แม้หนีจวิ้นหว่านจะถูกครอบงำไปด้วยความริษยา จึงปรารถนาที่จะเห็นหนีเจียเอ๋อร์ตกต่ำ แต่นางก็ไม่เคยคิดที่จะสังหารน้องสาวต่างมารดา
ดังนั้น เมื่อเห็นว่าการที่ตนปล่อยให้หนีเจียเอ๋อร์หลบหนี กลับทำให้อีกฝ่ายถูกสวีซื่อจับตัวไปขายให้กับหอโคมเขียว ในฐานะพี่น้องที่มีสายเืเดียวกัน หนีจวิ้นหว่านจึงไม่สบายใจเป็อย่างยิ่ง
หลังขบคิดจนว้าวุ่นมาหนึ่งชั่วยาม หญิงสาวจึงตัดสินใจที่จะเดินทางไปยังจวนสกุลโจว
ทันทีที่เห็นโจวชิงหวา ดวงตาของหนีจวิ้นหว่านก็เบิกกว้างด้วยความใ ด้วยชายหนุ่มดูผ่ายผอมลงไปมาก เสื้อผ้าของเขาเต็มไปด้วยรอยยับ เหมือนมิได้ผลัดเปลี่ยนมานานหลายวัน กระทั่งผ้าผูกผมสีขาวที่มัดเอาไว้ ก็ยังยุ่งเหยิง
ดวงตาของโจวชิงหวาดูมืดมน จิตสังหารอันแรงกล้าพุ่งปะทุ...
นี่หรือคือบุรุษรูปงาม ที่ตนเคยรู้จัก?
หนีจวิ้นหว่านผงะโดยไม่รู้ตัว นางกลืนน้ำลาย ก่อนเอ่ยปาก “โจวชิงหวา ข้ารู้แล้ว ว่าน้องสาวอยู่ที่ไหน...”
ยังไม่ทันพูดจบ ชายหนุ่มก็พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว มือใหญ่กำแขนของนางแน่น “ที่ไหนหรือ?”
หนีจวิ้นหว่านน้ำตาคลอเบ้า พยายามบิดแขนหลบด้วยความเ็ป “เจ็บนะ... ใจเย็นๆ แล้วปล่อยข้าก่อน”
โจวชิงหวาปล่อยมือ หรี่ตามมองนางด้วยสายตาดูแคลน
หญิงสาวถอยหลังกรูด พลางลูบแขนที่ถูกบีบจนเจ็บ แล้วจ้องเขม็ง “รู้อย่างนี้ ไม่มาบอกเสียก็ดี ป่าเถื่อนนัก!”
ชายหนุ่มกำหมัดแน่นทั้งสองข้าง พยายามระงับความรู้สึกอยากต่อยตีใครสักคน แล้วพูดอย่างข่มกลั้น “ขออภัยคุณหนูใหญ่ ที่ชิงหวาพลั้งมือ”
เมื่อหนีจวิ้นหว่านเห็นว่าเขาขอโทษแล้ว ก็ไม่คิดถือสาหาความอีก “นางอยู่ที่หอร้อยบุปผา ในเมืองเหยียน”
หอร้อยบุปผา?
สำหรับพ่อค้า สถานที่อโคจรเหล่านี้ล้วนเป็แหล่งชุมนุมชั้นดี ที่พวกเขามักจะนัดคู่ค้าไปพบปะเจรจากันอยู่เสมอ ดังนั้นโจวชิงหวาย่อมตระหนักดี ว่าหอร้อยบุปผาเป็สถานที่เช่นไร
ชายหนุ่มกัดฟันแน่น กระทืบเท้าระบายโทสะที่ไม่อาจควบคุม ดวงตาสีเข้มดุดันราวกับพยัคฆ์
เขาก้าวไปข้างหน้า หนีจวิ้นหว่านหวาดกลัวจนทรุดตัวลงกับพื้น ยกมือขึ้นกุมศีรษะ ด้วยเกรงว่าจะถูกทุบตี แต่เมื่อเงยขึ้น ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าม้าวิ่งห่างออกไป
หญิงสาวมองตามหลังบุรุษในชุดคลุม ผู้ควบม้าเร็วประหนึ่งพายุ จนเส้นผมสีดำสะบัดพลิ้ว ก่อนจะหายไปในพริบตา
ในยามนี้ หนีจวิ้นหว่านยากที่ยอมรับ ว่าตนนึกอิจฉาหนีเจียเอ๋อร์ยิ่งนัก...
หากบุรุษที่นางรักอย่างท่านพี่หราน ทุ่มเทใจให้นางสักครึ่งหนึ่งของความรู้สึกที่โจวชิงหวามีต่อหนีเจียเอ๋อร์ ต่อให้ต้องตายนางก็ไม่คิดจะเสียใจ
...
ห้าวันต่อมา ณ เมืองเหยียน
ไม่นานมานี้ หอร้อยบุปผาเพิ่งจะได้รับความนิยม ทั้งยังสามารถสร้างรายได้อย่างมั่งคั่ง ด้วยการประมูลโฉมงามประจำหอในสามอันดับแรก
และคืนนี้ ก็จะมีการจัดงานที่ยิ่งใหญ่กว่าทุกครั้งที่ผ่านมา นั่นก็คือ การประมูลราตรีแรกของหนีเสี่ยวเสี่ยว ผู้เป็บุปผางามอันดับหนึ่งในใต้หล้า
เสน่ห์ของนางเป็ที่เลื่องลือไปทั่วเมืองเหยียน ดังนั้น พระอาทิตย์ยังไม่ทันตกดิน ทางเดินหน้าหอร้อยบุปผาก็มีฝูงชนคลาคล่ำไปหมด ทุกคนล้วนปรารถนาที่จะได้ยลโฉมนางคณิกา ผู้งดงามเป็อันดับหนึ่ง
บนชั้นสอง ภายในห้องพักของหนีเจียเอ๋อร์ เพราะนางถูกแส้ฟาดจนาเ็ ร่างกายอ่อนแอมาก นางจึงปล่อยให้เหล่าสาวใช้ที่พี่ฮวาส่งมา ช่วยแต่งหน้าและผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าให้โดยไม่ขัดขืน
โหม่ง...!
เสียงฆ้องดังก้องไปทั่วหอร้อยบุปผา ผู้คนพากันสงบคำ และหันไปมองร่างอันอ้วนท้วนของพี่ฮวา ซึ่งยืนอยู่กลางเวทีด้วยรอยยิ้มต้อนรับแขก ก่อนจะประกาศเปิดงานประมูลอย่างเป็ทางการ
เหล่าบุรุษทั้งหลาย ต่างส่งเสียงโห่ร้องด้วยความตื่นเต้น
“พี่ฮวา รีบพาสาวงามมาให้เราดูก่อน ว่านางคู่ควรแก่ตำแหน่งอันดับหนึ่งนี้หรือไม่!”
“ใช่แล้ว! จะงดงามที่สุดในใต้หล้าจริงหรือไม่ เดี๋ยวพวกเราจะตัดสินเอง”
ดวงตาของพี่ฮวาหรี่ลง ตามรอยยิ้มที่กว้างขึ้น มือทั้งสองของนางโบกเบาๆ เป็เชิงส่งสัญญาณ ให้ทุกคนที่กำลังเืลมพลุ่งพล่านในตอนนี้ อยู่ในความสงบ จากนั้นจึงกล่าวต่อ
“เชิญหนีเสี่ยวเสี่ยวมาขึ้นเวที เพื่อให้นายท่านทั้งหลายได้ประจักษ์แก่สายตา ว่าความงามของนางคู่ควรกับตำแหน่งอันดับหนึ่งหรือไม่...”
เสียงของพี่ฮวาดังก้อง
บานประตูที่อยู่ตรงหน้าหนีเจียเอ๋อร์เปิดออก บ่าวรับใช้ทั้งสองยกเสลี่ยงขึ้น แล้วค่อยๆ แบกไปยังเวที
เหล่าชายหนุ่มที่ชุมนุมกันอย่างแน่นขนัดในห้องโถงชั้นล่าง ต่างแสดงความประหลาดใจ และเกิดกิเลสขึ้นมา เมื่อได้เห็นใบหน้าของสตรีที่อยู่หลังม่าน แต่ละคนปากอ้าตาค้าง จนไม่อาจรักษากิริยาของตนได้
พู่ปีกผีเสื้อซึ่งห้อยระโยงระยางในแนวทแยง กวัดแกว่งกระทบกันเป็เสียงไพเราะเสนาะหู บนหน้าผาก ที่กึ่งกลางหว่างคิ้วซึ่งโค้งดั่งขุนเขา แต่งแต้มไว้ด้วยฮวาเตี้ยน[1]รูปดอกไม้สีแดง ดวงเนตรเศร้าหมองซึ่งหลุบต่ำ ถูกวาดด้วยหมึกดำตวัดยกหางตา ชาดสีแดงเข้มทาทาบอยู่บนริมฝีปากบาง ขับผิวให้ดูงดงามจนหาที่เปรียบมิได้
รูปโฉมของนาง ทำให้พวกเขาถึงกับใจสั่นหวั่นไหว
ถัดลงมาเป็ลำคอเรียวดุจหงส์ และเนินอกที่ทำให้เหล่าบุรุษต้องลอบกลืนน้ำลายลงคอด้วยความกระหาย เสื้อคลุมลายดอกโบตั๋นสีม่วงและกุหลาบแดง ขับเน้นสีผิวอันนุ่มนวล แลดูเปราะบางน่าทะนุถนอม ทั้งยังชวนให้กลั่นแกล้งรังแกไปพร้อมกัน
ไม่เพียงแขกบุรุษทั้งหลายที่ต่างพากันจับจ้องอย่างโง่งม แม้แต่บ่าวรับใช้ชายหญิงก็ยังไม่อาจละสายตาได้
พี่ฮวากวาดมองไปรอบๆ เมื่อพบว่าบรรดาชายหนุ่มกำลังคลี่ยิ้มดูเลื่อนลอย จึงกระซิบกับบ่าวรับใช้ที่อยู่ข้างๆ “สายตาของข้าไม่เคยผิดพลาด หนีเสี่ยวเสี่ยวแต่งตัวเช่นนี้ เหมือนเปลี่ยนไปเป็คนละคน!”
กุ้ยกงพยักหน้า และยิ้มบางๆ “ใช่! งดงามยิ่งกว่าเหยียนจือเสียอีก”
พี่ฮวาเดินไปกลางลานกว้างบนเวที ร่างอวบอ้วนของนาง พลันบดบังหนีเจียเอ๋อร์เอาไว้จนมิด “ข้าใคร่อยากจะเรียนถามพวกท่าน ว่าสาวน้อยของเรา คู่ควรกับตำแหน่งโฉมงามอันดับหนึ่งหรือไม่?”
ชายชราคนหนึ่ง จับจ้องนางด้วยสีหน้าเ้าเล่ห์ พลางตอบ “คู่ควรแล้ว!”
ชายหนุ่มผู้สง่างามสามคน ต่างเอ่ยว่า “สตรีผู้มีความงดงามเป็อันดับหนึ่ง จะเป็ใครไปได้ หากมิใช่เสี่ยวเสี่ยว?”
ชายผู้หนึ่ง ซึ่งถูกบดบังเสียจนแทบมองไม่เห็นหน้าค่าตา โพล่งขึ้นมาว่า “เหมาะสมที่จะเป็สาวงามอันดับหนึ่งแล้ว ช่างงดงาม... งดงามยิ่งนัก! พี่ฮวา… ข้า้านาง!”
ส่วนนายท่านหลี่ซึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะพิเศษ ก็กล่าวว่า “เด็กคนนี้ต้องเป็ของข้า”
นายท่านฉางที่นั่งอยู่ข้างๆ จึงพูดขึ้นบ้าง “ผู้ใดยอมจ่ายมากที่สุด ย่อมได้นาง ใครจะเป็ผู้ได้นางไป ก็ขึ้นอยู่กับว่ากระเป๋าหนักแค่ไหน”
ผู้คนที่อยู่รายรอบเวที ต่างตะเบ็งเสียงเซ็งแซ่อย่างกระตือรือร้น แม้แต่คนที่มิได้เข้าร่วมประมูล ก็ยังช่วยกันส่งเสียงสนับสนุนอย่างเต็มที่
หนีเจียเอ๋อร์ที่กำลังอ่อนแรง มองกลุ่มชายฉกรรจ์ตรงหน้า ที่ไม่ต่างอันใดกับฝูงหมาป่าที่จ้องจะกินเนื้อกวาง สายตาที่คนเ่าั้มองมา ดั่งปรารถนาจะจับนางกลืนลงท้อง หญิงสาวทั้งเกลียดทั้งกลัว จนเหงื่อซึมไปทั่วแผ่นหลัง
เหยียนจือที่อยู่ไม่ไกล เหลือบมองหนีเจียเอ๋อร์ แล้วนึกถึงตัวเองในตอนนั้น ดวงตาของนางจึงหม่นหมองด้วยความเศร้าโศก
เกิดเป็สตรี มีแต่เื่รันทด!
การประมูลเริ่มขึ้นอย่างเป็ทางการแล้ว...
ฮวาะโราคาเริ่มต้นที่ห้าร้อยตำลึง จากนั้น ราคาประมูลก็ถีบตัวสูงขึ้นเป็ห้าพันตำลึงในชั่วพริบตา
----------------------------------------------
[1] ฮวาเตี้ยน (花钿) คือ การแต้มสี วาดรูป ติดกลีบดอกไม้หรือวัสดุอื่นๆ ประดับบนหน้าผาก ตรงกึ่งกลางหว่างคิ้ว เป็หนึ่งในแฟชั่นการแต่งหน้าของสาวๆ ในยุคราชวงศ์ถัง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้