“หมั้นหมาย เื่นี้เกิดขึ้นเมื่อใดกัน?” หากหมั้นหมายแล้ว คนในบ้านไม่มีทางให้เขามาพูดเื่นี้ “เ้าไม่ได้หลอกข้าใช่หรือไม่?”
“จงิไหนเลยจะกล้าขอรับ? หมั้นหมายก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน ยังเป็เหล่าโหวเหฺยฮูหยินที่เป็แม่สื่อขอรับ” หลี่จงิรีบกล่าว
“เหล่าโหวเหฺยฮูหยิน? เหล่าโหวเหฺยฮูหยินท่านใดกัน?” แม่ทัพผู้เฒ่าอวี๋ยังนึกไม่ออก และในเมืองหลวงท่านโหวนั้นมีมากมายก่ายกอง
“เป็เหล่าฮูหยินของจงหย่งโหวขอรับ” หลี่จงิกล่าว
“เป็ภรรยาของอาซวี่หรอกหรือ” แม่ทัพผู้เฒ่าอวี๋พยักหน้า นับว่ากระจ่างแจ้งแล้ว แต่เขายังรู้สึกประหลาดใจ “นางเป็แม่สื่อให้ใครหรือ?”
“เป็สาวใช้รุ่นใหญ่ข้างกายเสี่ยวโหวเหฺยขอรับ” หลี่จงิกล่าว “นางผู้นั้นเป็หญิงสาวที่ดี ปรนนิบัติรับใช้เสี่ยวโหวเหฺยอยู่ในห้องหนังสือมาตลอดขอรับ”
อะไรกัน? แม่ทัพผู้เฒ่าอวี๋ตกตะลึงพรึงเพริด “เ้าให้ฉางเฉิงแต่งกับสาวใช้คนหนึ่งหรือ?”
“ฉางเฉิงชมชอบ ข้าจึงเห็นด้วยขอรับ” หลี่จงิอธิบาย
“ชมชอบก็แต่งได้ไม่เป็ไร แต่สาวใช้จะเทียบกับหลานของข้าได้อย่างไร?” แม่ทัพผู้เฒ่าอวี๋ยังคงไม่เข้าใจ “ต่อให้แต่งสาวใช้แล้วก็ไม่มีผลกระทบต่อการแต่งงานของพวกเราทั้งสองครอบครัวนี่นา?”
ั้แ่โบราณมาการที่ชายหนุ่มจะมีสามภรรยาสี่อนุเป็ความคิดที่ฝังรากลึก แม้ว่าในเรือนของแม่ทัพผู้เฒ่าอวี๋จะไม่มีอนุเป็พรวนก็ตาม แต่ตัวเขาไม่ได้ปฏิเสธความคิดเช่นนี้
“ฉางเฉิงชมชอบ ้าแต่งนางเป็ภรรยาเอก ข้าและภรรยาจึงเห็นด้วยเช่นกันขอรับ” หลี่จงิกล่าว “พวกเราเดิมทีเป็เพียงครอบครัวคนธรรมดาสามัญ หาคนที่ฉางเฉิงชมชอบจึงจะสำคัญที่สุด เหมือนข้าและภรรยา สามีภรรยารักใคร่ปรองดอง ชีวิตจึงจะมีความสุข”
แม่ทัพผู้เฒ่าอวี๋ฟังแล้วก็รู้สึกมีเหตุผล แม้จะเสียดายที่สองครอบครัวจะไม่สามารถดองกันได้ แต่ก็มิได้กระทบต่อความสัมพันธ์ฉันมิตรของทั้งสองครอบครัว “รอให้ถึงวันที่ฉางเฉิงแต่งงาน ข้าย่อมไปร่วมงานแน่นอน”
“ถึงคราวนั้นข้าย่อมเชิญท่านมาแน่นอนอยู่แล้วขอรับ” หลี่จงิครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จึงตัดสินใจถามขึ้นว่า “แม่ทัพผู้เฒ่า ไฉนจึงมาทาบทามเื่ฉางเฉิงและคุณหนูเจียงกะทันหันเช่นนี้เล่าขอรับ?”
“อ้อ ก็มิใช่บุตรสาวของข้าผู้นั้นเสนอความเห็นหรอกรึ ข้าคิดว่าครอบครัวของพวกเราทั้งสองต่างคุ้นเคยกัน ฉางเฉิงก็เหมาะสมกับซูเอ๋อร์” แม่ทัพผู้เฒ่าอวี๋พูดตามตรง
หลี่จงิฟังคำพูดนี้แล้ว ในใจเกิดความเปลี่ยนแปลงราวกับพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน เื่ที่ฉางเฉิงและหยวนโม่หมั้นหมายกันนั้นเจียงอวี๋ซื่อน่าจะรู้ ภรรยาของเขาได้บอกกล่าวเื่นี้กับฮูหยินใหญ่เจียงแล้ว เป็ไปไม่ได้ที่ฮูหยินใหญ่เจียงจะไม่ได้แจ้งแก่เจียงอวี๋ซื่อ เช่นนั้นการกระทำของเจียงอวี๋ซื่อนี้หมายความว่าอย่างไร? หลี่จิงิมีความคิดเช่นนี้ แต่เขาไม่มีวันพูดขึ้นมาต่อหน้าแม่ทัพผู้เฒ่าอวี๋ เขาเป็ผู้ชาย เื่เช่นนี้ยังต้องกลับไปปรึกษากับภรรยาเสียก่อนจึงจะดี
ดังนั้นหลังจากที่หลี่จงิและแม่ทัพผู้เฒ่าอวี๋แยกกันแล้วเขาจึงตรงกลับบ้านทันที นำเื่นี้ไปบอกกล่าวกับภรรยาของตน ภรรยาหลี่จงิคิดว่ารอให้แม่ทัพผู้เฒ่าอวี๋กลับไปคุยกับเจียงอวี๋ซื่อแล้วค่อยพูดกัน อย่างน้อยหลังจากครั้งนี้แล้วอีกฝ่ายคงจะเลิกล้มความคิดแต่งงานนี้ไป
หลี่จงิคิดแล้วก็เห็นด้วยเช่นเดียวกัน ดังนั้นจึงไม่ได้ใส่ใจในเื่นี้อีกต่อไป
งานวันเกิดของจ้าวหนิงฮ่องเต้ การรอคอยของราชสำนักได้มาถึงแล้ว วันเกิดฮ่องเต้ ฝ่ายผู้ชายฉลองกับจ้าวหนิงฮ่องเต้ ฝ่ายหญิงฉลองกับถังฮองเฮา และในฝ่ายหญิงของจวนจงหย่งโหวมีหลี่หยางซื่อซึ่งมีฐานะสูงที่สุด ดังนั้นจึงเป็หน้าที่ของนางที่นำทุกคนเข้าวัง
ก่อนเข้าวังหนึ่งวัน ญาติฝ่ายหญิงของจวนโหวมาคารวะยามเช้าที่เรือนของหลี่เหล่าไท่ไท่ หลี่เหล่าไท่ไท่กล่าวว่า “พรุ่งนี้ต้องลำบากหยางซื่อแล้ว”
หลี่ซวี่จากไปต้องไว้ทุกข์เป็เวลาสามปี เพราะหลี่หยางซื่อต้องไว้ทุกข์ ดังนั้นเื่เข้าวังจึงเป็หน้าที่ของหลี่เหล่าไท่ไท่ ส่วนวันนี้ต้องมายกให้หลี่หยางซื่อ นางจึงไม่มีความสุขนัก ไม่มีใครชมชอบที่สะใภ้มีตำแหน่งสูงกว่าตนเองหรอก และในวังหลวง ไม่มีใครสนใจว่าเ้าเป็มารดาผู้ใด เขาดูเพียงตำแหน่ง
“สมควรแล้วเ้าค่ะ” หลี่หยางซื่อตอบเรียบๆ
“เ้าไม่ได้เข้าวังมาเป็เวลาสามปีแล้ว ยังจำกฎเกณฑ์ได้หรือไม่?” หลี่เหล่าไท่ไท่เจตนาถาม “หากว่าลืมไปแล้ว ข้าจะสอนเ้า เมื่อครั้งยังสาวเป็คุณหนูจวนชิ่งป๋อ กฎเกณฑ์ในเรือนของจวนชิ่งป๋อของพวกเราล้วนเป็หมัวมัวจากวังหลวงมาสอน”
หลี่หยางซื่อยอบกายคำนับ “ขอบคุณท่านย่าที่ใส่ใจเ้าค่ะ ก่อนหน้านี้สองปีที่เข้าวังบ่อยๆ ก็ได้ขอให้หมัวมัวในวังสอนให้แล้วเ้าค่ะ”
“ก็ใช่ จวนฮ่านหลินของพวกเ้าแม้ว่าจะตำแหน่งขุนนางต่ำต้อย แต่งานเลี้ยงของวังหลวงจะเชิญขุนนางั้แ่ขั้นสี่ พวกเ้าอยู่ในลำดับขั้นนั้นพอดี” หลี่เหล่าไท่ไท่ไม่ปล่อยโอกาสแม้แต่ครั้งเดียวที่จะฉีกหน้าหลี่หยางซื่อ ในเมื่อตอนนี้ก็ไม่มีหน้าให้เหลือ หลี่หยางซื่อเองก็ไม่ได้ไม่กตัญญูต่อนางแต่อย่างใด
หลี่หยางซื่อยิ้มบางๆ “ท่านย่ากล่าวได้ถูกต้องเ้าค่ะ ดังนั้นพรุ่งนี้เข้าวังพวกเราเรือนที่สองและเรือนใหญ่ไปด้วยกัน ถึงเวลานั้นจวนโหวยังต้องรบกวนให้น้องสะใภ้สามช่วยดูแล ถึงแม้จะให้แขกเป็ผู้ดูแลบ้าน เ้าบ้านฝ่ายหญิงเช่นข้ายังคงทำใจไม่ค่อยได้ แต่ในเมื่อมีแขกอาศัยอยู่ ปิดประตูอยู่เสมอย่อมไม่ดี” หลี่หยางซื่อในยามนี้ปากก็แหลมคมขึ้นมาแล้ว ไม่เป็สะใภ้ที่ไม่ยอกย้อนอีกต่อไป ยามนี้เรือนที่สามจบสิ้นแล้ว เรือนใหญ่หันมาพึ่งพิงเรือนที่สอง เ้าบ้านฝ่ายชายของจวนโหวเองกลับมาแล้ว นางยังต้องเกรงกลัวยายแก่คนนี้อีกหรือไร?
“เ้า...” หลี่เหล่าไท่ไท่โมโหที่หลี่หยางซื่อใช้โอกาสนี้ฉีกหน้าเรือนที่สาม แต่เมื่อคิดถึงบุตรชายผู้ไม่เอาถ่านของตน นางเองก็เจ็บแค้นเจียนตาย “พรุ่งนี้เข้าวังให้พาอวิ๋นเจี่ยเอ๋อร์ไปด้วย”
หลี่หยางซื่อเสแสร้งทำเป็ไม่เข้าใจ “แต่รายชื่อที่ราชสำนักส่งมามีเพียงญาติของขุนนางขั้นสี่เท่านั้นที่จะร่วมได้นะเ้าคะ” ที่จริงจะพาหลานสาวสักคนไปด้วยก็ไม่กระไรนัก ด้วยฐานะของหลี่เหล่าไท่ไท่ที่เป็ฮูหยินตราตั้งขั้นสาม นางเองสามารถพาไปได้ แต่หลี่หยางซื่อคิดถึงคำพูดเมื่อสักครู่ของหลี่เหล่าไท่ไท่แล้ว ยามนี้ไม่จัดการนางเสียบ้าง จะให้โอกาสเช่นนี้หลุดลอยไปง่ายๆ ได้อย่างไรกัน
ภรรยาหลี่ฮ่าวได้ยินแล้วจึงนั่งตัวตรงขึ้นมาทันใด แต่ไหนแต่ไรมานางไม่เคยมีส่วนร่วมกับการทะเลาะวิวาทของเหล่าไท่ไท่กับผู้อื่น มักจะยืนอยู่ข้างกายหลี่เหล่าไท่ไท่อย่างเงียบๆ แต่ไม่ล่วงเกินเรือนใหญ่หรือเรือนที่สอง นางไม่มีสิทธิ์เลือกจุดยืนของตนเอง เพราะสามีของนางเป็ลูกแท้ๆ ของเหล่าไท่ไท่ แต่นางสามารถเลือกที่จะอยู่อย่างสงบ หลี่ฮ่าวเป็คนไม่รักดี ก่อนแต่งงานนั้นเขาเสแสร้งแกล้งทำได้ดีนัก และบิดาในเรือนของนางตำแหน่งขุนนางต่ำต้อย มารดาถือกำเนิดในครอบครัวพ่อค้า พวกเขา้าชื่อเสียงและฐานะของสกุลหลี่ หลี่เหล่าไท่เหฺยรั้งตำแหน่งขุนนางขั้นสาม อีกทั้งในสกุลหลี่ยังมีจวนจงกั๋วกง ฐานะเช่นนี้ในเมืองหลวงถือว่าสูงแล้ว
ต่อให้ยามนี้หลี่หยางซื่อจะพูดจารังเกียจบุตรสาวของตน นางย่อมไม่พูดจาใดๆ เพราะนางรู้ว่าเหล่าไท่ไท่ต้องออกปากเป็แน่
“อวิ๋นเจี่ยเอ๋อร์ไม่ใช่ญาติฝ่ายหญิงของเ้ารึ?” หลี่เหล่าไท่ไท่ถาม
หลี่หยางซื่ออยากจะตอบว่าไม่ใช่ หากมีนิสัยเรียบร้อยน่ารักก็ไม่กระไร แต่หลี่สุ่ยอวิ๋นเป็คนเอาแต่ใจ เมื่อเข้าวังยังสู้นางกำนัลคนหนึ่งไม่ได้ นิสัยเช่นนี้ยังหยิ่งยโสเกินไป นางไม่กล้าพาไปด้วยจริงๆ หากเกิดเื่อันใดนางยังต้องรับผิดชอบ หากเป็เื่เข้าวังแล้วเื่มากขึ้นหนึ่งเื่ไม่สู้ให้น้อยลงหนึ่งเื่จะดีกว่าหรือ
และในจวนโหวไม่มีผู้ชาย หากเกิดเื่ใครจะรับผิดชอบ?
หลี่หยางซื่อไม่อยากหาความยุ่งยากให้ตนเอง
เมื่อเห็นท่าทีเงียบขรึมของหลี่หยางซื่อแล้ว หลี่เหล่าไท่ไท่ก็โมโห ปีนี้อวิ๋นเจี่ยเอ๋อร์อายุสิบสี่ปีแล้ว ปีหน้าอายุสิบห้าต้องเข้าพิธีปักปิ่น ดังนั้นต้องเริ่มมองหาคู่ครองแล้ว หลี่เหล่าไท่ไท่รู้สึกว่าหลานสาวแท้ๆ ของนางนั้นมองอย่างไรก็ดีไปหมด สวยงาม รู้เื่ หญิงสาวล้ำค่าเช่นนี้ต้องหาสามีที่ดี และสามีที่ดีที่สุดก็มิใช่ว่าอยู่ในงานเลี้ยงฉลองพระราชสมภพของฝ่าาในวันพรุ่งนี้หรือไร?
พูดว่าเป็งานเลี้ยงฉลองพระราชสมภพของฮ่องเต้ แต่ที่จริงแล้วทุกคนต่างรู้ดีว่าเป็งานเลี้ยงเพื่อทาบทามคู่ครอง ครอบครัวใดบ้างเล่าไม่พาบุตรชายบุตรสาวไป หลี่เหล่าไท่ไท่คิดจะหาฐานะที่ดีสักหน่อย อย่างเช่นครอบครัวขุนนาง ครอบครัวจวนโหว อย่างน้อยต้องรั้งขุนนางขั้นสาม เพราะสามีของนางรั้งขุนนางตำแหน่งขั้นสามเช่นกัน
ทันทีที่คิดเื่คู่ครองของหลานสาว ในใจของหลี่เหล่าไท่ไท่ก็รู้สึกดีขึ้นมาเล็กน้อย หลังจากที่หลี่ลั่วกลับมา เวลาห้าเดือนนี้ไม่มีวันไหนที่นางสุขใจ ไม่มาคารวะยามเช้า ยามปกติก็ไม่เคารพนับถือนาง รอให้หลานสาวของนางหาสามีที่ดีได้เสียก่อน ความโมโหนี้จะต้องเอาคืนให้ได้
“ฮึ” หลี่เหล่าไท่ไท่เริ่มกล่าวคำพูดป่าเถื่อน “นี่เ้าจะไม่ยอมพาอวิ๋นเจี่ยเอ๋อร์ไปด้วยใช่หรือไม่? หรือว่าหลินเจี่ยเอ๋อร์แต่งออกไปไม่ได้ เ้าจึงยังจะมาขัดขวางอวิ๋นเจี่ยเอ๋อร์เสียให้ได้?”
ได้ยินคำพูดเช่นนี้ของนาง แววตาของหลี่หยางซื่อเคร่งขรึมลง หลี่หลินอายุสิบหกปีแล้ว ปีหน้าก็สิบเจ็ดแล้ว เื่คู่ครองของนางเป็เื่ที่เ็ปในใจของหลี่หยางซื่อ ยามนี้ถูกหลี่เหล่าไท่ไท่ยกขึ้นมาพูด นางจะยินดีได้อย่างไร? อีกทั้งยามนี้หลินเจี่ยเอ๋อร์ยังยืนอยู่ข้างกายนาง
ปรากฏว่า สีหน้าของหลี่หลินซีดเผือดเล็กน้อย
หลี่สุ่ยอวิ๋นเองก็รู้สึกอึดอัด นางกล่าวว่า “ท่านย่า สำหรับข้าแล้วยังเร็วไปเ้าค่ะ ต้องรอให้พี่ใหญ่แต่งงานจึงจะแต่งงานได้”
“เหลวไหล พี่ใหญ่ของเ้าอายุขนาดนี้ยังแต่งไม่ออก หรือว่าเ้ายังจะอยู่กับนางเป็แม่นางแก่ๆ ไปตลอดชีวิต?” หลี่เหล่าไท่ไท่พูดแล้วก็มองหลี่หลินด้วยแววตารังเกียจ “หากหลินเจี่ยเอ๋อร์ยังแต่งออกไปไม่ได้ ไม่สู้ไปบวชเป็นางชีเสียเล่า ไม่เช่นนั้นอยู่ที่นี่ก็รังแต่จะกระทบกับชื่อเสียงของหม่านเจี่ยเอ๋อร์และอวิ๋นเจี่ยเอ๋อร์”
ภรรยาหลี่ฮุยได้ยินเข้า รู้สึกว่าชักไม่ได้การแล้ว “นี่เป็แม่นางอยู่ดีๆ ไฉนจะไปเป็แม่ชีเล่าเ้าคะ?” หลี่เหล่าไท่ไท่อย่าได้ลากเรือนใหญ่ของพวกเขาลงน้ำไปด้วยสิ
หลี่หยางซื่อโกรธแล้ว “หากเหล่าไท่ไท่เกรงว่าจะกระทบชื่อเสียง คิดแล้วก็มิใช่พวกเราซึ่งเป็เ้าบ้านต้องย้ายออกไป แน่นอนว่าต้องเป็แขกที่ย้ายออกไป พูดขึ้นมาแล้วทุกคนต่างก็มาเป็แขกอยู่ในจวนนานยิ่ง ข้านั้นไม่มีหน้าจะขับไล่ออกออกไป แต่อย่างน้อยแขกย่อมต้องรู้ตัวว่าอะไรเป็อะไร?”
“กำเริบนัก นี่เ้ากำลังขับไล่ข้ารึ?” หลี่เหล่าไท่ไท่กล่าว “ยังมีความกตัญญูอยู่อีกหรือไม่? เ้ามันคนไร้ความกตัญญู ไปคุกเข่าเดี๋ยวนี้ ไปคุกเข่าข้างนอกสองชั่วยาม ไม่ถึงเวลาห้ามลุกขึ้นมา”
หลี่หยางซื่อหันกายเดินออกไปข้างนอก
“ท่านแม่” หลี่หลินรีบตามไป
“คนแล้วคนเล่าไม่มีกฎเกณฑ์ ออกมาจากครอบครัวเล็กๆ เช่นนี้จึงไม่รู้จักกฎเกณฑ์” ปากของหลี่เหล่าไท่ไท่ไม่ละเว้นใครทั้งสิ้น “แม้แต่คำว่ากตัญญูก็ยังไม่รู้จัก นี่มันการอบรมสั่งสอนของครอบครัวใดกัน?”
ภรรยาหลี่ฮุยไม่พูดต่อแล้ว เกิดเื่เช่นนี้ขึ้นไม่มีใครอยากจะอยู่ที่นี่ เมื่อเดินออกจากเรือนไปก็เห็นหลี่หลินไปคุกเข่าอยู่ข้างหลี่หยางซื่อ ภรรยาหลี่ฮุยถอนใจ ช่างเป็แม่นางที่ซื่อสัตย์ นางก้าวเข้าไปประคองหลี่หลินขึ้น “เ้าเป็หญิงสาวอย่าได้ทำเช่นนี้ แพร่งพรายออกไปจะชื่อเสียงไม่ดี ไม่ดีต่อสุขภาพเช่นกัน”
“แต่ว่าท่านแม่...”
“ท่านแม่ของเ้าคลอดบุตรมาแล้ว เ้ายังเป็หญิงสาว หากความเย็นจากพื้นดินเข้าสู่ร่างกายจะไม่เป็การดี รีบลุกขึ้นเสีย” ภรรยาหลี่ฮุยกล่าว “ลุกขึ้นไปหาลั่วเกอเอ๋อร์”
ครานี้มีเพียงลั่วเกอเอ๋อร์เท่านั้นที่จะช่วยหลี่หยางซื่อได้ ระยะนี้หลี่เหล่าไท่ไท่อารมณ์ฉุนเฉียวยิ่ง เหตุผลนั้นใครๆ ก็รู้ แต่ช่วยไม่ได้ ใครใช้ให้นางเป็แม่สามีกันเล่า เป็สะใภ้ได้แต่ข่มกลั้นอดทน สิบปีสะใภ้กลายเป็แม่สามี นางในยามนี้เองก็เป็แม่สามีของผู้อื่นแล้วเช่นกัน เพียงแต่สะใภ้ไม่ได้อยู่ข้างกายก็เท่านั้น
ภรรยาหลี่ฮุยถอนใจ เมื่อใดที่บุตรชายคนโตของนางกลับมาก็คงจะดี ยังมีหลานชายของนางอยู่