หลินฟู่อินรู้ว่าเถ้าแก่หลิวพูดถึงเหตุการณ์นั้นก็ไม่ได้ใส่ใจ แค่หัวเราะและกล่าวว่า “ไม่ต้องทุบตีเขาก็ได้เ้าค่ะ ข้าเพียงขู่ไปว่าหากครั้งหน้าข้ามีความคิดดีๆ ที่ทำเงินได้อีกข้าจะไม่ร่วมมือกับเขาแล้วเท่านั้นเอง”
คำกล่าวนี้จริงๆ กล่าวออกมาขู่เถ้าแก่หลิว แน่นอนว่าเ้าตัวก็เข้าใจดี จึงได้รีบพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ฟู่อิน พวกเราก็รู้จักกันมานานแล้ว ตัวข้าไม่ได้ตระหนี่ปานนั้น อีกหน่อยหากเ้าเด็กหลิวฉินนั่นทำตัวดื้อดึงกับเ้า มาบอกลุงก็พอ ลุงจะสั่งสอนเขา ช่วยเ้าเอาคืนเองดีหรือไม่?”
หลินฟู่อินยกมือขึ้นปัดผมไปทัดหูแล้วยิ้มเล็กน้อย
เถ้าแก่หลิวเห็นหลินฟู่อินไม่ได้เอ่ยวาจาใด รอยยิ้มบนใบหน้าเขาจึงกว้างขึ้นก่อนจะก้มหัวให้เด็กสาว “เื่การค้าขายน่ะ ลุงรู้ว่าฟู่อินมีความสามารถ หลิวฉินบ้านลุงต่อให้ขี่ม้าก็ยังตามเ้าไม่ทัน ลุงจึงหวังว่าเ้าจะช่วยส่งเสริมเขาสักหน่อย บุญคุณนี้ลุงจะจดจำไว้”
ด้วยสายตาและความสามารถที่เถ้าแก่หลิวบ่มเพาะจากการค้าขายมานับสิบปี หากไม่ใช่ชื่นชมหลินฟู่อินจริงๆ เขาย่อมไม่ยอมลดตัวเองลงต่ำเพียงนี้
หลินฟู่อินรู้แก่ใจ จึงได้มั่นใจว่าเถ้าแก่หลิวไม่มีทางยอมแพ้เื่ให้หลิวฉินติดตามนางทำการค้า
แต่นางก็ไม่อาจเป็คนดีตลอดไปไม่ใช่หรือ?
นางยอมช่วยเถ้าแก่หลิวกับหลิวฉิน แต่อย่างไรก็้าการตอบแทนจากทั้งสองคนด้วย
“ท่านลุงหลิว วางใจเถิด ข้าเพียงหยอกพี่หลิวฉินเล่นเท่านั้น พี่หลิวฉินเป็คนมีความสามารถ ถ้าหากมีความคิดดีๆ ที่ทำเงินได้ ข้าย่อมต้องบอกเขาเป็คนแรกเ้าค่ะ” หลินฟู่อินยิ้ม ประคองถ้วยชาขึ้นดื่ม
เมื่อเขาได้ยินคำพูดของหลินฟู่อิน หัวคิ้วของเถ้าแก่หลิวก็ย่นเข้าเล็กน้อย
คิดถึงหลิวฉินบ้านเขาก่อน… แปลว่านางยังจะหาผู้อื่นมาร่วมทำกิจการกับนางด้วยใช่หรือไม่?
หากเป็ความคิดที่ไม่เกี่ยวกับภัตตาคารก็ไม่เป็ไร แต่หากเกี่ยวข้องขึ้นมา ไม่ว่าอย่างไรก็ยินยอมปล่อยให้ผู้อื่นแย่งไปไม่ได้
ดังนั้นเถ้าแก่หลิวจึงเค้นรอยยิ้มที่ดูใจดีเป็มิตรที่สุดออกมาแล้วกล่าวกับหลินฟู่อิน “เถอะนะฟู่อิน หากเ้าเห็นการค้าใดเหมาะกับบ้านเรา เ้าต้องคิดถึงพวกเราด้วยนา!”
หลังเห็นหลินฟู่อินพยักหน้า เขาก็โล่งใจ ก่อนถาม “เช่นนั้นเหตุใดเ้าต้องคิดหาคู่ค้าคนอื่นด้วยเล่า? เ้าเองก็ไม่ได้รู้จักผู้คนมากมายไม่ใช่หรือ?”
จะเรียกว่าเป็การถามขุดคุ้ยก็ได้ แต่ก็เรียกว่าถามด้วยความกังวลก็ได้
หลินฟู่อินวางถ้วยชาในมือลงบนโต๊ะ มองไปที่เถ้าแก่หลิวพร้อมกล่าว “ไม่ใช่ข้ากำลังจะไปชิงเหลียนแล้วหรือเ้าคะ? ไปถึงที่ใหม่ย่อมต้องหาคู่ค้าที่เหมาะสมเ้าค่ะ งูดินเ้าถิ่นล้วนมีมากเกินไป จะให้ข้าที่ยังเด็กออกหน้าจัดการเื่ต่างๆ เองนั้นไม่ง่ายเลย”
เถ้าแก่หลิวเห็นว่าสิ่งที่เด็กสาวพูดล้วนสมเหตุสมผล แต่ก็ยังเกรงว่าหลินฟู่อินไปเมืองชิงเหลียนแล้ว เช่นนี้ความสัมพันธ์กับภัตตาคารหลิวจี้จะขาดเอาหรือไม่ เช่นนั้นควรทำอย่างไรดีเล่า?
หลินฟู่อินเห็นชายวัยกลางคนทำหน้านิ่วคิ้วขมวด สายตาเศร้าสร้อย ในใจนางก็ลอบหัวเราะเริงร่า
จากนั้นจึงทำท่าคล้ายไม่สนใจนัก แล้วถามไปว่า “ท่านลุงหลิว ท่านคิดจะเปิดร้านแค่ในเมืองชิงหยางหรือเ้าคะ?”
เถ้าแก่หลิวได้ฟังแล้วพลันอุทานว่า ไอหยา!
เหตุใดเขาจึงคิดไม่ถึงกันเล่า? กระทั่งเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างหลินฟู่อินยังมีความทะเยอทะยานจะไปในเมืองที่ใหญ่ขึ้น ภัตตาคารหลิวจี้ของเขาตอนนี้เหนือกว่าภัตตาคารเยว่เค่อ ขึ้นเป็ภัตตาคารอันดับหนึ่งในชิงหยาง แล้วเหตุใดจะไปเปิดสาขาใหม่ในชิงเหลียนไม่ได้
แต่เขาเดินทางไปจากที่นี่ไม่ได้ ที่นี่ยัง้าเขา ทั้งเขายังไม่ได้มีผู้ดูแลร้านที่เก่งพอจะจัดการควบคุมทุกสถานการณ์ได้
หลิวฉินยังคงทำการค้าถั่วปากอ้าและถั่วงอกอยู่ แม้ตอนนี้จะไม่ได้ดูแลการค้าอะไรแต่ก็ไม่อาจสร้างกิจการขนาดใหญ่ได้ด้วยตัวคนเดียว
เมื่อหลินฟู่อินเห็นว่าั์ตาเถ้าแก่หลิวทอประกาย ความกังวลกลายเป็ความตื่นเต้น ยังมีความสำนึกเสียใจ นางจึงได้ยิ้มน้อยๆ
ทันใดนั้นเถ้าแก่หลิวก็ตวัดสายตามองหลินฟู่อิน โพล่งออกมาโดยไม่คิดอะไรมาก “ฟู่อิน ไหนๆ เ้าก็จะไปชิงเหลียนเพื่อหาโอกาสทำการค้าอยู่แล้ว เหตุใดเ้าไม่ไปเปิดภัตตาคารหลิวจี้กับเ้าหลิวฉินที่นู่นเสียเล่า?”
หลินฟู่อินดีใจยิ่งนัก
แต่เดิมนางหวังเพียงอยากให้เถ้าแก่หลิวส่งหลิวฉินไปที่ชิงเหลียนด้วย การค้าถั่วปากอ้าและถั่วงอกในเมืองชิงหยางก็หาผู้อื่นดูแลไป ส่วนหลิวฉินก็ไปชิงเหลียนเพื่อรับซื้อถั่วทั้งหลายและขยายกิจการถั่วงอกและถั่วปากอ้าสด
จากนั้นเถ้าแก่หลิวสามารถเปิดภัตตาคารหลิวจี้ในชิงเหลียนได้ ถือเป็การช่วยพวกนางได้มาก
และหลินฟู่อินก็เชื่อมั่นอย่างแรงกล้าว่าเถ้าแก่หลิวมีเงินเปิดร้านสาขารองในชิงเหลียนได้แน่นอน
แต่ตอนนี้เถ้าแก่หลิวกลับพูดออกมาว่า จะให้นางและหลิวฉินร่วมมือกันเปิดภัตตาคารหลิวจี้อีกแห่งในเมืองชิงเหลียน นั่นหมายความว่าเถ้าแก่หลิวไม่้าแยกไปเปิดภัตตาคารเป็ของตัวเองหรอกหรือ?
“ท่านลุงหลิว ข้าไม่ค่อยเข้าใจความคิดท่านเ้าค่ะ ตามการคำนวณของข้า ท่านต้องมีเงินและกำลังมากพอที่จะเปิดร้านภัตตาคารหลิวจี้ในเมืองชิงเหลียนได้เองอยู่แล้วนะเ้าคะ” หลินฟู่อินคิดสักหน่อยก็ออกปากเตือน
เมื่อได้ยินเถ้าแก่หลิวก็หัวเราะแล้วลูบหนวดตัวเอง “ฟู่อินพูดถูก หากฉินเอ๋อร์กับข้าร่วมมือกัน จะเปิดภัตตาคารหลิวจี้อีกแห่งก็ไม่มีปัญหา แต่ตอนนี้ข้ากลับไม่มีคนที่เหมาะสม!”
ไม่มีผู้ใดเหมาะสม นั่นย่อมเป็ปัญหาใหญ่ ไม่เพียงแค่บริหารจัดการร้านได้ ยังต้องเป็หัวหน้าพ่อครัวได้ด้วย
ตำแหน่งหัวหน้าพ่อครัวนี้อันที่จริงศิษย์ของปรมาจารย์เถี่ยก็ดีมาก ดีอย่างน้อยก็ครึ่งหนึ่งของผู้เป็อาจารย์แล้ว
เพียงแต่คนพวกนี้เพราะยังมีปรมาจารย์เถี่ยอยู่จึงมีโอกาสน้อยครั้งที่จะได้บริหารงานในครัวเพียงลำพัง เชื่อว่าหากมอบโอกาสให้คงไม่เป็ไร
เป็ปัญหาทั่วไปของการจัดการ นั่นคือไม่อาจหาผู้ดูแลร้านที่เชื่อถือได้
หลินฟู่อินพยักหน้าแสดงออกว่าเข้าใจ
เถ้าแก่หลิวยิ้มมองหลินฟู่อิน “ลุงคิดเช่นนี้ อย่างไรเงินจากภัตตาคารนี้ก็ได้จากเ้าและหลิวฉิน ข้ารู้ความสามารถเ้า ดังนั้นเ้าจะมีส่วนร่วมน้อยหน่อยก็ไม่เป็ไร ขอเพียงช่วยฝึกฝนผู้ดูแลที่บริหารร้านออกมาได้ก็พอ”
เห็นเถ้าแก่หลิวมั่นใจขนาดนี้ ยังเชื่อว่านางจะช่วยฝึกฝนผู้ดูแลร้านออกมาได้ หลินฟู่อินก็หัวเราะ
บอกตามตรง นางไม่ได้มั่นใจในตัวเองขนาดนั้น
นางไม่มีประสบการณ์ด้านกิจการร้านอาหารมาก่อนเลย
แต่ทุกอย่างต้องมีครั้งแรกเสมอแม้จะยากลำบากไปบ้างก็ตามที
ทันใดนั้นนางก็นึกถึงหลินเฟินขึ้นมา ตอนให้พี่สาวคนนี้ช่วยจัดการดูแล หลินเฟินสามารถดูแลการค้าขายไข่เยี่ยวม้าและไข่ดอกสนได้เป็อย่างดี เชื่อว่าขอเพียงได้รับโอกาส อีกฝ่ายต้องสามารถบริหารร้านภัตตาคารใหญ่ๆ ได้แน่นอน
“ตกลงเ้าค่ะ ให้พวกเราที่ยังเยาว์วัยได้ลองลงมือเองเช่นนี้ก็ดี แม้ไม่สำเร็จแต่ล้วนเป็ประสบการณ์ทั้งสิ้น” หลินฟู่อินตอบตกลง ภัตตาคารหลิวจี้เป็ที่นิยมในเมืองชิงหยางอยู่แล้ว ยังมีชื่อเสียงในบรรดาพ่อค้าที่เดินทางเข้าๆ ออกๆ ชิงหยางอีกด้วย ดังนั้นจะเปิดอีกร้านในชิงเหลียนย่อมไม่มีปัญหา ขอเพียงดำเนินการให้เหมาะสม
เห็นนางรับปาก เถ้าแก่หลิวก็หัวเราะฮ่าๆ ปรบมือพูดว่าได้ติดๆ กัน
จากนั้นเขาก็หรี่ตา “ฟู่อิน เื่เจรจาการค้านี้ลุงขอพูดก่อนแล้วกัน ถ้าภัตตาคารหลิวจี้เปิดแล้ว จะขาดทุนก็ไม่เป็ไรลุงไม่สนใจ แต่หากได้กำไร ลุงต้องได้ส่วนแบ่งหนึ่งในสิบ”
ความหมายคือหลินฟู่อินและหลิวฉินต้องจ่ายเงินเป็ค่ายี่ห้อภัตตาคารหลิวจี้นั่นแหละ
เื่นี้นางไม่คัดค้าน จึงเพียงยิ้ม “เ้าค่ะ ข้าไม่ขัด แต่ในเมื่อท่านลุงกล่าวว่าเราร่วมมือกัน เช่นนี้ก็ต้องร่วมมือกันนะเ้าคะ ท่านต้องให้พวกเรายืมตัวคนเสียหน่อย”
“รู้แล้วๆ ข้าจะให้เหล่าเถี่ยส่งลูกศิษย์ให้เ้า” เถ้าแก่หลิวรู้อยู่แล้วว่าหลินฟู่อิน้าอะไร พ่อครัวนั่นเอง “อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลย จริงๆ เหล่าเถี่ยก็เป็กังวลเช่นกันว่าลูกศิษย์เขาล้วนมีฝีมือแต่กลับไม่มีโอกาสรับผิดชอบดูแลอะไร แม้จะอยากให้ลองรับหน้าจัดการดูแล แต่คนกลับมีเยอะจนหน้าที่ไม่พอให้แบ่ง เ้าสามารถพาไปได้สักคนย่อมเป็เื่ดี เขาต้องขอบคุณเ้าแน่นอน!”
หลินฟู่อินหัวเราะ “เช่นนั้นข้าต้องขอบคุณท่านปรมาจารย์เถี่ยแล้วเ้าค่ะ”
เถ้าแก่หลิวใคร่ครวญสักพักก่อนจะเอ่ยถาม “เ้าไปถึงเมืองชิงเหลียนแล้ว พวกไข่เยี่ยวม้าและไข่ดอกสนจะทำอย่างไร?”
แม้อาหารที่ใช้ไข่เยี่ยวม้าและไข่ดอกสนจะไม่ได้เป็ที่นิยมเท่าเมื่อก่อนแล้ว แต่ก็ยังมีหลายคนที่สั่งพวกมันแทบทุกวัน ตอนนี้หลินฟู่อินขายไข่ดอกสนเกือบทั้งหมดให้เขา ภัตตาคารต่างก็ต้องมาซื้อวัตถุดิบต่อจากเขา ทำให้เขาได้ส่วนต่างมากมายทีเดียว
รายได้ส่วนนี้เถ้าแก่หลิวไม่มีทางอยากทิ้งไปเปล่าๆ จึงได้ถามออกมา
หลินฟู่อินคิดเื่นี้เอาไว้นานแล้ว “ท่านลุงหลิววางใจได้เ้าค่ะ เื่นี้ไม่หยุดไปเฉยๆ แน่นอน กิจการนี้มั่นคงแล้ว จำนวนสินค้าก็มากกว่าเดิมสองสามเท่าตัว ข้าจะไม่ทำต่อได้อย่างไร? กิจการนี้จะย้ายไปที่ชิงเหลียนด้วย เพราะญาติผู้พี่ของข้าที่ดูแลกิจการนี้ก็จะติดตามข้าไปด้วยกันเ้าค่ะ"
ได้ยินดังนั้นเถ้าแก่หลิวก็วางใจ “ย้ายไปชิงเหลียนก็ไม่เป็ไร แค่ต้องส่งรถม้าไปรับสินค้าเท่านั้น ไข่ดอกสนกับไข่เยี่ยวม้าโดนกระทบกระแทกบ้างก็ยังไม่เป็ไร แต่เ้าต้องเพิ่มปริมาณให้ข้าด้วยเล่า”
“ท่านลุงหลิว ข้าก็ส่งของให้ท่านเยอะที่สุดแล้วนะเ้าคะ” หลินฟู่อินกล่าว
นางรู้อยู่แล้วว่าพอเถ้าแก่หลิวรับสินค้าไปแล้วก็นำไปขายให้ภัตตาคารอื่นในราคาสูงลิ่ว เป็พ่อค้าคนกลางที่ทำกำไรจากส่วนต่างได้ไม่น้อย มากกว่าที่นางได้หลายเท่า เื่นี้นางไม่ได้ใส่ใจ แต่หากนางกับหลิวฉินจะเปิดภัตตาคารด้วยกันในเมืองชิงเหลียน เช่นนั้นไข่ดอกสนกับไข่เยี่ยวม้าส่วนมากก็ต้องนำไปวางขายที่ร้านของนางเองใช่หรือไม่เล่า?
เถ้าแก่หลิวหัวเราะให้กับคำปฏิเสธอ้อมๆ ของหลินฟู่อิน
ถึงแม้ว่าจะผิดหวังอยู่บ้าง แต่เขาก็ไม่โง่พอที่จะล่วงเกินหลินฟู่อินเพราะเื่นี้
พูดนู่นนี่อีกหลายคำ เถ้าแก่หลิวก็ตบหน้าผากตัวเอง “เฮ้อ รั้งตัวเ้าไว้เสียนาน ลืมไปเลยว่ามีธุระจะคุยกับเ้า!”
หลินฟู่อินถามด้วยรอยยิ้ม “มีธุระอันใดให้ข้าช่วยหรือเ้าคะ?”
“เป็เื่ดี! เ้ารอก่อน” เถ้าแก่หลิวขยิบตา ก่อนจะหมุนตัวตรงไปที่ห้องทำงานชั้นสาม
หลินฟู่อินสงสัยเล็กน้อย เื่ดีอะไรกัน เถ้าแก่หลิวถึงได้เร่งร้อนหาตัวนางเช่นนี้
ไม่คิดว่าเถ้าแก่หลิวจะกลับมาอย่างรวดเร็วพร้อมกล่องผ้ากำมะหยี่สีแดงขนาดเล็ก
“เอ้า ของพวกนี้ล้วนเป็ของเ้า” เถ้าแก่หลิวยัดกล่องกำมะหยี่ใส่มือหลินฟู่อินแล้วยิ้ม “ลองเปิดดู”
หลินฟู่อินมองอีกฝ่ายก่อนจะเปิดกล่องด้วยความสงสัย "ตั๋วเงินมากมายเพียงนี้เชียว?"
ตั๋วเงินตำลึงกองหนาเรียงอยู่ในกล่องเล็กอย่างเรียบร้อย ้าสุดเป็ตั๋วแลกเงินมูลค่าห้าร้อยตำลึงเงิน
ที่แนบมาด้วยกันมีอย่างน้อยสามสิบหรือสี่สิบใบ
ถึงแม้จะไม่ใช่ตั๋วแลกเงินมูลค่าห้าร้อยตำลึงเงินทั้งหมด แต่รวมกันแล้วก็ยังเป็เงินหลายพันตำลึงอยู่ดี
พูดตามตรงก็คือหลินฟู่อินหวาดกลัวจริงๆ
หลายวันมานี้แม้นางจะถือเงินหลายร้อยตำลึงในมือทุกวัน แต่พอเข้ามาแล้วก็จ่ายออกไป ลองนับๆ ดูแล้วนางเพิ่งจะมีเงินผ่านมือราวสี่หรือห้าพันตำลึงเท่านั้น
แต่เถ้าแก่หลิวมอบเงินให้นางหลายพันตำลึงเงินในคราวเดียว ทำให้รู้สึกไม่สบายใจนัก
เงินจำนวนนี้ได้มาง่ายเกินไป ไม่รู้ว่าเหตุใดอีกฝ่ายจึงมอบเงินให้นางมากมายเพียงนี้
ถึงจะเคยตกลงกันเอาไว้ก่อนนางจะมอบตำรับอาหารหลากหลายชนิดให้อีกฝ่าย กล่องสีแดงนี้เถ้าแก่หลิวบอกว่าให้เป็อั่งเปาล่วงหน้า
ให้ตอนนี้เร็วไปหรือไม่?
"ท่านลุงหลิว ข้าไม่เข้าใจเ้าค่ะ เหตุใดท่านต้องมอบเงินให้ข้ามากมายด้วยเ้าคะ?" หลินฟู่อินดันกล่องที่เต็มไปด้วยตั๋วแลกเงินคืนกลับไปทางอีกฝ่าย
นางรักเงินแต่นางก็ไม่้าเงินที่ได้มาอย่างไม่ชัดเจน
เห็นสีหน้าระมัดระวังทั้งยังปฏิเสธเงินจำนวนมากมาย เถ้าแก่ก็ทอดถอนใจ
เด็กคนนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ
คนธรรมดาทั่วไปใครบ้างจะเพิกเฉยต่อเงินจำนวนมากได้? แต่เขากลับไม่เห็นสีหน้าตื่นเต้นของนางแม้แต่แวบเดียว มีเพียงความประหลาดใจเท่านั้น
"เงินนี้เ้ารับเอาไว้อย่างสบายใจได้!" เถ้าแก่หลิวยัดกล่องใส่ตั๋วแลกเงินใส่มือหลินฟู่อินอีกครั้ง และถามด้วยรอยยิ้ม "เ้ายังจำที่มอบวิธีส่งอาหารให้ข้าได้อยู่หรือไม่?"
หลินฟู่อินพยักหน้า นางต้องจำได้อยู่แล้ว ยังได้ยินจากหลิวฉินว่ากิจการส่งอาหารนั่นยิ่งโตวันโตคืน
“พอกิจการส่งอาหารเปิดตัว ภัตตาคารอื่นในเมืองก็หาทางเอาอย่าง ทว่าล้วนแต่ล้มเหลวโดนลูกค้าที่สั่งอาหารต่อว่าทั้งสิ้น เ้ารู้หรือไม่ว่าเพราะเหตุใด?" เถ้าแก่หลิวรู้สึกภูมิใจเสียจนตัวแทบแตกแล้ว
หลินฟู่อินไม่แปลกใจนัก เข้าใจว่าร้านอื่นๆ น่าจะพากันริษยาเป็แน่
นางครุ่นคิดสักครู่ก็พูด “มีปัญหาเื่การรักษาความร้อนหรือเ้าคะ?”
“ใช่แล้ว ฟู่อินฉลาดมาก!” เถ้าแก่หลิวพูดด้วยท่าทีอารมณ์ดี “อาหารของร้านพวกนั้นกว่าจะไปถึงบ้านลูกค้าก็เย็นหมดแล้วจึงต้องส่งกลับ คนที่มีเงินมากหน่อยก็ยกอาหารให้เป็รางวัลแก่บ่าวไพร่แทน”
หลินฟู่อินพยักหน้า พอจะเริ่มเข้าใจที่มาของเงินก้อนนี้แล้ว
“เ้าของภัตตาคารพวกนั้นจึงได้มาหาลุงเพื่อขอวิธีการ” เถ้าแก่หลิวบุ้ยปากไปยังกล่องใส่ตั๋วแลกเงิน “ในนั้นคือตั๋วแลกเงินที่ได้จากการขายวิธีการ มีเท่าไรข้าก็ไม่ได้นับ ให้มาเท่าไรข้าก็ใส่ลงไปในกล่องนี่ รวมแล้วน่าจะหลักหมื่นตำลึง”
“เยอะขนาดนี้เลยหรือ?” หลินฟู่อินตัวสั่น
นางเข้าใจว่าเ้าของภัตตาคารที่มาหาเถ้าแก่หลิวคงจะ้ารักษาอุณหภูมิอาหารเพื่อรักษาลูกค้าด้วย ส่วนผู้เฒ่าท่านนี้เกรงว่าจะขอเงินแลกกับวิธีการ
เป็ไปตามที่นางคาดไว้
แต่ไม่นึกว่าเถ้าแก่จะมอบเงินให้นางมากมายขนาดนี้ ดูจากนิสัยที่ไม่ยอมเสียเปรียบแม้แต่หนึ่งอีแปะ ทว่ากลับยอมยกเงินทั้งหมดให้นางได้
เพราะนี่คือวิธีการที่นางเป็คนคิด
หลินฟู่อินยิ่งรู้สึกเคารพอีกฝ่ายมากขึ้น
ที่จริงเขาจะไม่ยกเงินนี้ให้นางก็ได้ หรือจะให้เพียงครึ่งเดียวก็ได้ ทว่าคนกลับมอบให้นางทั้งหมด ชวนให้ซาบซึ้งใจยิ่งนัก
“ขอบคุณท่านลุงหลิวเ้าค่ะ!” หลินฟู่อินกล่าวขอบคุณจากใจ ไม่ใช่เพราะเขามอบเงินก้อนโตให้ แต่เพราะอีกฝ่ายเต็มใจมอบเงินจำนวนนี้ให้นางต่างหาก
“ด้วยความยินดี ลุงหลิวไม่ยักรู้ว่าเื่นี้จะทำให้เ้าดีอกดีใจปานนี้” เถ้าแก่หลิวหัวเราะ จากนั้นก็พูดกับเด็กสาวด้วยความภูมิใจ “เ้าไม่รู้อะไร ผู้ดูแลฮวาร้านเยว่เค่อนั่นก็ยังมาหาลุงด้วย ลุงจึงเรียกไปสองพันตำลึงเงิน เ้าไม่เห็นหน้าเขาตอนนั้น ฮ่าๆ…”
ได้ยินจากเถ้าแก่หลิวว่าเรียกเงินคนสกุลฮวานั่นสองพันตำลึง หลินฟู่อินก็ยินดียิ่งนัก
“แล้วผู้ดูแลฮวานั่นยอมจ่ายหรือเ้าคะ?” หลินฟู่อินยิ้มถาม
“จ่ายสิ! ภัตตาคารใหญ่อย่างเยว่เค่อ เงินสองพันตำลึงนับเป็อะไรได้?” เถ้าแก่หลิวเลิกคิ้ว สีหน้ายังเสียใจอยู่บ้าง “ลุงยังรู้สึกว่าเรียกน้อยไป หากรู้เช่นนี้น่าจะเรียกสักห้าพันตำลึงเงิน”
หลินฟู่อินอึ้งไป ชาวบ้านทั่วไปทำงานทั้งปียังไม่ได้เห็นเงินสิบตำลึง แต่คนรวยพวกนี้จ่ายเงินพันตำลึงกันได้ตาไม่กะพริบ โลกแห่งความจริงนี่หนอ
ตอนนี้นางมีมากกว่าหนึ่งหมื่นตำลึงเงินแล้ว มิน่าเถ้าแก่หลิวถึงได้แนะนำให้นางกับหลิวฉินร่วมกันเปิดภัตตาคารหลิวจี้สาขาสอง
ที่แท้เขาก็รู้มานานแล้วว่านางจะมีเงินก้อนใหญ่
เงินนี้มีที่มาอย่างถูกต้อง ใครบ้างจะไม่โดนเงินก้อนโตขนาดนี้ล่อลวงใจ?
หลินฟู่อินซ่อนกล่องใส่ตั๋วแลกเงินเอาไว้ในแขนเสื้ออย่างอารมณ์ดี เถ้าแก่หลิวมองแล้วก็หัวเราะอีกครั้ง
ยังบอกนางอีกว่า “ฟู่อิน ยิ่งกว่านั้นยังมีบางคนที่จ่ายมัดจำเอาไว้ก่อนครึ่งหนึ่ง จะจ่ายอีกครึ่งตอนที่รถทำความร้อนทำงานได้ แต่ไม่ต้องเป็ห่วงไป คนพวกนี้ล้วนเป็คนในวงการที่รู้จักกันทั้งนั้น ไม่ยอมเสียชื่อเพราะเงินเพียงเท่านี้แน่นอน”
หลินฟู่อินยิ้มรับ
ไม่นึกว่าแค่มีความคิดเล็กๆ น้อยๆ แล้วจะทำเงินได้มากขนาดนี้
พอลองคิดๆ ดูแล้ว ขอเพียงสร้างสายสัมพันธ์ขึ้นมาได้ การทำเงินในยุคโบราณนี้ก็ง่ายดายยิ่งนัก
แต่หากอยากได้เงินมากขึ้น ก็ต้องยอมจ่ายเงินที่เพิ่งได้มาออกไป ถึงแม้เงินจะยังไม่ทันอุ่นก็ตามที
หลินฟู่อินลุกขึ้นกล่าวอำลาอีกฝ่าย เถ้าแก่หลิวส่งหลินฟู่อินลงบันไดด้วยความอบอุ่น
ทันทีที่ออกจากภัตตาคารหลิวจี้ หลินฟางก็วิ่งหน้าตั้งเข้ามา ในวันที่อากาศหนาวเช่นนี้ยังถึงกับมีเหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดที่ปลายจมูก
ดูจากสีหน้ากังวลหวาดกลัวแล้วหัวใจของหลินฟู่อินก็เริ่มอยู่ไม่สุขขึ้นมา นึกสงสัยว่าเกิดเื่ร้ายอะไรอีกแล้ว
“ฟู่อิน… ฟู่อิน…” หลินฟางเห็นฟู่อินออกมาแล้วก็หอบหายใจสูดอากาศเข้าปอดก่อนจะยืดตัวตรง พูดกับนางด้วยสีหน้ากังวล “ฟู่อิน อยู่ๆ คนของภัตตาคารเยว่เค่อก็หามคนผู้หนึ่งเข้ามาในร้าน บอกว่าคนผู้นั้นกินไข่ดอกสนของเราเข้าไป ตอนนี้กำลังจะตายแล้ว…”
“ภัตตาคารเยว่เค่อหรือ?” หลินฟู่อินนิ่วหน้า น้ำเสียงเย็นลง “กินอาหารทำจากไข่ดอกสนที่ภัตตาคารของเขา แล้วจะส่งมาก่อปัญหาให้เราได้อย่างไร? ภัตตาคารเยว่เค่ออยากทำอะไรกันแน่?”
เถ้าแก่หลิวเห็นหลินฟางวิ่งมาด้วยสีหน้ากังวลจึงได้ตามออกมาด้วย พอได้ยินคำพูดของเด็กสาว สีหน้าก็เปลี่ยนทันควัน
“เกรงว่าเื่นี้ภัตตาคารเยว่เค่อคงตั้งใจก่อปัญหาให้ฟู่อิน” เขาว่า สีหน้าไม่ดีนัก “ร้านอาหารใหญ่ที่มีสาขาทั่วต้าเว่ยกลับมาสร้างปัญหาให้เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ผู้ดูแลฮวานั่นช่างหน้าใหญ่จริงๆ!”
พูดจบเขาก็กล่าวกับหลินฟู่อินด้วยสีหน้าแข็งกร้าว “ฟู่อิน ลุงจะไปดูกับเ้าด้วย”
หลินฟู่อินพยักหน้า หากเถ้าแก่หลิวยินดีไปกับนางครั้งนี้ย่อมดีกว่า ทั้งยังทำให้เห็นว่านางไม่ใช่ไร้เื้ั
เถ้าแก่หลิวเรียกเสี่ยวเอ้อร์ออกมาสั่งการ “ไปหาเ้าใหญ่ที่โรงงาน บอกว่าภัตตาคารเยว่เค่อมาหาเื่ที่ร้านของฟู่อิน บอกให้เขารีบมา”
เสี่ยวเอ้อร์พยักหน้า รีบวิ่งไปทันที
เถ้าแก่หลิวนิ่วหน้าอีกครั้งแล้วตะโดนไล่หลัง “ให้คุณชายใหญ่ของเ้าพาคนมาเยอะหน่อย” จากนั้นก็หันมาหาหลินฟู่อิน “เราไปกันก่อนเถอะฟู่อิน”
หลินฟู่อินขอบคุณเขา ก่อนจะพาหลินฟางและอีกฝ่ายตรงไปยังร้านของนาง...
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้