กู้จวิ้นเฉินหลับตาลง “เมิ่งเต๋อหลาง ครั้งนั้นเปิ่นหวางไม่มีสิทธิ์พูดว่าบัญชีเื แต่วันนี้เปิ่นหวางมีแล้ว”
เมิ่งเต๋อหลางเงียบขรึม แม้เขาจะไม่ได้ผ่านประสบการณ์เช่นเดียวกับฉีอ๋อง แต่ความเ็ปภายในใจของฉีอ๋องนั้นเขากระจ่างแจ้งดี เหตุการณ์วุ่นวายเมื่อหกปีก่อนได้ทำร้ายถึงรากฐานของแคว้นจีนลึกเกินไป
บุตรชายคนโต หลานชายคนโตของไท่จื่อเยี่ยน ล้วนตายลงในเหตุการณ์วุ่นวายครั้งนั้น
.........
“หยุด พักผ่อนอยู่ที่เดิมจนฟ้าสาง ระวังสถานการณ์รอบด้านเอาไว้ อย่าให้คนชิงตัวนักโทษได้” จวิ้นอีกล่าว พวกเขาเลือกใช้เส้นทางลัด เส้นทางลัดเร็วกว่า แม้เส้นทางหลวงจะปลอดภัยกว่าก็ตาม ทว่ากู้จวิ้นเฉิน้าล่อให้คนออกมา
อาจจะเป็เพราะผู้ที่อยู่เื้ัรู้จุดประสงค์ของกู้จวิ้นเฉิน แต่หากมือสังหารได้สารภาพไปแล้ว เช่นนั้นคนผู้นี้ก็คือพยานบุคคล ความเสี่ยงนี้ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อยากเสี่ยง
จวิ้นอีสังเกตการณ์รอบด้านอย่างระมัดระวัง ท่านอ๋องบอกว่าฝ่ายตรงข้ามต้องมาแน่นอน ต่อให้ไม่มาพวกเขาก็ไม่ได้สูญเสียอันใด แต่คนและคำสารภาพนั้นแยกจากกัน คนอยู่ระหว่างทางการเดินทางล่าช้า คำสารภาพนั้นได้ให้ม้าเร็วส่งไปยังเมืองหลวงนานแล้ว
เมืองหลวงในห้าวันให้หลัง
คำสารภาพของมือสังหารได้มาถึงมือของจ้าวหนิงฮ่องเต้แล้ว จ้าวหนิงฮ่องเต้ทอดพระเนตรสารนั้นด้วยสีหน้าเขียวคล้ำ
“ฝ่าา”
“เรียกตัวเสนาบดีฉินและองค์ชายใหญ่เข้าวัง” จ้าวหนิงฮ่องเต้วางสารลง แม้จะคาดการณ์ไว้แล้วว่าการลอบสังหารหลานชายต้องเกี่ยวพันกับบุตรชายของตน แต่เมื่อเห็นสารฉบับนี้แล้ว เขายังคงรู้สึกะเืใจ พี่น้องแท้ๆ ยังลงมือกันได้ นี่เป็ลูกพี่ลูกน้อง
เสนาบดีฉินและองค์ชายใหญ่รีบมาเข้าเฝ้าในทันที สองตาหลานพบกันที่หน้าประตูห้องทรงพระอักษร ต่างฝ่ายต่างหัวใจกระตุกวาบทั้งคู่ ไม่รู้ว่าฝ่าาเรียกตัวเข้าวังในเวลานี้ด้วยเหตุอันใด ทว่ามีลางสังหรณ์ไม่ดีนัก
“ใต้เท้าฉิน องค์ชายใหญ่ เชิญด้านใน”
เสนาบดีฉินและองค์ชายใหญ่เข้าไปในห้องทรงพระอักษร
“เฉินถวายบังคมฝ่าาพ่ะย่ะค่ะ”
“ลูกถวายบังคมฝ่าาพ่ะย่ะค่ะ”
จ้าวหนิงฮ่องเต้ทอดพระเนตรมองพวกเขาปราดหนึ่ง “ลุกขึ้นให้หมดเถิด เื่ทางค่ายทหารซีเป่ยพวกเ้าต่างก็รู้แล้ว มือสังหารที่ลอบสังหารจวิ้นเฉินที่จริงไม่ได้ถูกชิงตัวไป แต่ถูกจวิ้นเฉินสลับสับเปลี่ยนตัว นี่เป็คำสารภาพของมือสังหาร พวกเ้าดูด้วยกันเถิด”
“พ่ะย่ะค่ะ” องค์ชายใหญ่ก้าวขึ้นไปข้างหน้า รู้สึกแทบจะทนรอไม่ไหว ท่านตาบอกว่าผู้ที่ลอบสังหารเ้าสี่ครั้งนี้ไม่ใช่คนของพวกเขา เช่นนั้นจะเป็ผู้ใดได้? เขานั้นคาดหวังอย่างยิ่ง แต่เมื่อเขาเห็นคำสารภาพนั้น ขาทั้งสองข้างของเขาพลันสั่นสะท้าน คุกเข่าลงทั้งยืนทันที “ใส่ร้าย เสด็จพ่อ ลูกถูกใส่ร้ายป้ายสีพ่ะย่ะค่ะ” น้ำเสียงขององค์ชายใหญ่สั่นสะท้าน ถูกทำให้ใจนลนลาน
เสนาบดีฉินรู้สึกว่ามีปัญหา จึงรับคำสารภาพนั้นมาดูทันที จากนั้นขาทั้งสองข้างก็งอพับลง เขาคุกเข่าลงเช่นกัน “ขอฝ่าาทรงสอบสวนเื่นี้ให้กระจ่าง เื่นี้ไม่ใช่ฝีมือของเฉินแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
จ้าวหนิงฮ่องเต้พิงพนักเก้าอี้ “คนแล้วคนเล่าต่างพูดว่าถูกใส่ร้ายป้ายสี เช่นนั้นพวกเ้าพูดมาว่าใครให้ร้ายพวกเ้า? เจิ้นหรือ?”
“เฉินมิกล้า” เสนาบดีฉินตอบ
“เสด็จพ่อ ลูกไม่เคยทำเื่พรรค์นี้จริงๆ พ่ะย่ะค่ะ ลูกกับเ้าสี่เป็พี่น้องที่รักใคร่กันดี ไฉนเลยจะทำเช่นนี้ได้?” องค์ชายใหญ่แก้ต่างให้ตนเอง
“เช่นนั้นเ้าพูดมา ว่าใครให้ร้ายเ้า” จ้าวหนิงฮ่องเต้ตรัสถาม
องค์ชายใหญ่ไตร่ตรองอยู่อึดใจหนึ่ง “เป็ไปได้หรือไม่ว่าจะเป็เ้าสี่พ่ะย่ะค่ะ?”
“เลอะเทอะ” จ้าวหนิงฮ่องเต้ตบโต๊ะอย่างแรงครั้งหนึ่ง “เขาให้มือสังหารลอบสังหารตนเอง เขาให้แคว้นฝูชิวซุ่มโจมตีเช่นนั้นรึ? เขาให้อาวุธลับคนปิดหน้ากลุ่มนั้นโจมตีค่ายทหารเพียงเพื่อ้าให้ร้ายเ้าเช่นนั้นรึ?”
“ลูกมีความสงสัยเช่นนั้นถือเป็เื่ปกติพ่ะย่ะค่ะ” องค์ชายใหญ่กล่าว “ก่อนหน้านี้โค่วฉีมาร้องเรียนเื่ของอวี๋เจิ้นซี หากอวี๋เจิ้นซีสมคบคิดกับแคว้นฝูชิวจริง แคว้นฝูชิวช่วยเ้าสี่ซุ่มโจมตีค่ายทหารหลอกๆ ก็เป็ไปได้เช่นกัน สำหรับคนปิดหน้าผู้กุมอาวุธลับ ก็มีความเป็ได้เช่นกันว่าจะเป็คนของเ้าสี่”
“ตามหลักการของเ้า เจิ้นย่อมสงสัยได้เช่นกันใช่หรือไม่ ว่าการที่โค่วฉีร้องเรียนอวี๋เจิ้นซีเป็ความคิดของเ้า เป็เ้าที่สมคบคิดกับแคว้นฝูชิว จากนั้นขุดหลุดพรางนี้ ให้มือสังหารรับสารภาพว่าเป็พวกเ้า จากนั้นรอให้พวกเ้าย้อนกลับมาแว้งกัดจวิ้นเฉิน?” จ้าวหนิงฮ่องเต้ตรัสถาม
“เสด็จพ่อ ลูกขอสาบานต่อ์เบื้องบน หากเื่มือสังหารครั้งนี้เป็ลูกที่ส่งคนไปจริงๆ ลูกต้องไม่ตายดีพ่ะย่ะค่ะ” องค์ชายใหญ่กล่าวคำสาบาน
จ้าวหนิงฮ่องเต้หรี่ตาลง ดวงตาคู่นั้นทอดมององค์ชายใหญ่ราวกับเป็มดก็ไม่ปาน องค์ชายใหญ่ถูกสายตาของเขาจับจ้องเสียจนร้อนตัว แต่เื่นี้ไม่ใช่เขาจริงๆ เขาเกิดความหวาดกลัวเล็กน้อย ทว่ากลับประสานสายตากับจ้าวหนิงฮ่องเต้อย่างกล้าหาญ
“เช่นนั้นเ้าเล่า?” จ้าวหนิงฮ่องเต้หันไปมองเสนาบดีฉิน
“มิใช่เฉินพ่ะย่ะค่ะ ต่อให้เฉินมีความกล้าเทียมฟ้าก็มิกล้าส่งคนไปลอบสังหารฉีอ๋องพ่ะย่ะค่ะ” เสนาบดีฉินกล่าว “และเพียงอาศัยคำสารภาพผิดนี้เพียงอย่างเดียว ไม่สามารถพิสูจน์การกระทำของเฉินได้พ่ะย่ะค่ะ”
“เวลานี้คำให้การได้มาถึงมือของเจิ้นแล้ว พยานบุคคลอยู่ระหว่างการเดินทาง หากเื่นี้แพร่งพรายออกไป เ้าคิดว่าจะเป็เช่นใด?” จ้าวหนิงฮ่องเต้ตรัสถาม
“ฝ่าาโปรดวางพระทัย เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนเอง หม่อมฉันจะต้องสืบเื่นี้อย่างเต็มความสามารถพ่ะย่ะค่ะ” เสนาบดีฉินกล่าว
“อืม เช่นนั้นเจิ้นยกมือสังหารให้เ้าแล้ว เ้ารีบนำคนไปสมทบและรายงานตัวกับคนของฉีอ๋อง นี่เป็เส้นทางที่พวกเขาเลือกใช้” จ้าวหนิงฮ่องเต้นำแผนที่เส้นทางการเดินทางมอบให้กับเสนาบดีฉิน
“กระหม่อมน้อมรับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อออกมาจากห้องทรงพระอักษร สีหน้าของเสนาบดีฉินเคร่งขรึมราวกับน้ำก้นบ่อ
“ท่านตา เื่นี้คงจะมิเป็จริง...”
“ฝ่าา” เสนาบดีฉินขัดคำพูดของเขา “ขอให้ฝ่าาระวังคำพูดด้วยพ่ะย่ะค่ะ” แม้ว่าเขาจะมีความคิดเช่นนี้เหมือนกัน แต่เื่นี้ไม่ใช่เขาจริงๆ เป็ใครกันที่คิดจะให้ร้ายเขา
“แต่ถ้าหากไม่ใช่ เช่นนั้นคำสารภาพนี้มันเป็เื่อันใดกัน? หรือเ้าสี่คิดจะฉวยโอกาสตัดรากถอนโคนพวกเรา?” เมื่อสักครู่ที่องค์ชายใหญ่อยู่ในห้องทรงพระอักษร เขาก็ได้กล่าวความคิดเช่นนั้นของตนออกไปเช่นกัน “คิดไม่ถึงว่าเ้าสี่จะโเี้ถึงเพียงนี้ ก่อนหน้านี้ประเมินเขาต่ำไปแล้ว”
“ไม่ใช่เขา” เสนาบดีฉินกล่าวอีก
“ท่านตา ที่ท่านพูดมาทำเอาข้าสับสนไปหมดแล้ว”
“เื่นี้ไม่มีความเกี่ยวข้องกับท่าน ท่านไม่ต้องยื่นมือเข้ามาสอด ท่านทำหน้าที่ของท่านให้ดีเป็พอ เป็องค์ชายใหญ่ เส้นทางทั้งหมดตาจะช่วยท่านกวาดล้างทำความสะอาดเอง” เสนาบดีฉินทิ้งคำพูดเช่นนี้เอาไว้แล้วรีบจากไปทันที
องค์ชายใหญ่จ้องมองเงาร่างด้านหลังของเสนาบดีฉิน มุมปากค่อยๆ ยกยิ้มขึ้นอย่างช้าๆ
เสนาบดีฉินกลับไปถึงจวนได้ก็เรียกตัวที่ปรึกษามาทันทีเพื่อปรึกษาหารือเื่มือสังหารและคำสารภาพ “เื่นี้พวกเ้ามีความเห็นอย่างไร?”
“เื่โค่วฉีและอวี๋เจิ้นซีเป็การกระทำของพวกเรา ทางแคว้นฝูชิวก็เป็พวกเราที่ส่งสัญญาณเช่นกัน ดังนั้นฉีอ๋องจะเขียนเองเล่นเองคงเป็ไปไม่ได้ แต่รับประกันไม่ได้เช่นกันว่าเขาไม่ได้ตุกติกกับคำสารภาพ” ที่ปรึกษากล่าว
“นี่เป็เพียงความเป็ไปได้อีกอย่างหนึ่งเท่านั้น ย่อมมีความเป็ไปได้อีกอย่างเช่นกัน คือคำสารภาพนั้นเป็ของจริง” ที่ปรึกษากล่าวอีก “หากคำสารภาพเป็ของจริง แต่มือสังหารนี้ไม่ใช่คนที่ท่านเสนาบดีฉินส่งไป เช่นนั้นอธิบายได้เพียงอย่างเดียว ฝ่ายตรงข้าม้าให้ร้ายใต้เท้าเสนาบดี และจุดประสงค์ในการให้ร้ายใต้เท้าเสนาบดีก็เพื่อทำให้องค์ชายใหญ่และฉีอ๋องเริ่มแย่งชิงบัลลังก์”
เสนาบดีฉินพยักหน้า “ข้าก็มีความคิดนี้เช่นกัน แต่หากมีผู้้าให้ร้ายข้า เช่นนั้นฝ่ายตรงข้ามเป็ใครกันเล่า?”
ที่ปรึกษาหัวเราะออกมาครั้งหนึ่ง “หากองค์ชายใหญ่และฉีอ๋องต่อสู้กันขึ้นมาจริงๆ ผู้ใดเล่าได้ประโยชน์?”
เสนาบดีฉินขมวดคิ้ว “องค์ชายรองใช่หรือไม่? หรือเป็องค์ชายสาม?”
“ทางด้านองค์ชายรองไม่มีขุนนางคนไหนที่สนิทชิดเชื้อกับเขา ทางด้านองค์ชายสามก็เช่นเดียวกัน เป็ไปได้หรือไม่ว่าจะเป็ลูกหลานของฏเมื่อหกปีก่อน?” ที่ปรึกษากล่าวเสริม
เสนาบดีฉินส่ายหน้า “ข้าไม่อาจล่วงรู้ได้” ที่จริงแล้วยังมีอีกคนหนึ่ง แต่เสนาบดีฉินไม่กล้าคิด ต้าหลี่ซื่อชิงและเขาไม่มีความเกี่ยวพันกัน ครั้งก่อนในงานเลี้ยงวันฉลองพระราชสมภพฝ่าาเขาอยากจะลงมือกับต้าหลี่ซื่อชิง ด้วยมีคนจับจุดอ่อนของเขาได้และนำมาข่มขู่เขา ดังนั้นเื่ครั้งนี้ย่อมมีความเป็ไปได้ว่าจะเป็การกระทำของคนผู้นี้ เหตุการณ์ไม่สงบภายในเมื่อหกปีก่อนยังมีผู้ที่อยู่เื้ัอีก แต่คนผู้นี้เป็ใครกันแน่? ทันทีที่คิดได้ว่าคนผู้นี้มีจุดอ่อนของตนอยู่ในมือ เสนาบดีฉินก็มักจะรู้สึกว่าตนเหมือนถูกหนูจับจ้องเอาไว้แล้วถูกกัด น่าขยะแขยงแทบตาย แต่เขาไร้สิ้นหนทาง เขาสืบไม่พบว่าฝ่ายตรงข้ามคือใคร
“เช่นนั้นฝ่าายกเื่นี้ให้ใต้เท้าเป็ผู้สอบสวน หมายความว่าอย่างไรเล่า?” ที่ปรึกษากล่าว
“ไม่ว่าเื่นี้จะเกี่ยวข้องกับองค์ชายใหญ่หรือไม่ ข้าก็จะไม่มีวันยอมให้มือสังหารตาย เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของข้าแล้ว มือสังหารตกอยู่ในมือข้าย่อมปลอดภัยที่สุด และถ้าหากเื่นี้เป็ฝีมือของข้า ข้าก็ไม่อาจสังหารมือสังหารได้เช่นกัน ข้าย่อมต้องพิสูจน์ตนเอง ผลักความผิดนี้ไปให้ผู้อื่น แต่หากเื่นี้ไม่ใช่การกระทำของข้า ข้าย่อมอยากสืบสวนเื่นี้ยิ่งกว่าผู้ใด” เสนาบดีกล่าว ดังนั้น นี่เป็เจตนาของฝ่าาแน่แล้ว
“ฝ่าาของพวกเรานั้นรบทัพจับศึกเก่งกาจ คิดไม่ถึงว่าการจัดการราชกิจในราชสำนักก็ร้ายกาจเช่นกัน” ที่ปรึกษากล่าว “ฝ่าาสามารถนั่งบัลลังก์ัได้อย่างมั่นคง ประการแรกคือคนที่ไท่จื่อเยี่ยนทิ้งเอาไว้ให้ ประการที่สองคือฝ่าาสืบทอดตำแหน่งฮ่องเต้ด้วยตนเอง หากว่า...”
“หากว่า?” เสนาบดีฉินเลิกคิ้ว
“หากว่าแพร่งพรายข่าวไม่ดีออกไป ครั้งนั้นไท่จื่อเยี่ยน้ามอบบัลลังก์ให้กับฉีอ๋อง แต่มิใช่ฝ่าาเล่า? เช่นนี้แล้วย่อมก่อให้เกิดความเข้าใจผิดระหว่างฝ่าาและฉีอ๋อง จะส่งผลดีต่อองค์ชายใหญ่มากกว่าใช่หรือไม่?” ที่ปรึกษากล่าวอีก
เสนาบดีฉินครุ่นคิด “เมื่อเป็เช่นนี้ คนที่ไท่จื่อเยี่ยนเหลือไว้ในราชสำนักย่อมต้องเคลื่อนไหว ฉีอ๋องไม่อยู่ในเมืองหลวง นี่เป็โอกาสที่ดี ทันทีที่พวกเขาเกิดเื่ก็เป็เวลาที่พวกเราจะจัดการพวกเขา พวกเ้าไปจัดการเสีย ข้าก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าเื่ครั้งนี้ผลลัพธ์จะเป็เช่นไร?”
“ขอรับ”
เื่มือสังหารและคำสารภาพ จ้าวหนิงฮ่องเต้ได้บอกกล่าวกับเสนาบดีฉินและองค์ชายใหญ่เพียงเท่านั้น นี่เป็การลองใจของเขา ไม่ว่าจะเป็การกระทำของเสนาบดีฉินหรือไม่ มีเพียงเขาที่จะรับประกันความปลอดภัยของมือสังหารได้
แต่ในความเป็จริงแล้วนั้น มือสังหารจะมาถึงเมืองหลวงได้อย่างปลอดภัยหรือไม่?
เมื่อจวิ้นอีและพวกเขาออกจากพื้นที่ซีเป่ยแล้ว ในที่สุดก็หลอกล่อนักฆ่ากลุ่มหนึ่งออกมาได้
มาช่วยมือสังหาร? หรือมาสังหารมือสังหาร?
“คุ้มกันพยาน” จวิ้นอีกล่าว
“ขอรับ”
จวิ้นอีผนวกกับทหารรักษาพระองค์อีกยี่สิบคน ราวกับฝ่ายตรงข้ามจะรู้จำนวนคนที่แน่นอนของพวกเขา ผู้ที่มานั้นมากกว่าพวกเขาหนึ่งเท่า และล้วนมีวรยุทธ์ล้ำเลิศทั้งสิ้น วรยุทธ์สูงกว่าทหารรักษาพระองค์มาก ต่อให้วรยุทธ์ของจวิ้นอีจะสูงกว่านี้ก็ไม่มีทางเป็ไปได้ที่จะสู้กันแบบหนึ่งต่อร้อย ซ้ำเขายังถูกรั้งตัวเอาไว้ และชัดเจนยิ่งนักว่าฝ่ายตรงข้ามไม่อยากจะต่อสู้ยืดเยื้อ หลังจากต่อสู้ติดพันกันอยู่ครู่หนึ่งจึงพุ่งเป้าหมายไปที่มือสังหาร จากนั้นสังหารเขาในกระบี่เดียว หลังจากสังหารเขาแล้วจึงกล่าวว่า “ไป”
จวิ้นอีวิ่งไปถึงข้างกายมือสังหาร สำรวจลมหายใจของอีกฝ่าย ไม่มีชีวิตแล้ว เขาจึงกล่าวกับคนที่เหลือว่า “พวกเ้ากลับไปรายงานฉีอ๋อง” สั่งการแล้วเขาก็ไล่ล่าติดตามไป
เมื่อทหารรักษาพระองค์กลับไปถึงจวนแม่ทัพซีเป่ยนั้น เป็เวลาสองวันหลังจากเกิดเื่
“พวกเราได้ทิ้งคนไว้กับใต้เท้าจวิ้นอีสองคนพ่ะย่ะค่ะ ที่เหลือล้วนกลับมาแล้ว มือสังหารที่ถูกฆ่าได้พากลับมาแล้วเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์ทหารรักษาพระองค์รายงาน