“ซูเหยียน! ซูเหยียนนั่นเ้าใช่ไหม?...รีบถอยไป!พวกข้าจะสกัดมันเอาไว้เอง!”
เสียงของผู้ชายคนหนึ่งดังก้องกังวานในป่าก่อนจะมีร่างของคนพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วเป็ระนาวและมุ่งตรงไปหาชะนีหมอกที่กำลังได้รับาเ็ตัวนั้น
พวกนั้นมีจำนวนสี่คนที่สวมชุดของสำนักยาตรา์และยังอยู่ในขั้นผู้พิทักษ์ระดับมนุษย์ทั้งหมด!
ชายสามหนึ่งหนึ่ง พวกนั้นเป็ศิษย์ระดับสุดยอดของสำนักยาตรา์!
...
สวบ สวบ!
ซูเหยียนรีบพุ่งเข้ามาพยุงข้าก่อนจะถามด้วยท่าทีที่เป็ห่วง“เ้าเป็ยังไงบ้าง ปู้อี้เชวียน?”
“ข้าไม่เป็ไร”
ข้าลุกขึ้นยืนแล้วสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะมองไปยังทั้งสี่คนที่กำลังต่อสู้กับชะนีหมอกตัวนั้นอยู่ซึ่งคนที่ดูเหมือนจะเป็หัวหน้าถือดาบเล่มใหญ่ที่มีพลังรุนแรงจนเป็สีแดงเพลิงรายล้อมอยู่พลังของมันคือสิ่งที่กระบี่คมจันทราของข้าเทียบไม่ได้เลยสักนิดหรือแม้กระทั่งกระบี่ของซูเหยียนก็ยังดูอ่อนด้อยกว่าหลายเท่าตัวนั่นจะต้องไม่ใช่อาวุธิญญาระดับหนึ่งอย่างแน่นอน หรืออาจจะเป็อาวุธิญญาที่มากกว่าระดับสามขึ้นไปเสียด้วยซ้ำ!
ตั้ง! ตั้ง!
เสียงกระบี่กระทบกับของแข็งดังขึ้นก่อนพลังที่ร้ายกาจจะทำให้ชะนีหมอกต้องถอยหลบ
และเมื่อคนที่โจมตีจนชะนีหมอกต้องถอยหลบหันมาทางซูเหยียนและเห็นว่านางกำลังพยุงข้าอยู่แววตาของเขาก็บ่งบอกถึงความอิจฉาและไม่สบอารมณ์ก่อนจะหันไปสู้ต่อ
และในตอนนี้เองตั้นไถเหยา ถังเชวียหรานและหลิวถงเอ๋อร์ก็เข้ามา
“สี่คนนี้เป็ใครกัน? เ้ารู้จักหรือเปล่าเสี่ยวเหยียน?” ตั้นไถเหยาถามขึ้น
ซูเหยียนพยักหน้ารับก่อนจะบอกไป“คนที่แข็งแกร่งที่สุดชื่อว่าหยู่เหวินชิงทายาทคนต่อไปของตระกูลหยู่เหวินของพันธมิตรนักปราชญ์ขาว อีกคนชื่อหยู่เหวินฉีเป็น้องชายของเขา ส่วนอีกสองคนนั้นข้าไม่รู้จักแต่ทั้งหมดล้วนแต่เป็ศิษย์ของสำนักยาตรา์ที่อยู่ในระดับสุดยอดของสำนักชั้นในถึงขั้นที่ว่าเ้าสำนักลงมาเป็ผู้สอนด้วยตัวเอง”
“มิน่าล่ะถึงได้เก่งกาจขนาดนี้”
ถังเชวียหรานที่ถือคันธนูอยู่ในมือพูดขึ้นพร้อมกับขมวดคิ้วเล็กน้อย“แต่ข้าว่าหยู่เหวินชิงคนนั้นทำให้ข้ารู้สึกแปลกๆ...หรือเขาจะเป็คนไม่ดีอย่างนั้นเหรอ?”
“ชู่!”
ซูเหยียนว่าพลางยิ้ม “อย่าพูดแบบนั้นสิเพราะอย่างน้อยเขาก็เป็คนช่วยพวกเราไว้”
ข้ามองส่วนหัวของชะนีหมอกตัวนั้นก่อนจะพูดขึ้น“กริชปลิดิญญาของข้าฝังลงไปในตาของชะนีตัวนั้นแล้ว จะต้องเอากลับมาให้ได้ นั่นมัน...มันเป็ของที่ซูซีอวี๋ให้ข้ามา”
“อืม!” นางยิ้มออกมาเพราะนางเองก็รู้ดี
ขณะที่ข้ากำลังก้าวออกไปได้ไม่กี่ก้าวคนที่ชื่อหยู่เหวินชิงก็หันมาพร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ไม่สบอารมณ์ปนกับตำหนิ“ไสหัวไป อย่ามาเกะกะ!”
“เ้าหมายความว่าไง?” ข้าถามขึ้น
เขาฟันลงไปขนแขนของชะนีหมอกจนเือาบก่อนจะหันมาพูดอย่างเหยียดๆ“เ้าคิดว่าไงล่ะ? เห็นว่ามันใกล้จะตายแล้วก็เลยเข้ามาช่วยเพื่อจะเอาหน้าอย่างนั้นเหรอ?ข้อสำคัญของการเกิดเป็คนคือต้องรู้จักเจียมตัว อย่างเ้าเนี่ยนะ...มาก็ตายเปล่าสวะก็คือสวะ ฮึ ไสหัวไปไกลๆ!”
“หยู่เหวินชิง เ้าหมายความว่าไง!”ซูเหยียนโกรธจนเรียกกระบี่เพลิงกัลป์ออกมาไว้ในมือ ก่อนจะพูดต่อ“อย่าคิดว่าเ้ายื่นมือเข้ามาช่วยแล้วจะพูดอย่างไรกับคนของข้าก็ได้นะ”
“อะไรนะ? คนของเ้า...”สายตาของหยู่เหวินชิงบ่งบอกถึงความชั่วร้ายที่มีมากกว่าเดิม
เขาหันมามองข้าเหมือนกับกระบี่ที่แหลมคมและพร้อมพุ่งเข้ามาแทงให้ตาย“เสี่ยเหยียน ทำไมเ้าถึงมาเกลือกกลั้วกับคนพวกนี้ได้!?”
“นี่!”
ตั้นไถเหยามองด้วยแววตาที่แสดงความไม่พอใจก่อนจะพูดขึ้น“หยู่เหวินชิง นี่ถ้าไม่ใช่เพราะเขาทำลายดวงตาของมันซะก่อนคนอย่างเ้าจะจัดการมันได้ง่ายๆ อย่างงั้นเหรอ?”
หยู่เหวินชิงฟันลงไปอย่างหนักหนึ่งดาบก่อนอีกสามคนจะจู่โจมด้วยกระบวนท่าของเพลงกระบี่วายุสังหารและกระบี่ลมอย่างบ้าคลั่งทั้งร่างของชะนีหมอกตัวนั้นเต็มไปด้วยเืก่อนจะล้มลงไปกองกับพื้นกลายเป็จุดจบของชีวิตที่น่าอนาถ...
ข้าเดินเข้าไปดึงกริชออกมาเช็ดอย่างดีแล้วเก็บเข้าที่เดิม
บรรยากาศโดยรอบทำให้รู้สึกถึงการต่อสู้ที่พร้อมจะเกิดขึ้นอีกครั้งเพราะหยู่เหวินชิงมองด้วยสีหน้าที่บ่งบอกถึงความเป็ศัตรูส่วนหยู่เหวินฉีเองก็เหมือนพร้อมจะลงมือตลอดเวลา และอยู่ๆหยู่เหวินชิงก็ชี้มาที่ข้าก่อนจะถามขึ้น“เ้าคือคนที่ทำร้ายอู้จิ่งหนิงกับพวกอีกสี่คนที่ถนนปู้สิงในเมืองเขตเหนือใช่ไหม?!”
ข้ายืนขึ้นก่อนจะหันไปบอก “หืม พวกผมแดงสี่คนนั้นน่ะเหรอ? ข้าเป็คนทำเองแหละ”
หยู่เหวินชิงได้ยินแล้วก็พูดขึ้น “เป็เ้าก็ดีแล้วถือว่าตัวเองเป็ศิษย์ของสำนักหมื่นิญญาแล้วกล้ามารังแกศิษย์ของสำนักยาตรา์อย่างนั้นเหรอวันนี้ข้าจะสั่งสอนให้เ้าได้รู้เองว่าคนของสำนักยาตรา์ไม่ใช่คนที่ใครจะทำอะไรก็ได้!”
ตั้นไถเหยาได้ยินแล้วก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ “เหอะๆเป็ถึงศิษย์อันดับหนึ่งของสำนักยาตรา์แต่กลับมาท้าสู้กับศิษย์สำนักนอกของสำนักหมื่นิญญา หยู่เหวินชิงเ้าไม่กลัวว่าคนจะเอาไปพูดจนขายหน้าตัวเองเหรอ? และปีนี้เ้าอายุเท่าไรแล้ว? อย่างน้อยก็น่าจะ 28 แล้วมั้ง ทั้งที่อายุขนาดนี้แล้วยังอยู่แค่ระดับเซียนของขั้นผู้พิทักษ์ระดับมนุษย์แค่นั้นแต่เ้าดูปู้อี้เชวียนสิ เขาเพิ่งจะอายุได้ 20 ปีก็อยู่ในระดับสมบูรณ์ของขั้นเทวิญญาแล้วเ้ากล้าให้โอกาสเขาอีก 8 ปีแล้วค่อยมาประลองให้รู้ดำรู้แดงกันไหมล่ะ?”
“เ้า!”
หยู่เหวินชิงแสดงสีหน้าโกรธจัดออกมา คงเพราะถูกพูดแทงใจดำขึ้นมาดูเผินๆ อาจจะบอกว่าเขาเป็ศิษย์อันดับหนึ่งของสำนักยาตรา์แต่ปีนี้อายุก็ปาเข้าไป 28 ซึ่งมันก็เกินเกณฑ์แล้วดังนั้นถึงจะอยู่ในขั้นผู้พิทักษ์ระดับมนุษย์ก็ยังกลบเกลื่อนเื่น่าอายนี้ไม่ได้อยู่ดี
แต่กลับเป็ผู้หญิงรูปร่างได้สัดส่วนที่อยู่ข้างหยู่เหวินชิงเป็คนพูดขึ้นมาด้วยใบหน้าที่แสดงถึงความไม่สบอารมณ์“พูดจาระวังปากหน่อย ไม่ว่ายังไงศิษย์พี่หยู่เหวินชิงก็เป็คนช่วยพวกเ้าหรือว่าคนของสำนักหมื่นิญญาอย่างพวกเ้าไม่รู้จักบุญคุณคน? และอีกอย่างการบรรลุในแต่ละครั้งของขั้นการบำเพ็ญของผู้พิทักษ์มันก็ยากเอามากๆเลยด้วยแถมศิษย์พี่หยู่เหวินชิงก็ได้พัฒนาอาวุธิญญาอย่างดาบเพลิงยมโลกจนเข้าขั้นที่สามแล้วด้วยแล้วพวกเ้าล่ะ? เป็แค่คนที่ถืออาวุธระดับหนึ่งแต่กลับมาทำตัวอวดดี!”
“แล้วนี่เ้าเป็ใคร?” ตั้นไถเหยาว่าพลางยืดอกแล้วเอามือข้างหนึ่งเท้าสะเอวสายตาที่บ่งบอกถึงความหยามเหยียดและอยากจะเล่นาน้ำลายกันสักที
ผู้หญิงคนนั้นยิ้มบางๆ ก่อนจะพูดขึ้น“ศิษย์อันดับสามของสำนักยาตรา์ มู้หยิงหยิง”
“อ้อ เ้าเองสินะที่ชื่อมู้หยิงหยิง?”
ตั้นไถเหยายิ้มอ่อนก่อนจะพูดต่อ “ได้ยินว่า...เ้าตามตื๊อศิษย์รุ่นพี่คนนี้มาตั้งสามปีแต่เขาก็ยังไม่รับรักสักทีถึงว่าล่ะทำไมเ้าถึงออกมาปกป้องเขานักทั้งที่เขาเป็คนหาเื่ปู้อี้เชวียนของพวกเราก่อนแต่กลับวางตัวเหมือนตัวเองสูงส่งปานฟ้าคิดว่าพวกข้าจะกลัวอย่างนั้นเหรอ? ให้เวลาพวกข้าสามปีแล้วมาดูสิว่าอาวุธของพวกข้าคนไหนยังพัฒนาไม่ถึงระดับสามชิ! มาทำเป็อวด...”
ซูเหยียนที่ยังคงควงแขนข้าอยู่เม้มปากเล็กๆ ก่อนจะพูดขึ้น“เ้าคนกินจุ พวกเราไปกันเถอะ อย่าไปเสียเวลาพูดคุยกับคนพวกนี้เลย ไหนๆหัวของหมาป่าขนหิมะก็ได้มาแล้ว กลับไปเอารางวัลกันดีกว่า”
ข้าพยักหน้ารับก่อนจะยกแขนอีกข้างขึ้นโอบตั้นไถเหยาเอาไวแล้วพูดขึ้น“พวกเราไปกันเถอะอาเหยา อย่ามัวเสียเวลากับคนพวกนี้เลย”
นางหน้าแดงก่อนจะพยักหน้ารับ “อืม”
...
“คิดจะไปง่ายๆ แบบนี้เลยเหรอ?” คนที่พูดคือชายอีกคนชื่อว่า ฟางซิ่งจือซึ่งมีการบำเพ็ญอยู่ในระดับสมบูรณ์ของขั้นผู้พิทักษ์ระดับมนุษย์และก็เป็หนึ่งในศิษย์ฝีมือดีของสำนักยาตรา์เช่นกัน
“ทำไม เ้าคิดจะทำอะไรอีก?” ข้าหันไปถาม
ฟางซิ่งจือแสยะยิ้มก่อนจะพูดขึ้น “พวกเ้ารู้หรือไม่ว่าที่นี่คือที่ไหน? มันอยู่ห่างจากูเาสุสานในรอบนอกกว่าร้อยลี้ที่ไม่มีผู้คนอาศัยอยู่และเมื่อสามปีก่อนเคยมีถ้ำธาราจันทร์ที่เป็สัญลักษณ์ของเทพปรากฏขึ้นมาที่นี่หรือพวกเ้าคิดว่าพวกข้ามาเพื่อเดินเล่นอย่างนั้นเหรอ?”
หยู่เหวินชิงที่ได้ยินก็รีบพูดขึ้นเสียงเข้ม “ฟางซิ่งจือ! หุบปากเ้าพูดมากเกินไปแล้วนะ!”
ฟางซิ่งจือขมวดคิ้วเล็กน้อยแต่ไม่ได้ขัดต่อคำพูดของหยู่เหวินชิงก่อนจะพูดต่อ“ข้าก็แค่บอกให้พวกมันระวังตัวไว้บ้างก็เท่านั้น”
“จริงๆ แล้วก็เพราะถ้ำธาราจันทร์นี่เองสินะ...”
ถังเชวียหรานพูดขึ้นมาเหมือนกำลังครุ่นคิด“ถ้ำธาราจันทร์จะปรากฏขึ้นทุกๆ ร้อยปี แต่ก็ไม่มีใครรู้ว่ามันจะเกิดขึ้นที่ไหนเวลาใด แล้วนี่พวกเ้ารู้ได้ยังไง?”
ฟางซิ่งจือยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้น “หรือว่าคุณหนูใหญ่แห่งตระกูลถังจะไม่รู้ว่ามีพลังพร์อย่างหนึ่งที่เรียกว่าพลังโหราศาสตร์ซึ่งเมื่อฝึกฝนจนถึงขั้นสุดยอดแล้วก็จะทำนายเวลาการเกิดปรากฏการณ์ต่างๆได้อย่างนั้นเหรอ แค่ปรากฏการณ์การเกิดถ้ำธาราจันทร์แค่นี้มันก็เป็แค่เื่ง่ายๆไม่เกินความสามารถของข้าหรอก!”
“ฟางซิ่งจือ หุบปากไปซะ!”
หยู่เหวินชิงพูดอย่างเดือดดาล“ถ้ายังพูดมากก็รีบไสหัวกลับไปเมืองหลินเสี่ยเฉิงซะ!”
ฟางซิ่งจือได้ยินแบบนั้นแล้วก็เงียบปากไม่ได้พูดอะไรออกมาอีกเลย
ถังเชวียหรานขมวดคิ้วแบบใช้ความคิดก่อนจะพูดขึ้นมาอีกครั้ง“ภายในถ้ำธาราจันทร์มีพลังอันลึกลับซ่อนอยู่และไม่มีใครรู้ความจริงหรือกล้าเข้าไปสำรวจมาเป็พันปีแล้วแล้วนี่คนอย่างพวกเ้า...คนอย่างพวกเ้าคิดที่จะเข้าไปมันไม่เท่ากับว่ารนหาที่ตายหรือไง?”
“รนหาที่ตาย?”
หยู่เหวินชิงแสยะยิ้มก่อนจะพูดขึ้น“นี่เ้าจะดูถูกศิษย์ของสำนักยาตรา์อย่างพวกเราเกินไปหรือเปล่า? อย่านึกนะว่าพวกเ้าเป็ศิษย์ของสำนักหมื่นิญญาแล้วจะทำตัวอวดเก่งได้ตลอดคอยดูเถอะ! ถ้าพวกข้าหาถ้ำธารา์เจอละก็ในการประลองยุทธ์ของปีนี้สำนักหมื่นิญญาจะต้องถูกคนของสำนักยาตรา์เหยียบอยู่ใต้เท้าแน่นอน!ฮ่าๆๆ”
ซูเหยียนที่ดูจะไม่ค่อยสบอารมณ์พูดขึ้น “เอาล่ะอาเหยาข้าว่าพวกเราไปกันเถอะ อย่ามัวเสียเวลาคุยกับคนพวกนี้เลย”
“อืม”
ขณะที่พวกข้ากำลังจะเดินไปนั้นในป่าด้านหน้าก็เหมือนมีอะไรบางอย่างกำลังเคลื่อนไหวมันร้องออกมาเสียงดังก้องกังวานที่แฝงไปด้วยความรู้สึกเ็ปและเคียดแค้น
ซุ่ม! ซุ่ม! ซุ่ม!
อยู่ๆ ก็มีก้อนหินขนาดใหญ่ถูกโยนออกมาจากป่าด้านหน้าทีเดียวสิบลูกจะต้องเป็การโจมตีของชะนีหมอกอีกเป็แน่!
“ระวัง ป้องกันไว้!”
หลิงถงเอ๋อร์รีบเดินพร้อมกับตั้งโล่ัดำขึ้นมาหินพวกนั้นพุ่งเข้ามากระทบกับโล่ัดำของนางจนเกิดเสียงดัง ‘ปั้ง! ปั้ง! ปั้ง!’และสลายกลายเป็ผุยผง ส่วนหลิงถงเอ๋อร์ก็แค่มีเหงื่อแตกที่หน้าผากเล็กน้อยเท่านั้น
แต่พวกหยู่เหวินชิงกลับใช้กระบี่ฟาดฟันก้อนหินพวกนั้นซึ่งเป็การป้องกันตัวที่กินแรงไม่น้อยเลยทีเดียว
“อย่าปล่อยให้พวกมันโจมตีเราฝ่ายเดียวบุกขึ้นหน้าแล้วจัดการมันทีละตัว!” หยู่เหวินชิงะโเสียงดัง
ไม่นานก็มองเห็นร่างของชะนีหมอกถึงสามตัวที่กำลังโยนหินใส่พวกเราอยู่ครั้งนี้มันสนุกแน่!
มันเป็ชะนีหมอกตัวผู้ทั้งสามตัวและสัตว์ิญญาระดับเจ็ดสามตัว เท่ากับว่ามีจอมยุทธ์ระดับผู้พิทักษ์ิญญาระดับพิภพถึงสามคนกำลังโจมตีพวกเราอยู่และถึงแม้อยู่เหวินชิงกับพวกจะอยู่ในขั้นผู้พิทักษ์เหมือนกันแต่ก็อยู่ในระดับมนุษย์เท่านั้นซึ่งพลังของมันต่างกันถึงหนึ่งขั้นการบำเพ็ญ!
และก็เป็ไปตามคาดเมื่อไม่ถึงครึ่งนาทีหยู่เหวินฉีกับฟางซิ่งจือก็มีสีหน้าที่ซีดเผือดพร้อมกับกวัดแกว่งกระบี่ในมือจนวุ่นไปหมด
“ท่านพี่!”
หยู่เหวินฉีะโร้องเรียกก่อนจะเสนอแิขึ้นมา“ข้าว่าเราพยายามเข้าใกล้มันหน่อยเถอะไม่อย่างนั้นจะต้องตายเพราะพลังในร่างกายถูกใช้จนหมดแน่ๆ”
“บุกขึ้นไปประชิด!”
สองคนที่มีขั้นการบำเพ็ญสูงที่สุดพุ่งเข้าไปด้วยความเร็วดุจสายฟ้าแต่ในตอนที่เข้าไปใกล้นั้นก็ถูกชะนีหมอกชัดจนถอยกลับมาหลายก้าวเ้าชะนีหมอกสามตัวนี้มันไม่ใช่ชะนีตาบอด ดังนั้นถึงแม้จะเป็อาวุธิญญาระดับสามก็ยากที่จะสกัดกั้นการโจมตีของมันได้
ปั้ง!
เสียงการโจมตีดังขึ้นอีกครั้งก่อนหยู่เหวินฉีจะถูกซัดปลิวออกมาจนกระอักเืเขามองมาทางพวกข้าด้วยสายตาที่ดุดันก่อนจะะโขึ้นเสียงดัง “ซูเหยียนถังเชวียหราน เมื่อกี้พวกข้าเพิ่งจะช่วยพวกเ้าเอาไว้นะแล้วตอนนี้พวกเ้าคิดที่จะยืนมองอยู่เฉยๆ หรือไง?”
ตั้นไถเหยาะโตอบ “พวกข้าไม่ได้คิดที่จะยืนมองเฉยๆแต่พวกข้าคิดที่จะหนีไปตั้งนานแล้วต่างหากล่ะ!”
“เ้า!”
หยู่เหวินฉีพูดยังไม่ทันจบก็กระอักเืออกมาอีกครั้ง
ซูเหยียนสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะเรียกกระบี่เพลิงกัลป์ออกมาไว้ในมือแล้วพูดขึ้น“ถึงแม้พวกนั้นจะปากเสียแต่พวกเราจะปล่อยให้พวกนั้นตายไปต่อหน้าต่อตาโดยไม่ช่วยอะไรแบบนี้ไม่ได้!”
ข้าพยักหน้ารับ “ลุย!”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้