เล่มที่ 3 บทที่ 62
ทำไมหรือ? เมื่อครู่ก่อนฮูหยินน้อยยังถูกใช้อำนาจบังคับให้เชื่อฟังอยู่เลยไม่ใช่หรือ? แต่เหตุใดเมื่อเขาเข้ามาก็แปรเปลี่ยน? ทำไมคนที่ถูกใช้อำนาจบังคับให้เชื่อฟังกลับกลายมาเป็เ้านายแล้วล่ะ?
ขณะนั้นมู่หรงฉิงยังนึกโกรธจ้าวจื่อซินและใบหูของนางก็ยังคงเจ็บอยู่ เมื่อนึกถึงงานอดิเรกพิเศษของจ้าวจื่อซินสำหรับชิงยวี่ นางก็เกิดความคิดที่น่ารังเกียจในใจ
มู่หรงฉิงเดินไปหาชิงยวี่ เชิดหน้าขึ้นด้วยท่าทางประหนึ่งว่า 'ข้าเป็เ้านายของเ้า' อย่างไรอย่างนั้น "เ้านายของเ้าเป็คนของข้า และเ้าก็เป็คนของข้าเช่นเดียวกัน จากนี้ต่อไปข้าจะเป็เ้านายของเ้าและเ้าต้องเชื่อฟังคำสั่งของข้า"
คำพูดของมู่หรงฉิงทำให้ชิงยวี่รู้สึกเหมือนมีม้ากำลังวิ่งวนอยู่ในใจ เขาอยากจะเอาศีรษะโขกกับเสาสองสามหน เพื่อดูว่าเขาได้รับาเ็มากเกินไปและเสียเืมากเกินไปจนเกิดภาพลวงตาหรือไม่?
เ้านาย! เ้านายขายแค่ข้าก็ได้ แต่ทำไมเ้านายถึงต้องขายตัวเองด้วย?
หลังจากะโในใจนับครั้งไม่ถ้วน ชิงยวี่ได้เอ่ยคำถามที่ทำให้มู่หรงฉิงเกือบจะติดคอตาย
“เ้านาย เ้านายเป็คนของฮูหยินน้อยแล้วหรือ?”
จ้าวจื่อซิน “...” คำถามของเ้าทำไมถึงน่าอึดอัดใจนัก?
มู่หรงฉิง “...” ชิงยวี่คนนี้เข้าใจผิดอะไรหรือไม่? คิดได้ดังนั้น เด็กสาวก็ก้าวเท้าไปข้างหน้าและพูดกับจ้าวจื่อซินว่า "แม้ว่าข้าจะเป็เ้านายของพวกเ้าตอนนี้ แต่เมื่อก่อนเ้ากับจ้าวจื่อซินเป็อย่างไร วันข้างหน้าก็จะเป็เช่นนั้นต่อไป ข้าจะไม่ควบคุมพวกเ้า”
ชิงยวี่ “...” ฮูหยินน้อย ฮูหยินน้อยพูดอะไรอยู่ ทำไมข้าฟังแล้วก็รู้สึกแปลกๆ มากถึงเพียงนี้?
ปี้เอ๋อร์ “...” มีใครจะสามารถบอกข้าได้หรือไม่ว่า แท้ที่จริงแล้วสถานการณ์ในปัจจุบันเป็อย่างไรกันแน่? วันนี้เกิดเื่ขึ้นมามากเกินไป สมองของข้าไม่สามารถประมวลผลอยู่หลายส่วน
“อืม จากนี้ไปก็เชื่อฟังเ้านาย” ด้วยมุมปากที่โค้งสวยงาม จ้าวจื่อซินทะลึ่งตัวยืนขึ้น "ตอนนี้ได้เวลาสอบสวนคนแล้วไม่ใช่หรือ? มาดูกันว่าเ้านายจะสอบสวนคนอย่างไร พวกเราควรมาเรียนรู้กันให้มากขึ้นดีหรือไม่?”
หลังจากพูดแล้ว เขาก็ยกมือขึ้นและตบใบหน้าอันหล่อเหลาของชิงยวี่เบาๆ "น่าสนุกมากใช่หรือไม่? ข้ายังไม่เคยได้ค้นพบจริงๆ ว่าในโลกนี้มีคนสนุกน่าสนใจเช่นนี้อยู่ด้วย เฮอะ!"
มู่หรงฉิง “...” นี่ไม่ใช่จ้าวจื่อซิน นี่ไม่ใช่จ้าวจื่อซิน
ชิงยวี่ “...” เ้านาย เช่นนั้นน่าสนุกหรือ? มันไม่สนุกเลยกระมัง? เ้านาย้าหาเื่เดือดร้อนอะไรนักหนา? เ้านาย ทำไมถึงทำให้ตัวเองต้องต่ำต้อย ท่านเคยคิดถึงความรู้สึกของฮูหยินและเ้าสำนักบ้างหรือไม่? เ้านายเคยคิดถึงความรู้สึกของคุณชายใหญ่บ้างหรือไม่? เ้านายเคยคิดถึงความรู้สึกของคุณหนูรองหรือไม่?
ในหัวใจของชิงยวี่เหมือนมีฝูงม้าจำนวนมหาศาลวิ่งโจนทะยานไปข้างหน้าอย่างไม่สิ้นสุด อย่างไรก็ตาม จ้าวจื่อซินกลับกุมมือทั้งสองข้างไว้ด้านหลัง ราวกับกำลังเดินอยู่ในสวนดอกไม้อย่างสบายๆ ขณะเดินนำมู่หรงฉิงผู้เป็เ้านายและบ่าวทั้งสองคนไปที่ห้องศิลา
เมื่อเข้าไปในห้องศิลาและจุดเทียน จึงได้เห็นว่าภายในห้องมีแต่ความว่างเปล่า ไม่มีร่างเงาของคนแม้แต่คนเดียว
มองไปที่จ้าวจื่อซินอย่างงุนงง เป็ไปได้หรือไม่เขากำลังจะเล่นกลอะไรอีก?
“ผู้ชายคนนั้นอยู่ในห้องลับด้านข้าง เ้าจะสอบสวนอย่างไร? เ้า้าเครื่องมืออะไรบ้าง?”
ใบหน้าของจ้าวจื่อซินไม่ได้เ็าเหมือนในอดีต แต่เขามีความขี้เล่นที่ไม่สอดคล้องกับความเ็าซึ่งแผ่ซ่านจากร่างกายของเขา
มู่หรงฉิงปลงอนิจจัง ดูเหมือนว่านางจะประเมินจ้าวจื่อซินต่ำไป บางทีความเฉยเมยของจ้าวจื่อซิน อาจเป็แค่ภาพลวงตา แล้วตัวตนที่แท้จริงของจ้าวจื่อซินเป็คนเช่นไรกัน?
ส่ายศีรษะไปมา นางทิ้งความคิดเลื่อนเปื้อนเ่าั้ออกไป ก่อนหมุนตัวหันกลับไปพูดกับปี้เอ๋อร์
จ้าวจื่อซินขมวดคิ้ว ครั้นเห็นปี้เอ๋อร์ขมวดคิ้วเป็บางครั้ง บางคราวนางก็ดูร่าเริง บางหนนางกลับดูเคร่งขรึม ครึ่งชั่วยามต่อมาเ้านายและบ่าวทั้งสองคนถึงสนทนาหารือกันเสร็จสิ้น
“เรียบร้อยแล้วหรือ?” จ้าวจื่อซินหาวและกวักมือเรียกหลังเห็นชิงยวี่เข้ามาพร้อมกับจานผลไม้
ชิงยวี่สาวเท้าไปข้างหน้าพร้อมกับจานผลไม้ทันที มู่หรงฉิงลืมตาขึ้นแต่เห็นว่าชิงยวี่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว คิดว่าอาการาเ็ของเขาคงได้รับการจัดการเรียบร้อยแล้วเช่นกัน ครั้นเห็นชิงยวี่ส่งสาลี่ที่ปอกเปลือกแล้วไปยังมือของจ้าวจื่อซินด้วยความอ่อนโยนและนุ่มนวล นางก็รู้สึกถึงความชั่วร้ายเล็กน้อยในใจ
ความคิดชั่วร้ายปรากฏวับขึ้นมา มู่หรงฉิงถึงกับต้องรีบเบี่ยงสายตาไปทางอื่น และตั้งจิตไปถึงพระอมิตาภพุทธเ้า
ในปัจจุบัน องค์ชายรัชทายาทก็หมกมุ่นและคลั่งไคล้อยู่กับนักแสดงคนหนึ่ง ซึ่งทุกคนรับรู้โดยทั่วกันว่า ท่านนั้นเป็คนรักร่วมเพศที่เดิมเคยซุกซ่อนปิดบังเอาไว้ แต่เวลานี้ได้เปิดเผยสู่สาธารณะแล้ว ถึงแม้ว่าผู้คนในแผ่นดินยังคงไม่อาจยอมรับพฤติกรรมรักร่วมเพศได้อย่างสมบูรณ์นัก ถึงกระนั้นผู้คนก็ไม่ถึงกับต่อต้านอีกต่อไป
ถึงอย่างไร นางก็ยังเป็ผู้หญิงที่มีการศึกษาและมีความรู้ นางจะเป็เช่นสามัญชนธรรมดาทั่วไปที่หัวโบราณคร่ำครึเกินไปไม่ได้
มู่หรงฉิงลดศีรษะและตั้งจิตไปถึงพระอมิตาภพุทธเ้า อีกด้านจ้าวจื่อซินได้กินสาลี่เข้าไปชิ้นหนึ่งแล้ว "เสร็จเรียบร้อยแล้วใช่หรือไม่? ถ้าเ้าชักช้าเช่นนี้ต่อไป ท้องฟ้าจะสว่างแล้ว"
“เสร็จเรียบร้อยแล้ว” ตอบพลางหันกลับไปมองปี้เอ๋อร์ สาวใช้จึงพยักหน้าเพื่อบอกเป็นัยว่าสามารถเริ่มได้แล้ว
เห็นการปรากฏตัวของเ้านายและบ่าวคู่นี้ จ้าวจื่อซินย่อมเดาได้หลายส่วนแล้วว่าพวกนาง้าทำอะไร เขาเองก็คร้านเกินกว่าจะเสียเวลากับพวกนาง จึงเลื่อนสายตามองไปทางชิงยวี่ซึ่งดับเทียนอย่างรู้งาน จากนั้นไม่รู้ว่าใช้กลไกใดเพราะได้ยินเพียงเสียงเบาๆ เท่านั้น และประตูศิลาทางด้านขวาก็เปิดออก ในห้องลับที่มืดสลัวปรากฏแค่แสงส่องผ่านเข้ามา
พยักหน้าเพื่อบอกเป็สัญญาณว่าปี้เอ๋อร์สามารถเริ่มได้แล้ว สายตาของปี้เอ๋อร์ตอบสนองอย่างชัดเจน ทันใดนั้น นางจึงเริ่มพูด
“เ้าคนนั้นตื่นหรือยัง?” เสียงนั้นคล้ายเสียงของแม่รองเฉิน
“เรียนเ้านาย บ่าววางยาหอมจำนวนมาก และจะต้องรอเวลาอีกสักครึ่งชั่วยามถึงจะตื่น” เสียงของหลิงเอ๋อร์ฟังดูปราศจากอารมณ์ "เ้านายจะกำจัดซูมู่หานคนนี้หรือ?"
“จะทำอะไรได้? เ้าคิดว่าหนิงเชียนหรงคนนั้นจะใจดีปล่อยให้เขาเพลิดเพลินไปกับหญิงงามจริงๆ หรือ? ก็แค่้าใช้ประโยชน์จากนางในการทำลายชื่อเสียงของจวนเฉินก็เท่านั้น” เสียงของแม่รองเฉินฟังดูเกียจคร้านเป็อย่างมากราวกับเอ่ยตอบระหว่างครึ่งหลับครึ่งตื่น
“เ้านายฉลาดมากที่ขัดขวางแผนการของอนุหนิง เพียงแต่การขังซูมู่หานไว้ที่นี่ น่าจะไม่มีปัญหาอะไร แต่เ้านายจะปล่อยเขาออกไปหรือไม่?”
“ยวี้เอ๋อร์คนนั้นหลอกใช้ซูมู่หาน เดิมก็คิดจะส่งซูมู่หานมาตาย ลองคิดดูสิ ด้วยอารมณ์คลุ้มคลั่งของเฉินเทียนหยู ถ้าเขาพบว่ามู่หรงฉิงเป็ชู้กับใครบางคน เขาจะไม่ฉีกเนื้อหนังของอีกฝ่ายโดยตรงหรือ ยวี้เอ๋อร์หลอกล่อซูมู่หานเข้ามาในจวน จากนั้นก็ไปฟ้องฮูหยินผู้เฒ่า นี่เป็การฆ่าคนทั้งสองโดยแท้ แต่โชคดีที่คนโง่งมคนนี้คิดถึงแต่หญิงงามทั้งวัน เขาไม่้าแม้กระทั่งชีวิตของตัวเองแล้ว”
เมื่อพูดถึงเื่นี้ 'แม่รองเฉิน' ได้หยุดจังหวะการพูดชั่วคราว นางหาวนอนก่อนจะพูดต่อ "ซูมู่หานคนนี้ แน่นอนว่าจะต้องเก็บไว้ หนิงเชียนหรงทำทุกอย่างเพื่อให้มู่หรงฉิงได้แต่งงานเข้ามาในจวนเฉิน มันก็ไม่มีอะไรมากไปกว่า้าใช้เฉินเทียนหยูให้ถ่ายโอนทรัพย์สินในจวนเฉินมอบให้กับนาง นางเอาของจากตระกูลหนิงมาแล้วไม่น้อย คิดไม่ถึงว่านางจะมาแย่งของของข้าไปอีก”
“เ้านาย้าใช้ซูมู่หานแว้งกัดอนุหนิงหรือ?”
“ความทะเยอทะยานของหนิงเชียนหรงสูงมาก ข้าก็คร้านเกินกว่าจะไปสนใจนาง แค่หาโอกาสปล่อยซูมู่หานให้เขากลับไปแว้งกัดนาง แล้วดูพวกสุนัขกัดกันเอง ส่วนพวกเรานั่งดูการแสดงที่ดีก็ได้แล้ว”
“มีข่าวคราวจากคุณชายใหญ่ว่า เมื่อใดที่ปลิดชีพของมู่หรงซิวได้แล้ว จะค่อยๆ ถอนการสนับสนุนอนุหนิง คุณชายใหญ่หวังว่าเ้านายน้อยจะสามารถดำเนินการได้โดยเร็วที่สุด และอย่าปล่อยให้มู่หรงยวี่แย่งโอกาสไปได้เสียก่อน"
“มู่หรงยวี่? คนเช่นนางยังคิดอยากจะเป็ชายาขององค์ชายรัชทายาทหรือ? ช่างปัญญาอ่อนเพ้อฝันแล้วจริงๆ” หลังจากเย้ยหยัน แม่รองเฉินก็หัวเราะอย่างเ็า “เ้าตอบจดหมายคุณชายใหญ่ โดยบอกว่ามู่หรงซิวจะต้องตายเท่านั้น และข้าจะพยายามให้มู่หรงฉิงได้พบกับอาจารย์ขององค์ชายรัชทายาทให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็ไปได้"
พูดจบ ‘แม่รองเฉิน’ ก็หาวนอนหลายหน "เอาล่ะ ข้าคร้านเกินกว่าจะเห็นหน้าเ้าซูมู่หานคนนั้นแล้ว เ้าจงจัดแจงให้ดี"
“บ่าวรับทราบ”
ฝ่ายซูมู่หานรู้สึกว่าสภาพของตนเองแย่มาก เขารู้สึกวิงเวียนศีรษะและทั้งร่างกายก็เ็ปมากสุดจะอธิบายเป็คำพูดได้
เขาจำได้อย่างชัดเจนว่า เขาเข้าไปในห้องของมู่หรงฉิงและเห็นมู่หรงฉิงนอนอยู่บนเก้าอี้ยาวอย่างชัดเจน เขายังได้กลิ่นหอมบนร่างกายของนางอีกด้วย
ทว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น? เขาจำมันไม่ได้เลย
เขาพยายามเปิดเปลือกตาอันหนักอึ้ง ก่อนพบว่าตนเองกำลังนอนอยู่บนพื้น เขาพยายามจะลุกขึ้นแต่กลับพบว่าแขนขาปราศจากเรี่ยวแรง แม้กระทั่งการขยับนิ้วยังแทบจะเป็ความคิดเพ้อเจ้อลมๆ แล้งๆ
ซูมู่หานมองดูสภาพแวดล้อมภายใต้แสงสลัวจึงพบว่าตัวเองอยู่ในห้องศิลาซึ่งภายในห้องมีแต่ความว่างเปล่า ไม่มีอะไรเลย กระทั่งโต๊ะหรือเก้าอี้ก็ไม่มีเช่นกัน
บัดซบ! คนรนหาความตายคนไหนลอบทำร้ายข้า?
ในใจนั้นเปี่ยมไปด้วยความขุ่นเคือง เปล่งเสียงก่นด่าออกมา ทว่าจู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงถอนหายใจ จากนั้นจึงรู้สึกว่ามีบางอย่างคืบคลานขึ้นมาบนศีรษะของเขาอย่างช้าๆ และค่อยๆ คลานไปตามร่างกายของเขา
ในจังหวะที่ซูมู่หานเห็นสิ่งที่คลานบนตัวของเขา ดวงตาของเขาถึงกับเบิกกว้างด้วยความตะลึงพรึงเพริดส่งผลให้เขาหายใจไม่ออกทันควัน
งูพิษ!
สถานที่แห่งนี้เป็สถานที่ไหนกัน? ทำไมถึงมีงูพิษ?
บัดซบ! ใครกันที่ลอบทำร้ายข้า?
ประโยคดังกล่าวเขาไม่กล้าที่จะเปล่งเสียงอีกต่อไป ข้าทำได้แค่จ้องมองงูพิษด้วยดวงตาเบิกกว้างและสยดสยอง
ในชั่วเวลาที่ซูมู่หานรู้สึกว่าดวงตาของเขาเกือบจะเป็ตะคริว ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงสนทนาระหว่างคนทั้งสองคน มันเป็เสียงที่เบามากและดังแว่วมาเป็ระยะๆ แม้ว่าเขาจะได้ยินอย่างคลุมเครือ แต่นั่นเพียงพอที่จะทำให้ซูมู่หานเชื่อมโยงคำกับวลีเ่าั้เข้าด้วยกัน และทำให้ซูมู่หานรู้แล้วว่าใครลอบทำร้ายเขา
หนิงเชียนหรง ยวี้เอ๋อร์ พวกเ้าคนต่ำช้า พวกเ้าบังอาจหลอกใช้ข้า และยังมีแม่รองเฉินผู้นั้น พวกเ้ามันคนชั่วเหมือนๆ กัน รอให้ข้าได้ออกไปข้างนอก คอยดูเถอะว่าข้าจะจัดการกับพวกเ้าอย่างไร
ซูมู่หานยังคงสบถด่าอยู่ในใจ แต่แล้วเขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังแทรกเข้ามา เขารีบหลับตาลงโดยแสร้งทำเป็ว่ายังไม่ตื่น ในขณะที่เขากำลังสงสัยว่าหลิงเอ๋อร์คนนี้จะจัดการกับเขาอย่างไร จู่ๆ เขาก็ปวดศีรษะและหมดสติไปอีกหน
ชิงยวี่แบกซูมู่หานไว้บนบ่าของเขาด้วยความว่องไว ก่อนมองไปทางจ้าวจื่อซินอย่างสงสัย “เ้านาย ยานั้นอาจปลิดชีพคนได้เชียวนะ”
จ้าวจื่อซินไม่ได้ตอบคำถามของชิงยวี่แต่อย่างใด เขาแค่หันไปมองมู่หรงฉิงผู้ซึ่งกำลังจ้องมองไปที่แสงเทียนอย่างเหม่อลอย "มู่หรงฉิง ยาที่เ้าใช้กับผู้ชายชั่วคนนี้ เ้ามั่นใจหรือว่าเ้าไม่ได้เตรียมไว้ให้เฉินเทียนหยู?"
จ้าวจื่อซินพูดเช่นนั้นเพราะ้าสัพยอกมู่หรงฉิง ในยามบ่ายมู่หรงฉิงขอให้เขาเตรียมยาไว้ให้ ซึ่งสร้างความสงสัยแก่เขาอยู่หลายส่วน เป็ไปได้หรือไม่ว่า มู่หรงฉิงแต่งงานแล้วแต่ก็ยังคงเป็สาวพรหมจารี นางเริ่มรีบร้อนในเื่นั้นแล้ว? คิดไม่ถึงว่านางจะขอให้เขาเตรียมยาเช่นนั้นจริงๆ
โดยไม่นึกไม่ฝันเลยว่ายาจะถูกใช้กับซูมู่หาน
“ในเวลานี้ตึกชุนเฟิงนั่นกำลังครึกครื้นและมีชีวิตชีวา เป็การเหมาะสมกว่าที่จะส่งเขาไปที่นั่น” มู่หรงฉิงเพิกเฉยต่อการสัพยอกของจ้าวจื่อซิน นางลุกขึ้นและเดินออกไปด้านนอกห้อง
ครั้นเห็นมู่หรงฉิงออกจากห้อง ปี้เอ๋อร์ก็เดินตามไปด้วย ชิงยวี่มองตามการเคลื่อนไหวมู่หรงฉิงก่อนจะมองไปทางจ้าวจื่อซิน "เ้านาย คนคนนี้จะตายหรือจะมีชีวิตต่อไป?"
“ปริมาณยาที่ใส่ไม่น้อยเลยแต่คงไม่ถึงตาย ทว่าหลังจากที่ฤทธิ์ยาคลายลง เกรงว่าเขาคงรู้สึกประมาณตายยังดีเสียกว่ามีชีวิตอยู่” ถอนหายใจก่อนจะหยิบดาบ แล้วสาวเท้าเดินออกจากห้องศิลา
ชิงยวี่หมดคำพูด สายตายังมองจ้าวจื่อซินและเขาก็ทำได้แค่เดินตามออกไปด้วย
ปริมาณยานี้ใส่ไปมากจริงๆ แม้ว่าซูมู่หานจะไม่เสียชีวิต แต่เนื่องจากใช้เรี่ยวแรงในค่ำคืนมากเกินไป เกรงว่า หลังจากตื่นขึ้นมาในวันพรุ่งนี้ เขาคงจะทำเื่นั้นได้ยากแล้ว
ผู้ชายคนนี้้าทำอะไรไม่ดีต่อฮูหยินน้อย ฮูหยินน้อยจึงปล่อยให้เขาสนุกกับมันให้เต็มที่ ให้ผู้ชายคนนี้มีชีวิตอย่างมีความสุขก่อน แต่เป็ความสุขที่กระโจนไปสู่ความตาย หลังจากค่ำคืนแห่งความสุขจบลง เขาคงทำได้แค่มองดูคนอื่นมีความสุขไปตลอดชีวิต
ฮูหยินน้อยดูเป็คนอ่อนแอและบอบบาง แต่ไม่นึกเลยว่าวิธีการทรมานคนของนางจะเลวร้ายได้ถึงเพียงนี้ เขาคิดในใจว่า เขาต้องไม่ขัดใจและต้องไม่มีเื่บาดหมางกับฮูหยินน้อย เพราะถ้าเกิดทำให้ฮูหยินน้อยรำคาญ บางทีนางอาจจะคิดลูกเล่นทรมานคน เป็การทรมานที่ตายยังดีเสียกว่าการมีชีวิตอยู่