มิติถูกแหวกออก กลิ่นไหม้เกรียมลอยมาเตะจมูกในทันใด เสิ่นเสวียนปิดจมูกตนเองขณะะโออกมาจากในมิติ เสี่ยวเหยียนะโเลียนแบบเขาออกมา พร้อมกับใช้กรงเล็บเล็กๆ ของมันปิดจมูกตนเองไว้ด้วยเหมือนกัน
รอบตัวเต็มไปด้วยเนื้อไหม้เกรียม แต่เพราะธาตุเฉพาะตัวของงูหน้าผี ความเย็นะเืเสียดแทงเข้าไปในร่าง ทำให้เสิ่นเสวียนตัวสั่นเทิ้ม
“ตัวใหญ่มากจริงๆ!”
เสิ่นเสวียนเดินอยู่ภายในท้องของงูหน้าผีที่โดนะเิพลางกล่าวด้วยความใ
อานุภาพของหลินจือโมราน่ากลัวมาก รวมเข้ากับเปลวเพลิงของเสี่ยวเหยียน ทำให้สัตว์วิเศษขั้นหกที่แปลงกายแล้วอยู่ในสภาพนี้ได้ ต้องรู้ว่าสัตว์วิเศษขั้นหกร่างกายทุกส่วนคือของล้ำค่า ร่างใหญ่โตเช่นนี้สามารถเอาไปสร้างศาสตราวิเศษที่แข็งแกร่งไร้เทียมทาน
“ออกไปกันเถอะ”
เสิ่นเสวียนกล่าวกับเสี่ยวเหยียนที่อยู่ด้านหลัง แล้วเขาก็เดินออกไปด้านนอกตามทาง
ร่างใหญ่โตของงูหน้าผีนอนหมอบอยู่ที่พื้น ไม่เหลือพลังชีวิตเลยแม้แต่น้อย
ปากใหญ่ของมันปิดสนิท หลังจากที่ขยับอยู่สองครั้งก็ใช้กำลังง้างปากของมันออกจากกันได้สำเร็จ แล้วเสิ่นเสวียนกับเสี่ยวเหยียนจึงเดินออกมา
“ฟู่!”
หลังจากออกมาได้ เสิ่นเสวี่ยนนั่งลงที่พื้นข้างๆ ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
เมื่อครู่โชคดีที่ใช้มิติของผังเมืองซานเหอ และใช้พลังของเสี่ยวเหยียนกับหลินจือโมรา มิเช่นนั้นไม่มีทางเอาชนะอีกฝ่ายได้เลย
“ลำบากเ้าแล้ว”
เสิ่นเสวียนยื่นมือไปลูบหัวเสี่ยวเหยียนพลางกล่าวด้วยความปลื้มใจ น่าเสียดายที่มิติของตนเองเล็กมาก มิอาจเก็บร่างของเ้าตัวใหญ่นี้เข้าไปได้ ส่วนเสี่ยวเหยียนที่โดนเสิ่นเสวียนลูบหัวหลับตาพริ้มอย่างผ่อนคลาย
หลังจากนั่งพักอยู่ครู่หนึ่ง เสิ่นเสวียนลุกขึ้นยืนแล้วเดินมาที่ร่างของงูหน้าผี ใช้กำปั้นโจมตีลงไปบนร่างนั้น แต่มันยังคงแข็งแกร่งเหมือนเดิม
“โอ้ ของดีมาก ถ้าไม่เอามันไปด้วยคงเสียดายแย่”
หลังจากนั้นเสิ่นเสวียนไม่ได้หลอมรวมหลินจือโมราต่อ แต่เขานั่งลงข้างๆ ร่างไร้ิญญาของงูหน้าผี เขาวางฝ่ามือลงไปบนร่างของอีกฝ่าย แรงดึงดูดที่รุนแรงดูดเอาพลังที่ยังคงอยู่ภายในร่างไร้ิญญานี้เข้าไปอย่างต่อเนื่อง
เ้าตัวนี้มีพลังมากกว่าหินิญญาฟ้าดินมาก แม้จะเอาไปไม่ได้ แต่การดูดพลังไปนั้นไม่ใช่ปัญหา
พลังของเขาในตอนนี้ กล่าวกันตามตรงเพิ่งอยู่ในขั้นปี้กู่ระดับปลาย ยังไม่ทะลวงถึงขั้นแก่นทองคำ หากเป็ก่อนหน้านี้ที่ผ่านการต่อสู้ครั้งใหญ่มาแล้วหลายครั้ง เขาได้สะสมพลังเหล่านี้เอาไว้แล้ว แต่ในขั้นแก่นทองคำนอกจาก้าพลังแล้วยังต้องศึกษาลัทธิเต๋าอีกด้วย
การบำเพ็ญเพียรคือการถามไถ่วิถี สิ่งที่ฝึกฝนคือลัทธิเต๋า
ในชาติก่อนเขาถามไถ่วิถีมานับร้อยปี ทันทีที่เข้าใจทำให้เขาฝ่าด่านเคราะห์ได้โดยตรง วิถีที่เขาศึกษาในชาตินี้แม้แต่เขาเองยังไม่รู้เลย หากมิอาจศึกษาวิถีออกมาได้ คิดจะก้าวหน้าไปอีกขั้นเป็เื่ที่ยากมาก
ในขณะที่เขากำลังดูดซับพลัง ทำให้ธาตุน้ำแข็งที่บริสุทธิ์เหล่านี้เก็บกักไว้ภายในตันเถียน เตรียมพร้อมสำหรับการปรุงยาผสานก่อกำเนิด สติของเขาพลันล่องลอยออกไปเพื่อตามหาวิถีของตนเอง
สิ่งใดคือวิถี
วิถีที่อธิบายได้ หาใช่วิถีเที่ยงแท้
ในชาติก่อนเขาศึกษา ‘ความอดทน’ ขึ้นมาได้ ความอดทนคือวิถีของเขา สุดท้ายแล้วด้วยความอดทนของเขาทำให้ฝ่าด่านเคราะห์อัสนีได้หลายครั้ง ผ่านอันตรายนับไม่ถ้วน จนก้าวเป็เซียนพเนจรเก้าด่านเคราะห์ได้สำเร็จ
หากเขาสามารถก้าวไปได้อีกจนฝ่าด่านเคราะห์ครั้งที่สิบได้ เขาอาจทะลวงผ่านความว่างเปล่าไปถึงอีกระดับขั้นหนึ่งจริงๆ ก็ได้
วิถีของการผสานพลังที่ศึกษาขึ้นมาได้ จะติดตัวไปตลอดชีวิต
ในตอนนั้นที่เขากลายเป็เซียนพเนจรเก้าด่านเคราะห์ได้สำเร็จ กลายเป็ผู้ไร้ศัตรูในโลก แม้ต้องเผชิญหน้ากับต้าหลัวจินเซียน[1] ก็เป็เพียงมดฝูงใหญ่สำหรับเขาเท่านั้น แต่เป็เพราะความเย่อหยิ่งของเขา ขณะที่ตามหาศาสตราเทพในเทือกเขาคุนหลุนเขามิได้ปกปิดตัวตน นำพาให้จักรพรรดิเซียนสามคนนั้นตามตัวเขาเจอ
ความตายครั้งก่อนเกี่ยวข้องกับตัวเขาโดยตรง เขาหยิ่งผยองและยังดูถูกเหยียดหยามทุกคนไม่ว่าใครก็ตาม จึงโดนคนอื่นไล่ล่าสังหาร
ชาตินี้เขามาถึงที่นี่เพียงไม่กี่วัน แต่กลับทำหลายอย่างเหมือนเดิม
อย่างเช่น หากโชคชะตาของเสิ่นเสวียนไม่มีเขา อาจโดนวางยาพิษตายไปแล้ว
หากไม่มีเขา ตระกูลหานอาจเข้าควบคุมตระกูลเสิ่นไปแล้ว กลายเป็ตระกูลสาขาของตระกูลหาน หากไม่มีเขาก็จะไม่มีหลินจือโมรา และยิ่งไม่มีทางได้รากจักรพรรดิ
นั่นคือโชคชะตา แต่เขากลับแก้ไขโชคชะตาได้
นี่คือวิถีของเขา!
“ชีวิตข้าเป็ของข้า หาใช่ของ์!”
นี่ก็คือวิถีของเขา
เสิ่นเสวียนที่กำลังหลับตาพลันลืมตาขึ้น มีแสงสว่างส่องประกายวาวโรจน์ออกมาจากดวงตา เขากระตุกยิ้มมุมปากเล็กน้อยพลางกล่าวเสียงเรียบ
“สิ่งใดคือชีวิต ข้าก็คือชีวิต และนี่คือวิถีของข้า”
ขณะที่กล่าวออกมา พลังมากมายนับไม่ถ้วนภายในตันเถียนของเขารวมตัวเข้าด้วยกันอย่างรวดเร็วจนกลายเป็จุดพลัง จากนั้นเมื่อพลังเพิ่มเข้าไปเรื่อยๆ ก็ทำให้จุดพลังนั้นเริ่มขยายใหญ่อย่างช้าๆ
ใจกลางของตันเถียนในตอนนี้มีก้อนพลังงานขนาดเท่าไข่นกพิราบลอยอยู่อย่างสงบ ส่วนตันเถียนก็มีขนาดใหญ่กว่าก่อนหน้านี้อย่างน้อยสี่เท่า
“ผสานพลัง! ข้าทำสำเร็จแล้ว”
เสิ่นเสวียนััได้ถึงการเปลี่ยนแปลงภายในตันเถียน เขากล่าวขึ้นอย่างตกตะลึง แม้ตนเองจะผ่านการฝึกฝนมาแล้วหนึ่งครั้ง แต่ครั้งที่สองยังคงทำให้เขาใจเต้นอยู่ไม่น้อย
ความสำคัญของการผสานพลังเป็รองเพียงแค่หยวนก่อกำเนิด จะตัดสินทิศทางความก้าวหน้าของเขาในอนาคต ดูจากวิถีที่เขาศึกษาได้ในตอนนี้เป็ไปตามนิสัยของเขาเอง นั่นคืออิสระไร้ข้อผูกมัด และเปลี่ยนแปลงโชคชะตา
ตอนนี้เขากำลังเข้าสู่่ผสานพลัง เทียบได้กับขั้นบรรพบุรุษของโลกแห่งการฝึกตน
ั้แ่เกิดใหม่มาจนถึงตอนนี้ ่เวลาเพียงครึ่งเดือนเท่านั้น เขาสามารถทำในสิ่งที่คนที่นี่ไม่มีทางทำได้ตลอดชีวิตได้สำเร็จ
ทว่าเสิ่นเสวียนสงบนิ่งลงได้อย่างรวดเร็ว จากนั้นเขาก็ดูดซับพลังของงูั์ตรงหน้าต่อไป พลังธาตุน้ำแข็งสามารถดูดซับเข้าไปได้โดยไม่ต้องเกรงกลัว เพื่อเก็บกักพลังทั้งหมดเอาไว้ในตันเถียน เขาไม่เหมือนกับคนอื่นๆ เมื่อผสานพลังถึงขั้นหยวนก่อกำเนิดได้ เขาจะฝึกฝนเคล็ดวิชาห้าธาตุ จะไม่จำกัดแค่ธาตุใดธาตุหนึ่ง แต่จะผสมผสานห้าธาตุ ทอง ไม้ น้ำ ไฟ และดินเข้าด้วยกัน เพื่อให้อานุภาพรุนแรงยิ่งกว่าธาตุเดียว
ค่ำคืนอันเงียบสงบค่อยๆ ล่วงเลยไป
ภายในป่าถูกกำหนดให้เป็สถานที่ที่นอนไม่หลับ
ในรุ่งสางวันต่อมา ฝ่ามือสองข้างของเสิ่นเสวียนยังคงทาบอยู่บนร่างไร้ิญญาของงูั์ เพียงแต่ร่างงูั์ในตอนนี้ไม่ได้คงอยู่เช่นเดิมแล้ว เหลือเพียงหนังงูที่เคยห่อหุ้มร่างเท่านั้น
งูหน้าผีตัวใหญ่ยาวสิบจั้งโดนเขาดูดซับพลังไปจนเหลือแต่หนัง ทว่ายังมีสิ่งที่เขาต้องแลกเปลี่ยน นั้นคือพลังธาตุน้ำแข็งเข้าไปติดอยู่ในมิติส่วนใหญ่ของตันเถียน ทำให้เขาต้องสิ้นเปลืองแรงในการโคจรพลังมากขึ้น
หากพลังต่อสู้ของเขาก่อนหน้านี้มีอยู่หนึ่งหมื่นส่วน พลังต่อสู้ที่เขาโคจรได้ในตอนนี้อย่างมากก็แค่สามพันส่วนเท่านั้น พลังของเขาหายไปถึงเจ็ดพันส่วน แต่แม้จะเป็เช่นนี้ก็ยังแข็งแกร่งกว่าก่อนหน้านี้อยู่ดี
“หืม?”
เสิ่นเสวียนที่กำลังดูดซับพลังธาตุน้ำแข็งอยู่ เหลือแค่ส่วนหัวงูก็จะเสร็จสิ้นแล้ว ทันใดนั้นเขาก็มองเห็นหมอกดำปกคลุมขึ้นเบื้องหน้า
หมอกดำนั้นแผ่กระจายออกมาจากหัวของงูหน้าผี หลังจากนั้นก็มีร่างเงามนุษย์สีขาวลอยอยู่้า เขาสวมหมวกสีขาวที่สูงประมาณฉื่อครึ่ง ใบหน้าซีดขาว มีลิ้นสีแดงยาวลงมาถึงท้อง ในมือถือโล่เอาไว้
“ไป๋อู๋ฉาง?”
เสิ่นเสวียนจ้องมองก่อนจะกล่าวชื่อนี้ออกมา
ไป๋อู๋ฉางคือทูตแห่งยมโลก มีพลังเทียบเท่าเซียนิญญา มีหน้าที่นำพาิญญาไปยังยมโลก ตำแหน่งของเขาไม่ได้ด้อยไปกว่าต้าหลัวจินเซียนเลย ทว่าเฮยไป๋อู๋ฉาง[2] ไม่เคยแยกจากกัน เหตุใดวันนี้ถึงมาแค่ไป๋อู๋ฉาง
“เ้ายังจำข้าได้ เ้าทำร้ายสัตว์พาหนะของข้าควรได้รับโทษเช่นไร”
ไป๋อู๋ฉางมองเสิ่นเสวียนด้วยท่าทางเย่อหยิ่ง
“เ้าไม่ได้อยู่ในโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรหรอกหรือ เหตุใดถึงมาที่นี่”
เสิ่นเสวียนมองไป๋อู๋ฉางพลางถามด้วยความสงสัย หากเขามาจากยมโลกจริงๆ เช่นนั้นก็แสดงว่ายมโลกสามารถเชื่อมต่อสองโลกนี้ได้ สำหรับเขาแล้วนี่เป็เื่ที่น่ายินดี
“บังอาจนัก กล้าดีอย่างไรถึงกล่าวกับข้าเช่นนี้”
ไป๋อู๋ฉางะโเสียงดังลั่น ไอิญญาพลุ่งพล่านขึ้นบนร่าง แข็งแกร่งไม่มีใครเทียบ
หากกล่าวกับคนอื่นคงได้ผล ทว่าไม่ใช่กับเสิ่นเสวียน
“บังอาจ กล้าดีอย่างไรถึงกล่าวกับข้าเช่นนี้ พาพญายมทั้งสิบ[3] มาหาข้าเลยสิ”
เสิ่นเสวียนะโออกไปเช่นกัน ความแข็งแกร่งไม่ได้ด้อยไปกว่าอีกฝ่ายเลย
..................................................
[1] ต้าหลัวจินเซียน (大罗金仙) คือหนึ่งในห้าเซียนที่เกี่ยวข้องกับลัทธิเต๋า
[2] เฮยไป๋อู๋ฉาง คือ ยมทูตในตำนานของจีน ตนหนึ่งสวมชุดขาว อีกตนสวมชุดดำ มักปรากฏตัวคู่กันเสมอ แต่บางตำนานก็ว่ามีแค่ตนเดียว แต่แต่งกายด้วยสองสีคือดำและขาว
[3] พญายมทั้งสิบ มาจากความเชื่อของชาวจีนที่ว่านรกนั้นมี 10 ขุมใหญ่ แต่ละขุมมีพญายมดูแลปกครองอยู่