รสชาติเป็อย่างไร! แม้ว่าคำเหล่านี้จะเป็คำที่สั้นกระชับ แต่มันกลับเป็คำสองแง่สองง่าม [1]
อาจจะเป็การถามว่ารสชาติเหล้าผูเถาเป็อย่างไร และอาจเป็ไปได้ว่ากำลังถามความรู้สึกยามถูกจูบเป็อย่างไร หรืออาจจะถามทั้งสองอย่าง
มู่จื่อหลิงผู้เดิมทีก็หลงอยู่ในเมืองที่แสนอ่อนโยน [2] ซึ่งถูกเขาถักทอขึ้นมาจากการสอดประสาน ทันใดนั้นก็กลับมารู้สึกตัวอีกครั้ง นางส่ายหัวไปมา และเข้าใจในทันทีว่าคำถามของเขาหมายถึงสิ่งใด
มู่จื่อหลิงผลักหลงเซี่ยวอวี่ออกไปโดยไม่รู้ตัว มือทั้งสองของนางซ้อนทับกันบนหน้าอก หายใจหอบ หัวใจเต้นแรงดังตึก ตึก ตึก...
เมื่อนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ ใบหน้าขาวของมู่จื่อหลิงก็เปลี่ยนเป็สีแดงโดยไม่มีการเตือนล่วงหน้า นางอดไม่ได้ที่จะรู้สึกร้อน แต่สมองของนางก็ยังไม่หยุดคิด
เมื่อครู่...เหตุใดเพียงคำไม่กี่คำ นางถึงกับตกหลุมพรางของเขาโดยไม่มีการเตือนได้กันนะ? ช่างน่าผิดหวังยิ่งนัก
แล้วชายผู้นี้ยังจะดื่มเหล้าผูเถาจากปากของนางอย่างไร้ยางอายได้อย่างไร...ช่างไร้ยางอายเสียจริง!
เมื่อนึกได้ว่าเมื่อไม่นานมานี้ตนเองเพ้อฝันอย่างโง่เขลา มันเป็จินตนาการที่ไม่สมจริง แต่เมื่อครู่มันได้เกิดขึ้นจริงแล้ว
อารมณ์ของมู่จื่อหลิงในยามนี้ค่อนข้างสลับซับซ้อน และยังมีความรู้สึกที่ซับซ้อนจนไม่อาจอธิบายได้
ทันใดนั้นนางก็รู้สึกว่าต่อหน้าหลงเซี่ยวอวี่ ราวกับว่าร่างของนางโปร่งใส เขาสามารถรู้ทุกอย่างที่นางคิด และเขาสามารถมองเห็นได้ทุกสิ่ง
เมื่อคิดถึงเื่นี้ มู่จื่อหลิงก็รู้สึกเหมือนกับว่านางอยากจะร้องไห้โดยไม่มีน้ำตา
คนบางคนเกิดมาเพื่อให้ผู้อื่นอิจฉาอย่างแท้จริง
หลงเซี่ยวอวี่มองริมฝีปากชื้นที่แดงและบวมจากการจูบของเขาอย่างตะกละตะกลาม ในดวงตายังคงมีความสับสนจากรสััที่หลงเหลืออยู่จางๆ
ในไม่ช้า มู่จื่อหลิงก็ฟื้นคืนสติ นางกระแอมออกมาเบาๆ แล้วแสร้งทำสีหน้าดังคนใจเย็น
แต่...นางยังลอบเงยหน้าขึ้นมองที่หลงเซี่ยวอวี่ เห็นเพียงดวงตาของเขาที่มองมาราวเสือที่จ้องมองเหยื่อของมัน ส่องแสงเป็ประกาย ทั้งยังสว่างเจิดจ้าราวกับว่ามันจะะเิออกมาได้เพียงแค่ัั [3]
ทันใดนั้นหัวใจของมู่จื่อหลิงก็เกิดการสั่นไหว เอื้อมมือไปปิดริมฝีปากสีแดงแสนบอบบางของนางโดยไม่รู้ตัว
นางจ้องไปที่หลงเซี่ยวอวี่ด้วยดวงตาเบิกกว้าง มองหลงเซี่ยวอวี่ด้วยความไม่สบายใจเล็กน้อย ดวงตาของนางดูตรงไปตรงมาราวกับกำลังมองดูขุนนางเติงถู [4] นางยังคงขยับไปมาไม่หยุด เคลื่อนกายจนถึงมุมที่ไกลที่สุด และในที่สุดก็หดตัวลงเป็ก้อนกลม
หลงเซี่ยวอวี่จ้องไปที่ภาพนี้อย่างว่างเปล่า และรู้สึกขบขัน มู่มู่ผู้โง่เขลาของเขาช่างน่ารักยิ่งนัก!
หากเขา้าทำอะไรนางจริงๆ ถึงแม้ว่านางจะหดตัวเป็ก้อนกลม มันก็ไม่ได้ช่วยอะไร ไม่ว่าอะไรก็หยุดเขาไม่ได้
มู่จื่อหลิงจ้องมองเขาด้วยความโกรธ ปิดปากแน่น ก่อนจะพูดอย่างแ่เบาว่า “หลงเซี่ยวอวี่ ท่านอย่าทำตนราวกับเป็ของถูกและดี หยุดยิ้มได้แล้ว”
หลงเซี่ยวอวี่มองไปที่มู่จื่อหลิงอย่างขบขัน พูดอย่างสบายๆ ว่า “เปิ่นหวางไม่รู้ว่าผู้ใดกำลังเอาเปรียบผู้ใด ด้วยแม้แต่ในความฝัน ทุกคนต่างล้วนกระหายในรสชาติของเปิ่นหวาง”
เมื่อรู้ว่าเขากำลังพูดถึงความฝันของนางในตอนกลางวัน ใบหน้าของมู่จื่อหลิงก็ยิ่งแดงก่ำ นางโกรธมากจนแทบจะอาเจียนเป็เื
“ท่านมันคนไร้ยางอาย ผู้ใดอยากลิ้มลองรสชาติของท่านกัน” มู่จื่อหลิงจ้องไปที่หลงเซี่ยวอวี่ แล้วแสร้งทำเป็โกรธ
ยังโลภอยากลิ้มลองรสชาติของเขาอีกหรือ? ชิ! นางแค่สงสัยว่าเหล้าผูเถานั้นรสชาติดีหรือไม่?
ชายผู้นี้ไร้ยางอายเกินไปแล้ว
หลงเซี่ยวอวี่หัวเราะเบาๆ ก่อนจะเหยียดแขนเรียวของตนออก แล้วคว้าน่องของมู่จื่อหลิงไว้ ดึงนางออกมาจากมุมเล็กๆ นั้น
มู่จื่อหลิงอยากจะเตะเขาด้วยเท้าของนาง แต่เขาเร็วเกินไป และก่อนที่นางจะมีเวลาเตะออกไป เขาก็ลากนางไปด้านหน้าของตนแล้ว
มู่จื่อหลิงรู้สึกหงุดหงิดอยู่พักหนึ่ง เสียใจมากจนอยากจะทุบกำแพง
กุ้งตัวน้อยจะสู้ปลาใหญ่ได้อย่างไร?
นางสาบานว่า นางจะไปเรียนวรยุทธ์ ไม่อย่างนั้น สักวันหนึ่งนางจะถูกมารร้ายผู้นี้ครอบงำ เพียงคิดถึงวันเ่าั้ ก็ทำให้นางรู้สึกโกรธ
ใบหน้าของหลงเซี่ยวอวี่กดทับอย่างแ่าไปกับใบหน้าที่ร้อนระอุของมู่จื่อหลิง “มู่มู่คนโง่ ดูเหมือนว่าเมื่อครู่เปิ่นหวางยังไม่ได้ลิ้มรสเลย เช่นนั้นเปิ่นหวางจะปล่อยให้เ้าได้รับประโยชน์จากมันผู้เดียวได้อย่างไร?”
เ้าขยะนี่! มารร้ายผู้นี้ช่างไร้ยางอายได้อย่างไร้ขอบเขตจริงๆ
หัวใจของมู่จื่อหลิงเต็มไปด้วยความโกรธและหดหู่ใจ
เมื่อเทียบความฉลาดกับชายเ้าเล่ห์ผู้นี้ เห็นได้ชัดว่านางยังล้าหลังอยู่มาก
ยิ่งกว่าไร้ยางอาย ผู้ที่พ่ายแพ้อย่างยับเยินย่อมเป็ตนเองอย่างแน่นอน
ดังนั้น หลังจากคิดดูแล้ว มู่จื่อหลิงจึงหยิบจอกเหล้าผูเถาที่เพิ่งถูกโยนทิ้งไปท่ามกลางความโกลาหล รินเหล้าให้ตนเองอย่างสบายๆ ก่อนยกขึ้นจิบแล้วกระแทกใส่ปาก
นางยกนิ้วให้ และสรรเสริญครั้งแล้วครั้งเล่า “ท่านไม่ถามหน่อยหรือว่ารสชาติเป็อย่างไร รสชาติของเหล้าผูเถานี้ช่างสมบูรณ์แบบมากจริงๆ”
จากนั้นมู่จื่อหลิงหันศีรษะของนางกลับมาอีกครั้ง ดวงตาของนางจ้องไปที่ใบหน้าของหลงเซี่ยวอวี่อีกครั้ง ก่อนจะมองไปที่ริมฝีปากบางๆ ของเขาอย่างกำเริบเสิบสาน แล้วเอื้อมมือไปััมันอย่างกล้าหาญ
ในท้ายที่สุด นางก็พ่นลมและให้ความเห็นอย่างไม่เต็มใจ “รสชาติตรงนี้พอใช้ได้ เฉยๆ แค่นี้เอง”
แต่ถ้าจะให้พูดตรงๆ ก็คือ กลิ่นบนร่างของเขาช่างดีจริงๆ ลมหายใจของกลิ่นดอกเหมยเย็นให้ความรู้สึกเงียบสงบและสง่างามราวกับอยู่ในฤดูหนาวอันหนาวเหน็บทำให้ผู้คนมึนเมาและสับสน กลิ่นบางเบาช่างหอมจรุงใจ ติดตามหลอกหลอนแม้ในฝัน
กลิ่นหอมเย็นและบางเบาไม่ต่างจากพิษที่คอยกัดกินกระดูก มันเป็พิษที่ทำให้คนเสพติด เมื่อได้รับมาแล้ว จะไม่สามารถกำจัดมันออกไปได้อีก
วิจารณ์ด้วยจิตใจที่สงบ ความรู้สึกนั้นน่าจะ...ดีมากจริงๆ
แต่ความรู้สึกนี้ควรเก็บไว้เพียงในใจเท่านั้น นางจะไม่มีทางพูดมันออกมา
ท่าทางที่จริงจังของมู่จื่อหลิง ทำให้หลงเซี่ยวอวี่เกือบจะแสยะยิ้มออกมาด้วยความโกรธ หญิงผู้นี้ทั้งดื้อรั้นและโง่เขลา
“เฉยๆ อะไรกัน เห็นได้ชัดว่ามู่มู่คนโง่ชอบที่เปิ่นหวางจูบเ้ามาก” ดวงตาของหลงเซี่ยวอวี่มีเสน่ห์และน่าหลงใหล น้ำเสียงนั้นพร่ามัวอย่างสุดจะพรรณนา
ทันใดนั้นมู่จื่อหลิงก็เกิดอาการอึดอัดในอก นางแทบจะกัดฟันยามที่พูดว่า “ฉีอ๋อง ท่านยังสามารถไร้ยางอายได้มากขึ้นอีกแล้ว”
แน่นอนว่า หลงเซี่ยวอวี่มองไปที่ใบหน้าเล็กๆ ของมู่จื่อหลิง จ้องมองแก้มสีแดงก่ำที่ยังไม่จางหายไป เขาอดไม่ได้ที่จะโน้มตัวไปข้างหน้าอีกครั้ง
มู่จื่อหลิงใ “ท่าน...”
หากยังคงพูดเื่นี้ต่อไป นางตั้งใจแน่วแน่ที่จะะเิความโกรธออกมา
วันนี้นางจะได้เห็นแล้วว่าฉีอ๋องผู้ซึ่งไร้ความปรานีและเด็ดขาดต่อหน้าคนนอก แท้ที่จริงแล้วใบหน้าของเขานั้นหนาจนเทียบได้กับกำแพงเมือง
ความหน้าด้านไร้ยางอายของเขาได้ถูกแสดงออกมาอย่างถึงอกถึงใจ ไม่อาจหาผู้ใดมาเทียบเทียมได้
“เมื่อใดจะกลับไปเสียที?” มู่จื่อหลิงกัดฟันถาม
“รออีกหน่อย แล้วค่อยกลับ ดีไหม?” ใบหน้าที่หล่อเหลาของหลงเซี่ยวอวี่แนบชิดอยู่กับพวงแก้มสีชมพูระเรื่อของมู่จื่อหลิง แล้วขยับถูไถอย่างใกล้ชิด
ััเช่นนี้ช่างอบอุ่น อ่อนโยน ให้ความรู้สึกดี!
มันกระตุ้นหัวใจของนางจากการถูกลูบไล้ กลิ่นหอมบนร่างกายของเขาทำให้หัวใจของนางเต้นรัว
มู่จื่อหลิงไม่สามารถรับมันได้อีกต่อไป นางใช้หัวกระแทกใบหน้าหล่อเหลาที่กำลังถูไถกับใบหน้าของตน นางคิดว่ามันยังไม่พอ นางจึงออกแรงผลักดันแรงๆ อีกครั้ง
ฉีอ๋องผู้จมอยู่ในความอบอุ่นไม่คาดคิดว่ามู่จื่อหลิงจะทำเช่นนี้ เหตุเกิดแบบฉับพลันจนเขาไม่ทันตั้งตัว จึงถูกกระแทกออกไปจริงๆ
หลงเซี่ยวอวี่ถูกผลัก เขาฟุบหน้าลงกับโต๊ะเตี้ยที่อยู่ข้างหลังโดยไม่ได้เตรียมตัวไว้
จากนั้น โต๊ะเตี้ยก็ล้มคว่ำลง ร่างกายของเขาล้มลงกับพื้นในทันที เหล้าผูเถาทั้งหมดบนโต๊ะหกใส่เขา เหล้าสีแดงสดย้อมชุดคลุมสีขาวราวหิมะของเขาจนกลายเป็สีแดงในทันที
ใครจะไปคิดว่า ฉีอ๋องผู้สูงส่งและหยิ่งยโส ทั้งยังหมกมุ่นอยู่กับความสะอาดมาโดยตลอด ในยามนี้กลับอยู่ในสถานการณ์ที่น่าอึดอัด!
ผ่านไปครู่หนึ่ง ใบหน้าของหลงเซี่ยวอวี่ถูกปกคลุมไปด้วยหมอก ราวกับว่าชั้นน้ำแข็งหนาจับตัวกันบนใบหน้าอันหล่อเหลาของเขา ก่อนจะพ่นลมหายใจที่เยือกเย็นและน่าสะพรึงกลัวออกมา
ดวงตาที่ล้ำลึกและเยือกเย็นของเขา จ้องมองไปยังผู้หญิงตัวเล็กที่ทำให้เขาล้มลงอย่างน่ากลัว แต่ในเวลาต่อมา ความเย็นในร่างกายของเขาก็ละลายหายไปในทันที...
หากมู่จื่อหลิงเห็นว่าในที่สุด หลงเซี่ยวอวี่ก็ถูกนางผลักออกไปอย่างง่ายดาย และเขายังล้มลงกับพื้นในสภาพที่น่าอับอาย นางจะรู้สึกยินดีอย่างยิ่งกับความโชคร้ายและรู้สึกถึงความสำเร็จเป็พิเศษ
แต่...เมื่อสู้แบบตัวต่อตัว มันกลับเป็การาเ็ด้วยกันทั้งคู่
มู่จื่อหลิงกุมศีรษะของตน ซึ่งยังคงมึนงงและปั่นป่วน ความเ็ปทำให้น้ำตาของนางเกือบจะไหลออกมา
เกลียดนัก! สังหารศัตรูหนึ่งพันแต่สูญเสียไปถึงแปดร้อย [5] ตามที่คาดไว้...มันไม่ได้ผล! มู่จื่อหลิงรู้สึกเสียใจมากจนเกือบสาปแช่งไปถึงมารดาแล้ว
เมื่อมองไปที่ใบหน้าเล็กที่ยับย่นของมู่จื่อหลิง หลงเซี่ยวอวี่ก็หัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้
เขาลุกขึ้นนั่งข้างๆ มู่จื่อหลิง เอื้อมมือออกไปลูบหัวน้อยๆ ของนางอย่างสงสาร แล้วพูดอย่างมีเลศนัยว่า “มู่มู่คนโง่ เดิมทีก็โง่อยู่แล้ว ยามนี้กลับโง่ยิ่งกว่าเดิม ข้าควรทำอย่างไร?”
มือของเขาดูเหมือนจะมีพลังวิเศษ เมื่อถูกเขาลูบ มู่จื่อหลิงรู้สึกได้ทันทีว่าอาการปวดแสบปวดร้อนในหัวของนางหายไปในทันที
“ท่าน...” ขณะที่มู่จื่อหลิงกำลังจะพูด จู่ๆ ก็มีเสียงตื่นตระหนกดังมาจากด้านนอกรถม้า
“องค์หญิง ท่านเป็อะไรไป?”
“องค์หญิง อย่าทำให้บ่าวกลัวเลยเพคะ องค์หญิง...” ด้านนอกมีเสียงร้องของนางกำนัลสองคน
เมื่อได้ยินเสียงนี้ มู่จื่อหลิงจึงจำได้ว่าก่อนที่พวกเขาจะขึ้นรถม้า องค์หญิงขี้โรคกำลังเดินตรงมาหาพวกเขา
ไม่คิดว่าหลังจากผ่านไปนานถึงเพียงนี้ นางก็ยังสามารถอยู่ข้างนอกได้ ขอชื่นชมความอดทนขององค์หญิงอันหย่าจริงๆ ไม่สิ น่าจะเป็การชื่นชมเสน่ห์ของหลงเซี่ยวอวี่!
แต่องค์หญิงขี้โรคผู้นี้้าสร้างปัญหาอะไร?
เมื่อคิดดูแล้ว ฤทธิ์ยาของมู่อี๋เสวี่ยน่าจะหมดไปแล้ว ไม่รู้ว่าข้างนอกมีฉากที่สวยงามมากเพียงใด
ด้วยความอยากรู้อยากเห็น มู่จื่อหลิงจึงเปิดม่านรถแล้วโผล่หัวออกไปดู
ข้างนอก องค์หญิงขี้โรคกำลังนั่งทรุดอยู่บนพื้น เอนกายลงในอ้อมแขนของนางกำนัลอย่างอ่อนแรง ทั้งดูบอบบางและอ่อนแอ หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงไม่หยุด ดูเหมือนว่าจะหมดลมหายใจตายลงได้ในเวลาไม่นาน
เมื่อเห็นภาพที่น่าสมเพชนี้ มู่จื่อหลิงก็หัวเราะออกมาทันที
ดูถ้าคราวนี้องค์หญิงขี้โรคจะป่วยหนักจริงๆ ที่สุดแล้วผู้ใดเป็คนกระตุ้นนางกัน?
แต่ก่อนที่มู่จื่อหลิงจะดื่มด่ำกับความสุข หลงเซี่ยวอวี่ก็ดึงหัวนางกลับเข้าไป
“เป็เด็กดีและเชื่อฟัง รอเปิ่นหวางกลับมา” เสียงของหลงเซี่ยวอวี่เป็เหมือนเสียง์ ทรงอำนาจอย่างหาที่เปรียบมิได้
ก่อนที่มู่จื่อหลิงจะพูดอะไร หลงเซี่ยวอวี่ก็ออกจากรถม้าไปแล้ว...
“ฉีอ๋อง โปรดช่วยองค์หญิงของเราด้วย” เมื่อนางกำนัลเห็นหลงเซี่ยวอวี่ออกมา นางจึงเปล่งเสียงออกมาดังๆ
แต่จากการมองผ่านม่านหยกหลากสี มู่จื่อหลิงเห็นหลงเซี่ยวอวี่มุ่งตรงเข้าไปในรถม้าคันเล็ก
แม้กระทั่งนางกำนัลสองคนขององค์หญิงอันหย่าร้องขอความช่วยเหลือจากหลงเซี่ยวอวี่อย่างยากลำบาก แต่เขากลับเมินเฉยและทำเป็หูหนวก ราวกับว่าองค์หญิงอันหย่าไม่ได้อยู่ข้างนอกนั่น
มู่จื่อหลิงพูดไม่ออก
เดิมทีนางคิดว่าหลงเซี่ยวอวี่กำลังจะไปหาองค์หญิงที่ล้มป่วย เพราะอย่างไรก็ตามในยามนี้คนป่วยก็กำลังป่วยอยู่ใต้จมูกของพวกเขา
ต้องรู้ว่า องค์หญิงอันหย่าคือดวงใจของไทเฮา
ที่เป็อยู่ในยามนี้ แค่มองก็รู้ว่ากำลังจะตายไม่ใช่หรือ?
นางกำนัลที่อยู่ข้างนอกเอาแต่ร้องไห้ มู่จื่อหลิงดึงม่านขึ้นอีกครั้ง ยกมือขึ้นแตะขอบหน้าต่าง เอาคางพิงแล้วมองภาพด้านนอกด้วยรอยยิ้ม “อืม เกิดอะไรขึ้นกับองค์หญิงอันหย่าของพวกเ้า?”
---------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] คำสองแง่สองง่าม (一语双关) เป็สำนวน มีความหมายว่าในหนึ่งประโยคมีสองความหมาย หรือคำที่กำกวมไม่ชัดเจน
[2] เมืองที่แสนอ่อนโยน (温柔乡) เป็คำเปรียบเปรย มีความหมายว่า สถานที่ที่สวยงามและมีเสน่ห์ หรือ สถานที่อบอุ่นและสะดวกสบาย
[3] ะเิออกมาได้เพียงแค่ัั (一触即发) เป็สำนวน มีความหมายว่า สถานการณ์ตึงเครียดมาก พร้อมที่จะะเิออกมาได้ทุกเมื่อ
[4] ขุนนางเติงถู (登徒浪子) เป็ชื่อขุนนางกังฉินในบทกวีโบราณ โดยในเื่ขุนนางเติงถูนั้นเป็คนที่มากตัณหา จึงนิยมนำชื่อนี้มาใช้เรียกผู้มักมากบ้าตัณหา
[5] สังหารศัตรูหนึ่งพันแต่สูญเสียไปถึงแปดร้อย (伤敌一千自损八百的招数) เป็สำนวน มีความหมายว่า ความสูญเสียหรือเสียหายของทั้งสองฝ่ายไม่ต่างกันมากนัก
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้