“เจอแล้ว!!!” ลู่คงร้องะโกลางพงหญ้าด้วยความตื่นเต้น มือของเขากำสมุนไพรสีทองอร่ามไว้แน่น
เพื่อให้แน่ใจว่าสายตาของตนเองที่เริ่มฝ้าฟางไม่ได้มองผิดพลาดไป ชายชราจึงยกสมุนไพรสีทองขึ้นมาดมใกล้ๆ แม้ว่าจะใกล้เหี่ยวเฉาแล้ว แต่กลิ่นหอมอ่อนๆ ดุจสายลมในวสันตฤดูนี้เป็เอกลักษณ์ของ ‘หญ้าชะตาวสันต์’ อย่างไม่ต้องสงสัย
ลู่คงตามหาสมุนไพรนี้อยู่นาน ตอนนี้เป็หน้าพืชพรรณคิมหันต์แล้ว เกรงว่าในมือเขาอาจจะเป็หญ้าชะตาวสันต์ต้นสุดท้ายในปีนี้
ดูจากสภาพตอนที่เก็บมาแล้ว หากมาช้าอีกเพียงนิดเดียว คงไม่ได้แน่แล้ว
เมื่อคิดเช่นนี้ ลู่คงก็ยิ่งบรรจงเก็บหญ้าชะตาวสันต์ใส่ถุงหนังล่าสัตว์ที่คาดเอวไว้ ก่อนจะตบเบาๆ อย่างพึงพอใจ “อาเต้า เ้าอย่าทำให้ปู่ผิดหวังเล่า!”
เมื่อความตื่นเต้นผ่านพ้นไป ลู่คงก็เงยหน้ามองท้องฟ้า ก่อนจะพบว่าแสงสว่างที่คุ้มครองตนเองกำลังจะหายไปแล้ว
“แย่แล้ว มัวแต่หาหญ้าชะตาวสันต์จนลืมเวลาไปเสียสนิท” ลู่คงเริ่มร้อนรน
เมื่อดวงอาทิตย์ค่อยๆ ลาลับขอบฟ้า บรรยากาศรอบข้างพลันมืดมิดลง ในเงามืดที่อยู่ไกลออกไป เริ่มมีเสียงคำรามต่ำๆ ดังแว่วมา แม้จะไม่ใช่ผู้บำเพ็ญเพียร แต่สัญชาตญาณของนักล่าก็ส่งสัญญาณเตือนลู่คงอยู่ตลอดเวลาว่า ภายใต้เงามืดนั้นมีบางสิ่งกำลังคืบคลานเข้ามาหาเขา
แรงกดดันอันทรงพลังนี้เทียบเคียงได้กับสัตว์อสูร นั่นหมายความว่าสิ่งนั้นไม่ธรรมดา และย่อมไม่ใช่ระดับที่เขาจะรับมือได้
แสงสุดท้ายกำลังเคลื่อนไปทางหมู่บ้านเมฆาขาว ลู่คงรีบวิ่งสุดกำลัง ที่นี่ห่างจากหมู่บ้านเพียงหนึ่งลี้เท่านั้น ด้วยฝีเท้าของเขา น่าจะกลับไปถึงหมู่บ้านได้ก่อนดวงอาทิตย์จะตกดิน
เขาเคลื่อนไหวกลางป่าอย่างคล่องแคล่ว หลบซ้ายหลบขวาจนสลัดสิ่งที่อยู่ในความมืดไว้ข้างหลังได้ แต่แสงอาทิตย์กลับหายไปเร็วกว่าที่เขาคาดไว้ ลู่คงไม่มีทางเลือก นอกจากวิ่งไปตามทางลัดที่มีหญ้าใบเลื่อย ขึ้นอยู่เป็จำนวนมาก
เมื่อเบียดเสียดเข้าไปในดงหญ้าใบเลื่อย เสื้อคลุมหนังสัตว์และิัที่โผล่พ้นออกมาก็ถูกใบหญ้าบาดเป็แผลฉกรรจ์อย่างรวดเร็ว ลู่คงกัดฟันอดทนกับความเ็ปเพื่อเดินหน้าต่อไป แต่กลับพบว่าปลายทางของทางลัดกลับถูกดินถล่มปิดทางเอาไว้
เสียงคำรามด้านหลังดังไล่มาแล้ว ลู่คงไม่มีทางเลือกนอกจากวิ่งไปอีกทาง ยามนี้รัตติกาลได้มาเยือนป่าผีคร่ำครวญแล้ว เขากลายเป็ชายชราผู้โดดเดี่ยว เดินโซซัดโซเซไปมาอย่างไร้จุดหมายในพงไพรอันมืดมิด
ภายใต้ความหวาดกลัวสุดขีด ชายชราก็หลงทาง
ทันใดนั้นก็มีเสียงร้องไห้ของสตรีดังขึ้นข้างหูโดยไม่ทันตั้งตัว เขาใจนได้แต่วิ่งไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย
ป่าผีคร่ำครวญที่มืดมิดกลับไม่เงียบสงบเลยแม้แต่น้อย
หมาป่าหอน จักจั่นร้อง นกเค้าแมวกู่ร้อง
ท่ามกลางเสียงเ่าั้ ก็ผสมปนเปไปด้วยเสียงะโอย่างหวาดกลัวของลู่คง “อา…เต้า! อาเต้า!”
ในเวลานี้ ลู่เต้าที่อยู่ในบ้าน เขาใช้ชามครอบอาหารที่เย็นชืดเอาไว้ และมองออกไปนอกหน้าต่างด้วยความกังวล “ท่านปู่ไปไหนกัน”
ในป่าผีคร่ำครวญ สิ่งที่ไล่ตามลู่คงได้เผยร่างจริงออกมาแล้ว มันเป็กลุ่มหมอกสีดำที่มองไม่เห็นรูปร่าง ลู่คงพบว่าหมอกสีดำที่อยู่ด้านหลังกำลังจะไล่ทันตนเองแล้ว ภายในใจคิดอยากยอมแพ้ แต่ทันใดนั้นก็มีศาลเ้าแม่กวนอิมที่ถูกทิ้งร้างปรากฏขึ้นเบื้องหน้าดุจผู้กอบกู้
เปลวไฟแห่งความหวังที่ใกล้จะมอดดับลุกโชนขึ้นมาอีกครั้ง ลู่คงเร่งฝีเท้า ใช้ร่างกายพุ่งตะบึงชนประตูที่ปิดอยู่เพียงครึ่งเดียวของศาลเ้าแม่กวนอิม ภาพขององค์พระโพธิสัตว์กวนอิมที่มีใบหน้าเมตตา มือถือแจกันน้ำอมฤตปรากฏขึ้นเบื้องหน้าชายชรา ถึงแม้จะขาดการดูแลรักษา มีแต่ฝุ่นและใยแมงมุมปกคลุมไปทั่ว แต่ก็ยังคงให้ความรู้สึกศักดิ์สิทธิ์
ลู่คงหันกลับไปมองอย่างลนลาน หมอกสีดำย่อมเกรงกลัวองค์พระโพธิสัตว์กวนอิม ไม่กล้าล่วงล้ำเข้ามาภายในศาลเ้า ลู่คงถอนหายใจด้วยความโล่งอก ในที่สุดก็ปลอดภัยแล้ว
ลู่คงรีบร้อนคุกเข่าลง คลานไปเบื้องหน้ารูปปั้นพระโพธิสัตว์กวนอิมเพื่อก้มลงคำนับ ปากก็พึมพำไม่หยุด “ขอองค์เ้าแม่กวนอิมทรงเมตตาคุ้มครอง ให้หลานรักลู่เต้าสามารถบ่มเพาะพลังได้โดยเร็ว ข้าไม่มีสิ่งใดปรารถนา ขอองค์เ้าแม่โปรดคุ้มครองเขาด้วย…”
แม้จะตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย แต่ลู่คงก็ถือโอกาสบอกเล่าความปรารถนาที่ฝังลึกอยู่ในใจให้องค์เ้าแม่กวนอิมฟังซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ในระหว่างที่เขากำลังอธิษฐานอยู่นั้น เืหยดหนึ่งที่ไหลออกมาจากาแที่ถูกใบหญ้าใบเลื่อยบาดไหลลงมาตามฝ่ามือลงบนพื้น แต่เืกลับถูกพื้นดูดซับไปในชั่วพริบตา รูปปั้นพระโพธิสัตว์กวนอิมที่ควรจะมีใบหน้าเมตตา กลับเผยรอยยิ้มอันแปลกประหลาด บนใบหน้าพลันมีรอยร้าวปรากฏขึ้น
ไอหมอกสีดำซึมออกจากรอยร้าว ก่อนจะห่อหุ้มลู่คงเอาไว้ หมอกสีดำหนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ ร่างของลู่คงค่อยๆ เลือนรางหายไปจากสายตา สุดท้ายก็หายไปโดยสิ้นเชิง
“ขอองค์พระโพธิสัตว์กวนอิม…ทรงเมตตา…” เสียงของชายชราค่อยๆ แ่ลง จนเงียบหายไปในที่สุด
ลู่เต้าเดินไล่ถามเพื่อนบ้านในหมู่บ้านเมฆาขาวทีละหลังว่ามีใครเห็นปู่ของตนเองบ้าง แต่หลังจากไถ่ถามไปกว่าครึ่งหมู่บ้าน ก็ไม่มีใครตอบได้ชัดเจน สุดท้ายเด็กชายอายุหกขวบจากบ้านช่างตีเหล็กก็บอกลู่เต้าว่า เขาเห็นชายชราเข้าไปในบ้านของหวังหู่่บ่าย
เมื่อลู่เต้าได้ยินก็ใมาก เพราะคนทั้งหมู่บ้านรู้ดีว่าท่านปู่ที่หยิ่งทะนงในศักดิ์ศรีไม่ถูกกับหวังหู่ ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อวานทั้งสองคนเกือบจะทะเลาะวิวาทกัน เขาจึงรีบวิ่งไปบ้านหวังหู่เพื่อไปเอาท่านปู่กลับมา
ในจังหวะที่ประตูบ้านใกล้จะพัง หวังหู่ก็เปิดประตูด้วยสีหน้าบูดบึ้ง ก่อนที่จะสบถคำหยาบออกมา ลู่เต้าก็ผลักหวังหู่จนกระเด็นเข้าไปข้างใน แล้วพุ่งตัวเข้าไปดูรอบๆ สุดท้ายลู่เต้าก็คว้าคอเสื้อหวังหู่สองมือ แล้วยกชายร่างเล็กลอยขึ้นมา เขาจ้องมองหวังหู่ด้วยสายตาอาฆาต “ปู่ของข้าอยู่ที่ไหน”
หวังหู่แสร้งทำเป็ไม่รู้เื่ อ้ำๆ อึ้งๆ “ปะ…ปู่เ้าอะไรกัน ปู่เ้าหายตัวไปแล้ววิ่งมาหาที่บ้านข้าทำไมเล่า”
“มีคนเห็นว่าปู่มาหาเ้าที่นี่ตอนบ่าย”อารมณ์ของลู่เต้าเริ่มไม่คงที่ จึงยกหวังหู่ให้สูงขึ้นอีก “ข้าจะถามเ้าอีกครั้ง ท่านปู่อยู่ที่ไหน”
“มะ…ไม่รู้!”
ลู่เต้ามองบุรุษตรงหน้าที่พูดโป้ปด ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่าสิ่งที่ตนเองกำลังจับอยู่ไม่ใช่คน เขาจึงกัดฟันอย่างเกลียดชัง ก่อนจะใช้มืออีกข้างชักมีดล่าสัตว์ออกมา
“ข้าจะให้โอกาสเ้าอีกครั้ง…”
ในขณะที่ลู่เต้าไม่คิดจะเกรงใจหวังหู่อีก เตรียมเค้นถามที่อยู่ของปู่ตน ก็มีเสียงเพื่อนบ้านดังมาจากนอกบ้าน “อาเต้า ท่านปู่ของเ้ากลับมาแล้ว”
ทันใดนั้น ลู่เต้าก็ดีใจจนเนื้อเต้น แล้วปล่อยมือจากหวังหู่วิ่งออกไปทันที หวังหู่ที่นอนหน้าคว่ำอยู่บนพื้นลุกขึ้นนั่งพร้อมพึมพำกับตัวเอง “กลับมาปลอดภัยดีอย่างงั้นหรือ”
ลู่เต้าวิ่งสุดกำลัง ไม่นานก็เห็นร่างอันคุ้นเคยปรากฏขึ้นเบื้องหน้า เขารีบวิ่งเข้าไปหาด้วยความดีใจ “ท่านปู่!”
แต่ ‘ลู่คง’ กลับไม่แสดงท่าทางขึงขังเช่นทุกวัน เขาเดินโซเซไปมาบนถนนด้วยสีหน้าเหม่อลอย และเดินผ่านลู่เต้าที่วิ่งเข้ามาสวมกอดเขามุ่งหน้าเข้าไปในหมู่บ้าน
ลู่เต้ารีบร้อนเดินตามหลังชายชราพร้อมเอ่ยปลอบ “ท่านปู่? ท่านเป็อะไรไป ท่านรู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือไม่”
ลู่คงที่ไม่สนใจเขายังคงเดินต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งหยุดลงหน้าศาลเ้าแม่กวนอิม ลู่เต้าเดินตามไปจับแขนลู่คงไว้หวังคิดจะพาเขากลับบ้าน “ท่านปู่ อย่าเล่นแบบนี้สิ วันนี้ข้าล่ากวางได้ตัวหนึ่ง เย็นนี้มีเนื้อกินแล้ว ท่าน…”
ยังไม่ทันเอ่ยจบ ลู่เต้าก็ถูกชายชราดิ้นหนีฟาดเข้าที่ท้ายทอยอย่างแรง จนตาลายไปชั่วขณะ และเกือบจะหมดสติ
ลู่คงพยายามเข้าไปในศาลเ้าแม่กวนอิมราวกับถูกผีสิง แต่กลับมีกำแพงที่มองไม่เห็นขวางเขาเอาไว้ ต่อให้เขารัวหมัดใส่ บนกำแพงก็มีเพียงคลื่นพลังปรากฏขึ้นเท่านั้น ไม่ได้เสียหายเลยแม้แต่น้อย
ลู่เต้าที่เพิ่งได้สติสะบัดศีรษะ หันกลับไปยิ้มพร้อมพยายามพาชายชราออกไปอีกครั้ง “ท่านปู่ หากไม่กลับบ้าน อาหารจะเย็นชืดแล้ว ท่านปู่!”
คนจุดธูปในศาลเ้าเพิ่งทานอาหารเย็นเสร็จ เดินกลับมาที่หน้าประตูก็พบว่ามีบุรุษสองคนยื้อยุดฉุดกระชากกันอยู่ตรงหน้ารูปปั้นเ้าแม่กวนอิม เขากำลังจะผรุสวาท แต่ทันใดนั้น เขาก็หน้าซีดเผือดพร้อมกล่าวกับลู่เต้า “อาเต้า! นี่! อาเต้า!”
เมื่อลู่เต้าที่กำลังกลุ้มใจเื่ที่พาท่านปู่ไปไม่ได้ ได้ยินเสียงของคนจุดธูปในศาลเ้า จึงรีบเอ่ยขอความช่วยเหลือ“ท่านผู้ดูแล ท่านมาได้พอดี ช่วยข้าพาท่านปู่กลับบ้านที”
“อาเต้า เ้าใจเย็นๆ ก่อน” คนจุดธูปในศาลเ้าราวกับเห็นบางสิ่งที่ไม่ควรเห็น สีหน้าตื่นตระหนกพร้อมโบกมือให้ลู่เต้า “ปล่อยท่านปู่ของเ้า แล้วค่อยๆ เดินมาทางนี้”
“หมายความว่าอย่างไร” สิ้นเสียงของลู่เต้า ลู่คงก็คลั่งขึ้นมาทันที เขายังคงรัวหมัดใส่กำแพงที่ขวางเขาอยู่ ตอนแรกกำแพงมีเพียงแสงสว่างวาบขึ้นเท่านั้น
แต่เมื่อนานเข้า ก็ค่อยๆ มีรอยร้าวปรากฏขึ้น
คนจุดธูปในศาลเ้าใร้องะโ “เขาคิดจะทำลายศาลเ้าแม่กวนอิมที่คุ้มครองพวกเรา!”
เสียงดังโวยวายดึงดูดความสนใจของชาวบ้านทุกคน เมื่อพบว่ามีคนคิดจะทำลายที่พึ่งสุดท้ายของทุกคนจึงรีบเข้ามาขัดขวาง ลู่เต้าก็ถูกชาวบ้านเบียดออกไปเช่นกัน
แต่ลู่คงในยามนี้กลับมีพละกำลังมหาศาล แค่สะบัดมือทีเดียว ทุกคนล้มล้มระเนระนาดไปหลายคน สะบัดมืออีกครั้งก็ล้มลงไปอีกหลายคน ตอนที่ลู่เต้าคิดจะพุ่งเข้าไป คนจุดธูปในศาลเ้าที่เืไหลกบหน้าผากก็เข้ามาขวางเขาไว้ “ลู่เต้า! ดูดีๆ! เขาไม่ใช่ปู่ของเ้าแล้ว!”
“ล้อเล่นอะไรกัน ท่านปู่แค่…” ยังไม่ทันได้พูดจบ ก็มีหมอกสีดำจำนวนมากพวยพุ่งออกมาจากทวารทั้งเจ็ดบนใบหน้าลู่คง จากนั้นก็เข้าไปในร่างกายของคนที่ล้มลง ชาวบ้านที่ถูกสะบัดจนล้มลงก็โซซัดโซเซลุกขึ้นยืนอีกครั้งประหนึ่งศพเดินได้ ก่อนจะตบกำแพงแสงที่ปกคลุมศาลเ้ากวนอิม
เมื่อเห็นเหตุการณ์นี้ ลู่เต้าจึงกลืนคำที่คิดจะพูดลงไป ทันใดนั้นคนจุดธูปในศาลเ้าก็ยัดยันต์แผ่นหนึ่งใส่มือลู่เต้าพร้อมกำชับ “ยันต์แผ่นนี้จะปกป้องเ้าจากภูตผีปีศาจได้หนึ่งร้อยลมหายใจ จงถือมันเอาไว้แล้วหนีไปให้ไกลที่สุด!”
ลู่เต้าคิดจะพูดอะไรอีก แต่ชาวบ้านบางคนเริ่มเข้ามาใกล้พร้อมเตรียมจู่โจมคนทั้งสองที่ยังไม่ถูกกลืนกิน คนจุดธูปในศาลเ้ารีบผลักลู่เต้าออกไปพร้ะโกนเสียงดัง “หนีไป! ข้าต้านได้อีกไม่นาน!”
คนจุดธูปในศาลเ้าเป็เพียงคนธรรมดาที่ไม่ได้มีกำลังภายในเช่นเดียวกับลู่เต้า ยิ่งไปกว่านั้น เขามีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับท่านปู่ คิดจะขัดขวางชาวบ้านทุกคนนั้นย่อมเป็ไปไม่ได้
“นี่! พวกเ้า! ทางนี้ๆ!” แต่คนจุดธูปในศาลเ้าะโเสียงดังเพื่อดึงดูดความสนใจของชาวบ้าน เพื่อให้ลู่เต้าสบโอกาสหนี
เมื่อลู่เต้ามาถึงทางเข้าหมู่บ้าน ภูตผีปีศาจที่อยู่ในความมืดล้วนรู้สึกตื่นเต้นส่งเสียงอันน่าขนลุก
“มาสิ…มาทางนี้…”
“กินเขา…กินเขา…”
ลู่เต้าไม่ย่อท้อ เขากำยันต์เอาไว้แน่น ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึก
เขายังไม่สิ้นหวัง เพราะยังมีหนทางช่วยเหลือทุกคนอยู่!
สุดท้ายลู่เต้าก็ตัดสินใจก้าวเข้าไปในความมืด เป็อย่างที่คนจุดธูปในศาลเ้ากล่าวไว้จริงด้วย ไม่มีภูตผีปีศาจตนใดกล้าเข้ามาใกล้เขาเลย
ครั้งนี้เขาจะใช้มารสะกดมาร!
