วันที่เจ็ดเดือนสิบ หิมะยังคงโปรยปรายลงมาเป็วันที่สาม
ไม่นานนักก็หยุดลง
ทว่าหิมะขาวโพลนยังคงปกคลุมไปทั้งูเากระดูก ทั้งท้องทุ่งหญ้าและแม่น้ำสายเล็ก ผืนฟ้าและแผ่นดินล้วนเป็สีขาวสุดลูกหูลูกตา
มีเพียงแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ที่ยังคงเป็เช่นวันวาน ระลอกคลื่นยังคงซัดออกไปและซัดกลับมาอยู่เช่นนั้น และยังคงดูล้ำลึกไร้ก้นบึ้ง
หลังหิมะหยุดตกคือ่เวลาที่เหล่าบัณฑิตชอบมากที่สุด ได้ร่ายกลอนไปพร้อมสุราอุ่นๆ ชมหิมะไปพร้อมประพันธ์บทกวี มิต้องคำนึงถึงความสง่างามอันใด
ธรรมเนียมในแคว้นเชินนั้นเข้มข้นนัก เหล่าชนชั้นสูงและราษฎรทั่วไปก็ล้วนเป็เช่นนี้
ในเมื่อเป็เช่นนั้น ทันทีที่หิมะหยุดตก ท่านนายอำเภอเฉินจึงเริ่มเตรียมตัวเพื่อจะออกไปเดินเล่นชมธรรมชาติ ทั้งยังจะพาเหล่าบัณฑิตไปด้วย
ยามเมื่อเหล่าบัณฑิตมาถึงแล้วก็พบว่าเ้าเด็กบ้านนอกลู่สวินไม่อยู่ พวกเขาก็พลันรู้สึกเบิกบานใจกันขึ้นมา
เ้าเด็กลู่สวินก็ช่างเหลือทนนัก เป็แค่เด็กบ้านนอกคนหนึ่งแท้ๆ แต่รูปลักษณ์กลับไม่ธรรมดา กระทั่งท่านนายอำเภอก็ยังเอ่ยปากชมไม่หยุด
ต่อให้หน้าตางดงามก็ว่าไปเถิด สิ่งที่สำคัญที่สุดคือความรู้ของเขา
ก่อนลู่สวินจะปรากฏตัว พวกเขารู้สึกว่าความรู้ที่พวกตนมีก็ไม่ต่างกันมากมายนัก ยามแข่งขันกันก็เพียงแค่สลับตำแหน่งสูงต่ำเท่านั้น
ทว่าหลังจากที่ลู่สวินโผล่มา เ้าเด็กนั่นไม่จำเป็ต้องแข่งขันอันใดแม้แต่น้อย
ยามคนอื่นเพิ่งจะเริ่มเรียนตำราซือจิง เ้าเด็กนั่นกลับท่องจำคำอธิบายนับร้อยของซือจิงได้แล้ว ทั้งยังสามารถเขียนคำอธิบายของตัวเองได้อีกหลายรูปแบบ
ยามที่ต้องเขียนบทความก็เป็เช่นนั้นในขณะที่คนอื่นยังคงพิจารณาที่มาของตำนานที่ท่านอาจารย์ตั้งคำถาม เ้าเด็กนี่กลับเริ่มลงมือเขียนแล้ว ทั้งยังเขียนเสียจนเต็มหน้ากระดาษ
ยิ่งกว่านั้นยังหาข้อผิดพลาดไม่ได้แม้แต่จุดเดียว
เ้าเด็กนี่ราวกับเห็นอะไรเพียงแค่ครั้งเดียวก็จำได้ไม่ลืมก็ไม่ปาน เหล่าบัณฑิตที่เอาตนเองไปเปรียบเทียบกับเขาต่างก็รู้สึกท้อแท้ขึ้นมา
ทั้งท่านนายอำเภอชื่นชอบเขายิ่งนัก พบเจอแต่ละครั้งก็เอาแต่ชมไม่ขาดปาก
มิคาดคิดว่าวันที่ยิ่งใหญ่อย่างวันชมหิมะ ท่านนายอำเภอกลับไม่ได้เรียกเ้าเด็กนั่นมา พลอยทำให้ทุกคนนั้นรู้สึกว่าหิมะในวันนี้นั้นช่างงดงามกว่าวันไหนๆ
ทุกคนจึงพาคุยสัพเพเหระอย่างคึกคัก
“ในเมื่อทุกคนมากันครบแล้ว พวกเราก็ออกเดินทางกันเถิด” วันนี้ท่านนายอำเภอสวมชุดยาวที่ทอจากผ้าขนสัตว์สีน้ำเงินเข้ม ทั้งยังสวมหมวกผ้าขนสัตว์หูยาวใบงามอีกใบหนึ่ง เรือนผมยาวปล่อยให้สยายลงมา ท่าทางของชายชราในวันนี้ดูผ่อนคลายกว่ายามสวมชุดขุนนางมาก
บัณฑิตคนที่ปากมากหน่อยก็อดใจไม่ไหวที่จะเอ่ยชมออกมา
“ยามปกติที่เห็นท่านนายอำเภอสวมชุดขุนนางก็คิดอยู่เสมอว่าช่างน่าเกรงขามเกินใคร ไม่คาดคิดเลยว่ายามท่านนายอำเภอสวมชุดธรรมดาก็ดูสง่างามเหนือใคร”
“ท่านนายอำเภอช่างดูสมเป็ชายชาตรีมากความสามารถ ชนรุ่นหลังอย่างเช่นผู้น้อยขอยึดท่านเป็แบบอย่าง”
“ท่านนายอำเภอช่างรูปงามนัก”
ท่านนายอำเภอเมื่อถูกชมอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้ก็เบิกบานใจไม่น้อย ใบหน้าพราวไปด้วยรอยยิ้ม แก้มอิ่มก็ยกขึ้นเพราะรอยยิ้มอยู่ตลอดเวลา
วันนี้ก่อนเขาจะออกมา อนุภรรยาของเขาก็ชมเขาอยู่พักใหญ่
นางกล่าวว่าเขาช่างดูรูปงามมีพลัง
ได้ยินเช่นนั้นเขาก็รู้สึกพึงพอใจนัก
ความจริงแล้วเขาก็ไม่ได้แตกต่างจากวันปกติ สิ่งที่เปลี่ยนไปก็มีเพียงเสื้อผ้าและหมวกเท่านั้น
ชายชรากล่าวขึ้นอย่างถ่อมตนว่า “เ้าเด็กลู่สวินนั้นช่างใส่ใจยิ่ง กล่าวว่าเหมันต์มาถึงแล้วจึงได้สั่งทำชุดนี้ให้ข้าเป็พิเศษ”
ั้แ่หมวกจรดรองเท้า รวมทั้งเสื้อตัวในจนถึงเสื้อตัวนอก เขาล้วนแต่เตรียมไว้ให้ เ้าเด็กคนนั้นนับว่าช่างใส่ใจผู้อื่นจริงๆ
ประโยคหลังจากนี้ นายอำเภอเฉินสงวนไว้ไม่ได้กล่าวออกไป
ทว่าเหล่าคนที่เพิ่งจะเอ่ยปากชมท่านนายอำเภอเมื่อครู่ใบหน้าก็พลันแดงก่ำขึ้นมา เพียงพริบตาก็รู้สึกราวกับว่าตนได้กินแมลงวันตัวใหญ่ก็ไม่ปาน การที่กล่าวชื่นชมท่านนายอำเภออยู่ตั้งนานสองนานทำให้รู้สึกราวกับว่าตนกำลังเย็บชุดแต่งงานให้อาสวินอยู่ก็ไม่ปาน
ที่แท้พวกเขาก็กำลังสรรเสริญอาสวินทางอ้อมอยู่หรือนี่
เ้าเด็กบ้านนอกคนนั้นช่างเ้าแผนการนัก ถึงขั้นใช้วิธีเช่นนี้มาเอาอกเอาใจท่านอาจารย์
(ลู่สวิน ‘ใช่ความคิดของข้าเมื่อไรกันเล่า เป็พี่ชายข้าอาลู่ต่างหากที่เตรียมไว้ให้ ข้าเพียงแค่มีหน้าที่ไปส่งให้เท่านั้น ทั้งตัวข้าเองก็เพิ่งจะได้ชุดใหม่เช่นกัน’)
โดยเฉพาะลูกชายของใต้เท้าเฉินปาซืออย่างคุณชายเฉินก็รู้สึกหดหู่เป็ที่สุด ทุกปีครอบครัวของเขาจะส่งของขวัญมาให้ท่านนายอำเภอ ของขวัญเ่าั้เมื่อเทียบกันแล้วแพงกว่าชุดนี้มากโข ทว่าใต้เท้าเฉินกลับไม่เคยมีท่าทียินดีเช่นวันนี้
ทว่าท่านนายอำเภอแม้จะนับว่าเบิกบานใจ แต่ไฉนวันนี้จึงไม่เรียกเ้าเด็กนั่นมาเล่า เมื่อคิดได้เช่นนั้นอารมณ์ในใจก็พลันสงบลง
เหล่าเด็กหนุ่มเคยชินกับการหาเหตุผลมาปลอบใจตัวเองเสมอเสียแล้ว สุดท้ายจึงมีคนเอ่ยถามขึ้นว่าท่านนายอำเภอจะพาพวกเขาไปที่ใด
ชายชราจึงตอบขึ้นพร้อมรอยยิ้มพราวเต็มหน้า “วันนี้พวกเราจะไปหมู่บ้านไป๋กู่กัน ได้ยินมาว่าประเพณีพื้นบ้านของที่นี่ยังเข้มข้นนัก อีกทั้งทิวทัศน์ก็งดงาม นอกจากนี้สถานที่แห่งนี้ยังมีเด็กอย่างลู่สวิน จึงถือโอกาสหลังหิมะหยุดตกไปชมที่นั่นสักหน่อย”
เพิ่งจะสิ้นคำของท่านนายอำเภอ จู่ปู้อู๋ก็พลันคุกเข่าลงทันใด
“ใต้เท้า ใต้เท้า ไม่ได้อย่างเด็ดขาด ถึงอย่างไรก็ไม่ได้!”
เหล่าเด็กหนุ่มคนอื่นก็พากันคุกเข่าลงเช่นกัน
คิ้วของท่านนายอำเภอพลันเลิกขึ้น เมื่อครู่ก็ท่องเที่ยวกันดีๆ อยู่ เกิดเหตุอันใดขึ้นไฉนจึงพากันคุกเข่าเช่นนี้
ก่อนหน้านี้เขาได้ยินลู่สวินเล่าเื่ทิวทัศน์ของหมู่บ้านให้ฟัง ทั้งกายทั้งใจเขาก็เอาแต่เฝ้าฝันอยากจะไปมาโดยตลอด
ด้วยครอบครัวของเขานั้นเป็คนทางใต้ ดังนั้นจึงได้สงสัยเื่ทุ่งหญ้ากว้างไกลสุดลูกหูลูกตานั่นนัก โดยเฉพาะยามที่มีหิมะปกคลุมเช่นนี้
บ้านเดิมของเขานั้นหิมะตกน้อยยิ่ง
รอให้เขาชมหิมะเสร็จก็คิดว่าจะเขียนกลอนดีๆ สักบท จากนั้นค่อยเขียนจดหมายไปเล่าให้เหล่าสหายฟังสักหน่อย เขาได้สอบถามเสมียนซูมาแล้ว เสมียนซูเองก็กล่าวแล้วว่าอำเภอิเหอในตอนนี้ทั้งสงบทั้งปลอดภัย บริเวณข้างเคียงก็ไม่มีโจรอาละวาดอีกต่อไป อีกทั้งในปีนี้ภายใต้การดูแลของเขา ที่นี่มีโรงทอผ้าขึ้นมา ทั้งยังส่งภาษีมาให้ไม่น้อย จนถึงขั้นที่เขาได้รับการตกรางวัลจากทางราชสำนัก
หากไม่มีอะไรผิดจากที่คาดการณ์ไว้ ปีนี้ยามที่เขาเข้าไปเมืองหลวงเพื่อรายงานการทำงาน เขาก็น่าจะได้เลื่อนขั้นเพิ่มอีกขั้นหนึ่ง
เขาที่มารับตำแหน่งอยู่ที่นี่แล้วทำผลงานได้ดีถึงเพียงนี้ ยามกลับเมืองหลวงย่อมจะต้องได้รับหน้าที่สำคัญอย่างแน่นอน
ดังนั้นก่อนที่เขาจะเดินทางจากไป เขาจึงได้อยากมาชมทิวทัศน์และผู้คนที่นี่นัก
“ใต้เท้า หมู่บ้านไป๋กู่อดีตเคยเป็รังโจรที่เลื่องชื่อที่สุด หากใต้เท้าเดินทางไปแล้วพบเจออันตรายเข้า ผู้น้อยย่อมไม่อาจมีชีวิตอยู่ต่อได้”
“ขอใต้เท้าโปรดตรองดูก่อน” เหล่าบัณฑิตก็พากันร้องขึ้นสมทบ
ชายชราได้แต่สะบัดแขนเสื้ออย่างไม่สบอารมณ์
ภายใต้การดูแลของเขา บ้านเมืองมีแต่จะสงบสุขปลอดภัย แล้วรังโจรจะมาจากที่ใดได้
“หากว่าจู่ปู้อู๋ไม่กล้าไป เช่นนั้นก็ให้ข้าไปกับเสมียนซูก็แล้วกัน ส่วนพวกเ้าจะไปหรือไม่ก็ตามแต่สะดวก”
ท่านนายอำเภอเฉินเป็ปัญญาชนคนหนึ่ง ทั้งยังเป็ปัญญาชนที่หัวรั้นนัก มิเช่นนั้นเขาคงจะไม่มาเป็นายอำเภอในพื้นที่ห่างไกลเช่นนี้ั้แ่แรก
เมื่อกล่าวจบเขาก็สะบัดชายชุดคลุมสีน้ำเงินของตนเดินจากไป
เหล่าเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่จึงได้แต่มองซ้ายมองขวา แน่นอนว่าพวกเขามิอาจทำตามสะดวกตนเองได้ ตามหลักการแล้วท่านนายอำเภอก็นับเป็อาจารย์ของพวกเขา เป็อาจารย์เพียงวันเดียวนับเป็บิดาจนวันตาย
พวกเขาจึงได้แต่ลุกขึ้นอย่างเก้อๆ แล้วเดินตามไป
จู่ปู้อู๋รู้นิสัยของท่านนายอำเภอั้แ่แรกแล้ว เขาเพียงแค่อยากจะทำทีว่าตนนั้นกำลังช่วยเหล่าบัณฑิตออกหน้าเพียงเท่านั้น ครู่ต่อมาจึงได้แต่ทำหน้าจนใจแล้วรีบเดินตามไป ทว่าในใจแทบจะระงับความตื่นเต้นไว้ไม่อยู่ ทุกอย่างล้วนเป็ไปตามที่เขาคาดการณ์ไว้
ท่านนายอำเภอเฉินไม่นานก็จะย้ายไปประจำที่อื่นแล้ว อำเภอิเหอแห่งนี้นับวันก็มีแต่จะเจริญขึ้น ยามที่ใต้เท้าเฉินย้ายไปแล้ว ย่อมจะต้องหานายอำเภอคนใหม่ อีกทั้งอำเภอิเหอแห่งนี้ก็นับว่าเป็อำเภอที่มีผลงานดี นายอำเภอคนใหม่ที่ย้ายมาย่อมจะไม่ใช่คนไม่เอาถ่านเช่นคนก่อนๆ เมื่อถึงยามนั้นเขาเกรงว่าคงจะไม่เหลือที่ให้เขายืนอีกต่อไป
หากท่านนายอำเภอเกิดเื่ขึ้น ว่ากันตามกฎราชสำนักแล้ว ใน่เวลาพิเศษเช่นนี้ไม่แน่ว่าอาจจะเป็เขาก็ได้ที่จะได้รับตำแหน่งต่อ เบื้องบนเขาก็จัดการเรียบร้อยแล้ว อีกทั้งยังสามารถผลักความผิดเื่ที่ท่านนายอำเภอเกิดเื่ให้พวกคนในหมู่บ้านไป๋กู่ได้อีกด้วย ตัวเขาอิจฉาตาร้อนเื่การเก็บภาษีโรงทอผ้าของหมู่บ้านไป๋กู่นานแล้ว
ขอเพียงเื่นี้สำเร็จ นั่นก็เท่ากับว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกถึงสามตัว
กำจัดท่านนายอำเภอได้ กำจัดหมู่บ้านไป๋กู่ได้ ทั้งยังได้ภาษีจากโรงทอผ้าอีก ถึงยามนั้นเสมียนซูก็เป็เพียงพยัคฆ์ไร้เขี้ยวเล็บตัวหนึ่ง คิดจะกำจัดอย่างไรก็ย่อมได้
จู่ปู้อู๋บัดนี้ในใจทั้งตื่นเต้น ทั้งกังวล ทว่าใบหน้าก็ยังพยายามรักษาท่าทีจนใจ สีหน้าดูเศร้าโศกราวกับถูกบังคับให้ออกมาชมหิมะ
บนูเาราชครูที่กำลังกินข้าวเช้าอยู่ดีๆ ก็พลันได้ยินเสียงฟันตนกระแทกกับของแข็งดังขึ้น เหมือนว่าเขาจะเคี้ยวโดนหินก้อนเล็กเข้า
คิ้วของเขาพลันขมวดเข้าหากัน
เฉินโย่วน้อยจึงได้แต่ถามขึ้นด้วยความสงสัย “ท่านอาจารย์เป็อะไรหรือเ้าคะ ฟันของท่านจะงอกใหม่หรือ”
ราชครูมองเด็กหญิงและฟันซี่น้อยเต็มปากตรงหน้าตนก็ทั้งโกรธทั้งขัน
แน่นอนว่าต้องไม่ใช่อยู่แล้ว เขาอายุปูนนี้ หากเกิดฟันหักขึ้นมาย่อมหมายความว่าไม่มีทางจะงอกกลับมาอีก...
“วันนี้ข้ารู้สึกจิตใจไม่ค่อยสงบเท่าใดนัก อาลู่ เสี่ยวอู่ พวกเ้านำคนพร้อมม้าสักจำนวนหนึ่งลงไปดูด้านล่างเถิด”
“ข้าไปด้วย ข้าไปด้วย” เฉินโย่วรีบยกมือเสนอตัว