไม่ก็ไม่ต้องสนใจความสะอาดแต่สามารถทำให้ร่างกายอบอุ่นและนั่นทำให้ซย่านีก็ตัดสินใจเลือกอย่างหลัง เธอจึงวางปลอกผ้านวมไว้บนผ้าห่ม
พอจัดวางฝูกนอนและผ้าปูที่นอนดีแล้ว เธอก็พับผ้าห่มวางไว้บนหัวเตียง จากนั้นก็ใส่ปลอกหมอนและวางไว้บนผ้านวม ขั้นต่อไปก็คือเธอจะไปล้างและทำความสะอาดหม้อกับกระทะที่ซื้อมา หลังจากนั้นซย่านีก็ออกไปซื้อแป้ง ข้าว และน้ำมัน ยังมีซีอิ้ว น้ำส้มสายชู เกลือและเครื่องปรุงรสอื่นๆ อีกด้วย...
หลังจากวุ่นวายมาทั้งวัน ในที่สุดบ้านเช่าหลังนี้ก็ดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาแล้ว
ซย่านีกล่าวขึ้น “ตอนนี้ก็ขาดแค่ถ่านเท่านั้น พรุ่งนี้ฉันค่อยไปซื้อถ่านที่โรงงานถ่านหิน” ซย่านีตรวจสอบห้องหนึ่งไปยังอีกห้องหนึ่งแล้วก็ครุ่นคิดอย่างรอบคอบว่าในห้องขาดเหลืออะไรอีกบ้าง
เซี่ยงเหมยอดไม่ได้ที่จะกล่าวชื่นชม “เธอคล่องแคล่วมากเลย” มิน่าซย่านีถึงพูดคำว่า ‘หย่า’ ออกมาอย่างง่ายดาย เมื่อดูจากซย่านีที่มือไม้คล่องแคล่วเช่นนี้แล้วการจะมีหรือไม่มีซ่งหานเจียงอยู่ด้วยก็คล้ายจะไม่ต่างกัน
ซย่านีตรวจดูปล่องไฟในห้องครัวแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “คืนพรุ่งนี้ หลังจากที่พี่สะใภ้กับพี่เฝิงหย่งกลับมาจากเมืองเทียนจิน ถึงตอนนั้นก็มากินข้าวที่บ้านฉันดีไหม? เดี๋ยวฉันจะแสดงฝีมือให้ดูเอง”
เซี่ยงเหมยรับคำ “เช่นนั้นก็ดีมากเลย ถึงพรุ่งนี้ฉันจะกลับบ้านมาถึง่เย็น ฉันก็ไม่ต้องทำอาหารแล้ว”
พอพูดถึงอาหารเย็นขึ้นมา ซย่านีก็มองดูท้องฟ้าด้านนอก “พี่หิวไหมคะ? ควรกินข้าวกันเลยไหม? แล้วพี่เฝิงหย่งเล่า? พี่สะใภ้เซี่ยงเหมย พี่รีบกลับไปเรียกพี่เฝิงหย่งมากินด้วยกันเถอะ วันนี้พวกเราไปกินข้าวที่ร้านอาหารกันดีไหม?”
เซี่ยงเหมยกลอกตามองบน “เธอก็ช่างรู้จักแต่ไปร้านอาหารจริงๆ เธอหัดประหยัดเงินหน่อยสิ!” เซี่ยงเหมยดึงแขนเสื้อลงแล้วกล่าวว่า “เอาล่ะ ฉันว่าเธอเก็บของเข้าบ้านเกือบจะครบหมดแล้ว ฉันเองก็สมควรกลับบ้านได้แล้วเหมือนกัน”
ซย่านีไม่เห็นด้วย เธออยากรั้งเซี่ยงเหมยไว้เพื่ออยู่กินข้าวเย็นด้วยกัน แต่เซี่ยงเหมยกับเคลื่อนไหวรวดเร็วมาก พอหญิงสาวขึ้นรถสามล้อได้ก็ขี่หนีไปทันทีทำให้ซย่านีรั้งไว้ไม่ทัน
