เมื่อองค์หญิงอันหย่าได้ยินเสียงไทเฮา นางก็ฟื้นคืนสติทันที ก่อนจะหันมาขยิบตาให้นางกำนัลที่อยู่ด้านข้าง
นางกำนัลสองสามคนเข้าใจ ถวายคำนับ แล้วถอยออกไปอย่างเงียบๆ
จากนั้น องค์หญิงอันหย่าก็ยื่นพระหัตถ์ออกไปแตะแผ่นหลังไทเฮา ตรัสด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล แฝงความกังวลว่า “เสด็จย่า ท่านเป็อย่างไรบ้าง ฝันร้ายอีกหรือ?”
อกของไทเฮากระเพื่อมอย่างรุนแรงด้วยความใ ยามได้ยินเสียงร้องเรียกอย่างร้อนรนขององค์หญิงอันหย่า นางจึงค่อยๆ ฟื้นคืนสติ
นางฝันร้ายอีกแล้ว ฝันร้ายเช่นทุกครั้ง
นางฝันว่านางเป็เหมือนหลินมามาในวันนั้นที่ถูกหนอนกัดกินจนเหลือเพียงโครงกระดูกอีกครั้ง หลินมามาที่มีหนอนน่าเกลียดน่ากลัวคืบคลานไปทั่วร่าง ช่างน่าขยะแขยงยิ่งนัก
ตัวพวกมันพันกันจนแน่น ค่อยๆ คืบคลานไปบนร่างของนางช้าๆ แทะร่างของนางทีละนิด ไม่ว่านางจะกลิ้งไปบนพื้นอย่างไร ร้องะโดังเพียงใดก็ไม่มีใครเข้ามา...
ทุกครั้งที่ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นด้วยอาการคลื่นไส้ นางยังคงมีอาการง่วงอย่างเห็นได้ชัด แต่กลับไม่กล้าหลับอีกเลย ราวกับว่านางเป็โรคร้ายแรง ทั้งอ่อนเพลียและเหน็ดเหนื่อย
นางเริ่มฝันเช่นนี้ั้แ่วันที่เกิดเหตุกับหลินมามา ยามใดก็ตามที่นางเหนื่อยล้าจนงีบหลับไป ไม่ว่าจะเป็กลางวันหรือกลางคืน นางมักจะฝันเช่นนี้ทุกครั้ง
การรักษาของหมอหลวงล้วนไร้ผล กำยานช่วยผ่อนคลายก็ไร้ประโยชน์เช่นกัน เป็ความทรมานทำให้นางแทบสิ้นสติ
ไทเฮาสูดลมหายใจลึกๆ ค่อยๆ สงบความตื่นตระหนกในใจ เอนกายเล็กน้อย หันศีรษะมา แล้วตรัสช้าๆ ว่า “หย่าเอ๋อร์ ย่าสบายดี แค่นึกถึงเ้าคนดื้อรั้นสองคนนั้น”
ยามพูดถึงเื่นี้ ั์ตาของไทเฮาก็ฉายแสงเย็นที่ยากจะลบออก ความโกรธในใจนางพลุ่งพล่านอีกครั้ง
นางไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าหลงเซี่ยวอวี่จะดื้อรั้นได้ถึงเพียงนี้ นางเป็ถึงไทเฮาผู้สูงศักดิ์ เป็มารดาแห่งแผ่นดินที่ทุกคนเคารพรักนะ!
ต่อหน้าสาธารณชนจำนวนมาก ภายใต้สายตาที่จับตามองของผู้คน หลงเซี่ยวอวี่กล้าข่มขู่นาง พูดกับนางด้วยน้ำเสียงเช่นนั้น ทำให้นางต้องเสียหน้า
องค์หญิงอันหย่ารู้ว่าสองคนที่ไทเฮาตรัสถึงคือใคร แน่นอนว่านางเห็นความแปรปรวนทางอารมณ์ในดวงตาของไทเฮา นางก้มศีรษะลงเล็กน้อย หรี่ตาลง มุมปากยกขึ้นเป็รอยยิ้มเยาะ ก่อนแสร้งทำเป็ไม่เห็นสิ่งนี้
ไทเฮาได้รับการกระตุ้นมากพอแล้ว บัดนี้นางเพียงต้องประโคมไฟอีกครั้ง ให้พระพิโรธของไทเฮาปะทุขึ้นจนมอดไหม้ แล้วถือโอกาสตีเหล็กยามร้อน [1]
เมื่อองค์หญิงอันหย่าเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง ั์ตาของนางก็เต็มไปด้วยน้ำตาแล้ว นางมองมาที่ไทเฮาด้วยท่าทางราวกับคนเศร้าเสียใจ
ในมือถือผ้าเช็ดหน้า ยกขึ้นปกปิดดวงหน้าแล้วร้องไห้ เอ่ยน้ำเสียงเจือสะอื้น “หย่าเอ๋อร์ก็ได้ยินเื่นั้นเช่นกัน หากไม่ใช่เพราะเื่ของหย่าเอ๋อร์ เสด็จย่าคงไม่ไปหาพี่สะใภ้สาม ในยามนี้ท่านก็ไม่ต้อง...”
ขณะพูด น้ำตาของนางก็ไหลลงมาทันที ดวงตาเต็มไปด้วยน้ำตา ดูน่าสงสารมาก
“สุขภาพย่าแข็งแรงดี เป็ไปไม่ได้ที่จะถูกเ้าเด็กโง่งมทั้งสองรุมทึ้ง” สิ่งที่ไทเฮาทรงทนไม่ได้ที่สุดคือรูปลักษณ์ที่น่าสงสารของอันหย่า จึงรีบปลอบประโลมนาง “หย่าเอ๋อร์ ใจคนนั้นชั่วร้าย เ้าที่มีจิตใจดี เป็ผลให้ถูกผู้อื่นรังแก”
แต่เมื่อกล่าวถึงมู่จื่อหลิง สีหน้าของไทเฮาซีดลงทันที “มู่จื่อหลิงนางหนูตัวเหม็นผู้นั้นช่างมีปากคอเราะร้าย โต้กลับได้ทุกประโยค เปิดหูเปิดตาอายเจียจริงๆ ในวันนั้นนางคงพึ่งพาปากคอของตนทำร้ายเ้าเป็แน่”
องค์หญิงอันหย่าพระพักตร์สงบนิ่ง มีร่องรอยความสำนึกผิดปรากฏบนใบหน้าซีดเล็กน้อย “อันที่จริงเื่นี้ไม่อาจตำหนิพี่สะใภ้สามได้ทั้งหมด ด้วยทั้งหมดเป็เพราะหย่าเอ๋อร์พาอี๋เสวี่ยเข้าไปแสดงความเคารพต่อพี่สะใภ้สาม ใครจะรู้ว่าหลังจากนั้นพวกนางสองพี่น้องจะโต้เถียง หย่าเอ๋อร์จึงอยากเกลี้ยกล่อม...”
ไทเฮายังทรงประสงค์จะสืบเื่วันนั้นว่าเกิดอะไรขึ้น?
ท้ายที่สุด สิ่งที่มู่จื่อหลิงพูดนั้นสมเหตุสมผล มันเป็ความผิดของไทเฮาเองที่พยายามไล่ล่า แต่ยิ่งองค์หญิงอันหย่าพูดเช่นนี้ นางก็ยิ่งรู้สึกว่าหลานรักของนางได้รับความอธรรมอย่างใหญ่หลวง
นางหรี่ตาลงด้วยแววตาแฝงความร้ายกาจ ฉายแววแห่งความมุ่งมั่นอันชั่วร้าย กัดฟัน พูดเน้นทีละคำว่า “มู่จื่อหลิง ฮึ่ม อายเจียไม่มีวันปล่อยนางไป”
ปากขององค์หญิงอันหย่าที่มีผ้าเช็ดหน้าปกปิดไว้ ค่อยๆ ยกโค้งขึ้น เมื่อเห็นว่าแรงผลักดันของตนเกือบถึงเป้าหมายแล้ว นางจึงยกกายขึ้นเล็กน้อย โน้มตัวไปกระซิบคำสองสามคำข้างหูไทเฮา
ไทเฮาที่ได้ยินเช่นนั้นก็ใจนแทบลุกขึ้นยืน แต่าแที่บั้นท้ายกลับถูกดึงรั้งเอาไว้ ทำให้นางหายใจหอบด้วยความเ็ป
แต่ยามนี้ไม่ใช่เวลากรีดร้องออกมาเพราะความเ็ป นางเปล่งเสียงปฏิเสธทันทีโดยไม่คิดแม้แต่น้อย “ไม่ อายเจียไม่มีวันเห็นด้วยกับเื่นี้ อายเจียจะปล่อยให้เ้าต้องทนอยู่กับความคับแค้นใจได้อย่างไร”
อันหย่าเคยพูดเื่นี้กับนางมาก่อน ก่อนหน้านี้นางไม่เห็นด้วย เป็ไปไม่ได้ที่ในยามนี้นางจะยินยอม
ราวกับว่านางรู้อยู่แล้วว่าไทเฮาจะมีปฏิกิริยาเช่นนี้ แต่องค์หญิงอันหย่าก็ไม่ยอมท้อถอยเช่นกัน
เพราะครั้งนี้นางมั่นใจเต็มสิบส่วนว่าจะสามารถโน้มน้าวไทเฮาได้
ดังนั้นองค์หญิงอันหย่าจึงทรงอดทนต่อไป กระซิบเบาๆ ข้างหูไทเฮา กล่าวถึงการตัดสินใจของตนเอง
หลังจากที่ไทเฮาได้ฟังอีกครั้ง สีหน้าเด็ดเดี่ยวและแน่วแน่ของนางก็ค่อยๆ คลายลงเล็กน้อย แต่นางยังคงส่ายศีรษะปฏิเสธ “จะทำเช่นนี้ได้อย่างไร ไม่ ไม่ได้”
องค์หญิงอันหย่ากัดริมฝีปากล่างของนาง พูดเป็นัยต่อไป “หย่าเอ๋อร์ได้ยินว่าเสด็จอารองจะเสด็จกลับมาในอีกไม่กี่วัน หากเป็เช่นนี้ก็...”
นางลังเลที่จะพูด แต่ไทเฮาสามารถเข้าใจสิ่งที่นางยังพูดไม่จบได้ในทันที
เสด็จอารองที่องค์หญิงอันหย่ากล่าวถึงไม่ใช่ใครอื่นนอกจาก หลงเหวินอวี่ พระราชโอรสพระองค์เดียวของไทเฮา
เนื่องจากเขาทำผิดพลาดเมื่อหลายปีก่อนจึงถูกเซียนตี้ส่งไปปกป้องเมืองชายแดน เป็เวลาสิบปีแล้วที่เขาไปอยู่ที่นั่น ไม่เคยกลับมา
แม้ว่าองค์หญิงอันหย่าจะไม่เคยพบเสด็จอารองผู้นี้ แต่ใน่หลายปีที่ผ่านมานี้ นางมาประทับอยู่กับไทเฮา ได้ยินไทเฮาสนทนาตรัสถึงเป็ครั้งคราว เป็เื่ธรรมดาที่จะรู้ว่าหลงเหวินอวี่มีตำแหน่งสำคัญยิ่งในพระทัยของไทเฮา
หลงเหวินอวี่เป็สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับการกล่าววาจาบิดเบือนเกินจริงขององค์หญิงอันหย่า นอกจากนี้นางยังรู้ถึงความทะเยอทะยานของไทเฮาเป็อย่างดี
ไทเฮาทรงเป็เพียงสตรีในวังหลัง ไม่ว่านางจะแข็งแกร่งเพียงใด หากไร้บุรุษคอยประคอง แม้จะมีความทะเยอทะยานเพียงใด นางก็ยังต้องพบความผิดหวัง ดังนั้นตราบใดที่มีการกล่าวถึงหลงเหวินอวี่ เช่นนั้นก็ไม่จำเป็ต้องเกรงว่าไทเฮาจะไม่ตกลงตามคำทูลขอ
วาจาบิดเบือนเกินจริงขององค์หญิงอันหย่าจึงได้ผลในทันที
เมื่อองค์หญิงอันหย่ากล่าวถึงหลงเหวินอวี่ พระทัยของไทเฮาก็เดือดดาลขึ้นมา
พระพักตร์ของไทเฮาที่แบกรับความผันผวนซึ่งไม่อาจลบล้างได้มานานหลายปี ความเศร้าโศกลึกย่อมเกิดขึ้น น้ำตาของผู้ชราจึงไหลริน
ใช่! บุตรชายของนางกำลังจะกลับมาในไม่ช้า เป็เวลากว่าสิบปีแล้ว...ในที่สุดเขาก็กลับมา นางไม่ต้องกล้ำกลืนความโกรธอีกต่อไป
ไม่จำเป็ต้องเสแสร้งไถ่ถามทุกข์สุขหลงเหวินอิ้นอีกแล้ว ทั้งยังไม่ต้องเป็กังวลเกี่ยวกับฐานะไทเฮาที่กำลังตกอยู่ในจุดที่ยากลำบากอีกต่อไป...
เมื่อเห็นเช่นนี้ องค์หญิงอันหย่าทรงทราบดีว่าไทเฮาทรงคลายพระทัยแล้ว นางกะพริบตาเบาๆ ขนตางอนยาวขับน้ำตาออกมา ก่อนพูดอย่างจริงจังและหนักแน่นว่า “เสด็จย่า เพื่อท่านแล้ว หย่าเอ๋อร์พร้อมทำทุกอย่างด้วยความเต็มใจเพคะ”
“หย่าเอ๋อร์ ทำเช่นนี้...เ้าจะต้องได้รับความคับแค้นใจ...” ไทเฮาขมวดคิ้วเล็กน้อย มีท่าทีลังเลใจ ดูเหมือนว่านางยังคงลังเลอยู่
องค์หญิงอันหย่าส่ายหัวทันที ถามอย่างจริงจัง “ไม่คับแค้นใจ จะไม่เสียใจเป็แน่ เสด็จย่าท่านจงนึกถึงเสด็จอารอง เมื่อเทียบกับเสด็จอารองแล้ว สิ่งนี้จะถือเป็ความคับแค้นใจได้หรือ?”
ไทเฮาเงียบเพื่อใช้ความคิดไปครู่หนึ่ง
“เอาล่ะ หากเป็ประโยชน์จริง อายเจียก็เห็นด้วยกับเ้า แต่ต้องใจเย็นไว้ก่อน ด้วยในยามนี้อายเจียมีแผนอื่นแล้ว” ไทเฮาถอนหายใจอย่างอดไม่ได้ แต่ก็ยังพยักหน้าเห็นด้วย
จากนั้นประกายความชั่วร้ายก็ส่องขึ้นมาจากดวงตาของนาง “เดินทางไปเมืองหลงอันคราวนี้ อายเจีย้าให้ยายเด็กตัวเหม็นผู้นั้นไปไม่มีหวนกลับ [2]”
“เข้ามา ส่งต่อให้หมอหลวงหลิน” ไทเฮาขึ้นเสียง
องค์หญิงอันหย่ามองไทเฮาด้วยพระเนตรที่แน่วแน่ร้ายกาจจากมุมที่ไทเฮามองไม่เห็น พระโอษฐ์ไร้โลหิตของนางกระตุกเล็กน้อยเป็การเย้ยหยัน ริมฝีปากบางเ็าขาวซีด ทั้งโหดร้ายและอำมหิต
มู่จื่อหลิง หวังว่าครั้งนี้เ้าจะไม่กลับมาอีก ไม่เช่นนั้น......
-
ม้าเปินเหลยวิ่งไปยังเมืองหลงอันด้วยความรวดเร็ว ตึกรามบ้านช่องและภูมิทัศน์สองข้างทางค่อยๆ แปรเปลี่ยนไป
ตลอดทางไม่พบผู้ใด
เนื่องจากโรคระบาดกำลังอาละวาดในเมืองหลงอัน ทุกคนย่อมหลีกเลี่ยงออกห่างเพราะความกลัว
ม้าเปินเหลยวิ่งควบไปตลอดเส้นทางด้วยความเร็วที่ไม่เคยลดลงเลย
ยามพวกของมู่จื่อหลิงกำลังจะถึงเมืองหลงอัน สภาพแวดล้อมกลับกลายเป็ความเงียบงันจนน่าขนลุก ได้ยินเพียงเสียงกีบเท้าและเสียงม้าคำรามเบาๆ เท่านั้น
ระยะหลายร้อยลี้นอกเมืองหลงอันถูกทิ้งร้างมาสักพักแล้ว ช่างดูอ้างว้างและโดดเดี่ยว
ม้าเปินเหลยเงยหน้าร้องคำราม ในที่สุดก็หยุดอยู่นอกประตูเมือง
เห็นทหารยามเพียงไม่กี่คนที่เฝ้าประตูเมืองอยู่ไม่ไกล ร่างกายถูกห่อหุ้มด้วยผ้าหนาถึงสามชั้น เหลือเพียงดวงตาเท่านั้นที่มองเห็นได้ พวกเขายืนเฝ้ายามอย่างเกียจคร้าน
ด้วยสายตาที่เฉียบคมของทหารยามผู้หนึ่งที่จดจำม้าเปินเหลยของฉีอ๋องได้ ทันใดนั้นใบหน้าของเขาก็ซีดเผือดด้วยความหวาดกลัว เขาส่งสายตาให้ทหารที่ยังสับสนอีกหลายนาย
“อย่า...อย่ายืนโง่ๆ อยู่ตรงนั้น”
“เร็วเข้าฉีอ๋องเสด็จมาแล้ว!”
“ไหนฉีอ๋อง? ฉีอ๋องจะเสด็จมาได้อย่างไร...”
ทหารอีกหลายนายหันมองอย่างมีความหวัง
พวกเขาเป็เพียงทหารชั้นผู้น้อยที่ไม่เคยพบฉีอ๋อง แต่พวกเขาก็ยังรู้จักม้าเปินเหลย ม้าที่ไม่ธรรมดาและอยู่ยงคงกระพัน
ดังนั้นทันทีที่พวกเขาเห็นม้าเปินเหลย ทหารยามหลายคนจึงยืนตัวตรง กลั้นลมหายใจ จดจ่ออย่างมีสมาธิ ยกระดับจิติญญาเฝ้าระวังในทุกจุด ยืนขึ้นโดยพร้อมเพรียงกัน
หลงเซี่ยวอวี่โอบกอดมู่จื่อหลิงะโลงจากหลังม้า
ลมหนาวที่พัดผ่านหูใน่ปลายฤดูใบไม้ร่วง ดูเหมือนว่าจะทำให้คนตัวสั่นด้วยความอ้างว้างเปล่าเปลี่ยว นอกจากนี้ยามนี้อยู่ห่างจากเมืองหลงอันเพียงกำแพงกั้นเท่านั้น
ชั่วขณะหนึ่ง มีลมหายใจแห่งความตายอันน่าสะพรึงกลัวแผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย ราวกับสามารถครอบคลุมทั้งร่างกายของคนคนหนึ่งได้
มู่จื่อหลิงถูแขนของนางโดยไม่รู้ตัว
หลงเซี่ยวอวี่ยื่นมือออกมาโอบกอดนางไว้ ภายใต้แสงแดดอันอบอุ่น ดวงตาที่ลึกล้ำไร้ก้นบึ้งของเขาส่องประกายอบอุ่น ควบแน่นราวกับพลังงานที่เร่าร้อน แฝงไว้ด้วยความรู้สึกที่นุ่มนวล
ดวงตาเต็มไปด้วยความอบอุ่น เงียบสงบและลึกล้ำ เสียงนุ่มนวลไพเราะของเขาทำให้นางมึนเมา “กลัวไหม?”
มู่จื่อหลิงเงยหน้าเล็กของตนขึ้นมา ดวงตาใสของนางมีแววไม่แยแส นางยิ้มเล็กน้อย “ต้องกลัวอะไรหรือ? ไม่ใช่ว่าข้าไม่เคยเห็นคนตายมาก่อนเสียหน่อย”
แต่นางไม่คาดคิดจริงๆ ว่าจะมีภาพเช่นนี้ สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าโรคระบาดนี้น่ากลัวเพียงใด
ยามพิจารณาจากสภาพแวดล้อมที่น่าขนลุกและแปลกประหลาดด้านนอกเมืองแล้ว ไม่ยากที่จะจินตนาการว่าภายในเมืองจะหนาวเย็น มืดมนและน่าสะพรึงกลัวเพียงใด
มู่จื่อหลิงชำเลืองมองไปรอบๆ “แต่ที่นี่ดูมืดมนเกินไป นอกจากทหารยามไม่กี่คนแล้ว แม้แต่คนเพียงคนเดียวก็ไม่มีได้อย่างไร...”
แต่นางยังพูดไม่จบประโยค
ทันใดนั้น......
---------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] ถือโอกาสตีเหล็กยามร้อน (趁热打铁) เป็สำนวน มีความหมายว่า ฉกฉวยโอกาสและเงื่อนไขที่เกิดขึ้นเพื่อใช้ประโยชน์อย่างเหมาะสม
[2] ไปไม่มีหวนกลับ (有去无回) เป็คำเปรียบเปรยมีความหมายว่า ไปแล้วไม่ได้กลับมา ส่วนมากนิยมใช้กับคนที่ต้องสิ้นชีพหลังจากจากไป