คนที่มองอยู่จาก้าพูดขึ้นเบาๆพลางมองไปยังต้วนชิงิที่กำลังหันหลังเดินจากไป “เ้าเห็นหรือยัง?สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น ข่าวลือที่ว่าคุณหนูใหญ่จวนต้วนอ่อนแอยอมคนบัดนี้กลับจัดการกับน้องสาวและแม่นมไม่เบาเลยทีเดียว”
น้ำเสียงแ่เบาทว่าชัดเจนแม้จะหัวเราะทว่าไม่สามารถััความรู้สึกสนุกได้แม้แต่น้อย
“แต่นี่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าธนูชวนเย่ว์กงตกไปอยู่ในมือของนางแม้เ้าจะเห็นชายชุดดำเข้าไปในจวนต้วนและไม่ได้กลับออกมาแต่อีกฝ่ายก็ยังไม่ได้ของชิ้นนั้นไปส่วนนางที่จิตใจคับแคบย่อมไม่คู่ควรจะมีวาสนาต่อของล้ำค่าอย่างธนูชวนเย่ว์กง”คนที่ยืนอยู่ที่หน้าต่างถอนหายใจ เอ่ยขึ้นเสียงเบา
คนที่อยู่ด้านหลังเงียบไปเพียงครู่ก็พูดขึ้นอย่างหนักแน่น “จะมีวาสนาหรือไม่มีก็ตาม ตราบใดที่ธนูชวนเย่ว์กงยังอยู่ในจวนต้วนจำเป็ต้องหาวิธีใกล้ชิดกับพวกนางเพื่อเอาของกลับมา”
มีคนถอนหายใจ “อย่าพึ่งรีบร้อนไป หงซู่มาแล้วไม่ใช่หรือพวกเราแค่คอยจับตาดูอย่างลับๆ เพื่อดูว่าธนูชวนเย่ว์กงอยู่ที่ไหนส่วนจะล่อคนที่เราอยากเจอมาได้นั้น เ้าก็รู้ว่ารีบร้อนไม่ได้ ”
เวลาผ่านไป...ภายใต้ความเงียบสงบ เสียงหนึ่งเอ่ยขึ้น “เ้าพูดถูก เื่นี้จะรีบร้อนไม่ได้เช่นนั้นข้าจะคอยดูต่อไปแล้วกัน”
มีคำกล่าวถึงธนูชวนเย่ว์กงไว้ว่า ‘หากมีวาสนา แม้จะไม่มีลูกธนู ก็ยังสังหารคนได้’ ถ้าธนูชวนเย่ว์กงตกไปอยู่ในมือคนที่มีวาสนาจะมีพลังอัศจรรย์ตอนนี้ธนูอยู่ในจวนต้วน ขอเพียงรอ… จะต้องปรากฏออกมาเป็แน่
เช่นนั้นแล้วต้องคอยจับตาดูคุณหนูใหญ่จวนต้วนเพิ่มหรือไม่ ?
วันนี้ทั้งวันต้วนชิงิเดินเล่นจนดึกถึงจะกลับจวนเมื่อมาถึงกลับพบใบหน้าอันบวมปูดคล้ายโดนผึ้งต่อย อีกทั้งยังเดินกะเผลก
แม่นมเถียนเห็นต้วนชิงิก็รีบหันหลังกลับไปไม่กล้ามองหน้าต้วนชิงิไม่อยากซักไซ้ไล่เลียงกับนาง ได้แต่เรียกให้เซี่ยฉ่าวเอ๋อร์ให้ยกสำรับเข้ามา
แม่นมเถียนได้แต่กัดฟันกรอดมองตามหลังต้วนชิงิไปพลางเอามือจับหน้าที่บวมปูดและขาที่ถูกตีแทบจะหัก
วันต่อมาต้วนเจิ้งกับต้วนชิงิเดินทางผ่านมาที่เมืองหลวงหยุดลงที่หน้าจวนแห่งหนึ่ง
ประตูทาสีชาดบันไดสูงตระหง่าน หน้าประตูมีรูปปั้นสิงห์น่าเกรงขามสองตัวความน่าเกรงขามนั้นทำให้ผู้คนที่พบเห็นต่างตาลุกวาว
้าประตูมีป้ายสีแดงเขียนตัวอักษรสีทองตัวใหญ่ ‘จวนท่านแม่ทัพผู้อาจหาญ’ ตัวอักษรเขียนได้อย่างสวยงามพลิ้วไหวหรือจะเป็แผ่นป้ายที่ฮ่องเต้พระราชทาน
‘ท่านแม่ทัพผู้อาจหาญ’ ต้วนชิงิพยายามคิดทบทวนในความทรงจำ
ท่านแม่ทัพหนิงหย่วนเคยเป็หัวหน้าของกองทหารต้วนเจิ้งเชี่ยวชาญการศึกชื่อเสียงจึงเลื่องลือไปทั่วสารทิศ ทันใดนั้น...ต้วนชิงิก็จำได้ว่าตอนนางอายุสิบเอ็ดขวบชื่อเสียงของท่านแม่ทัพหนิงหย่วนดังไปทั่ว แต่เพราะคดีหนึ่งถูกตรวจสอบท่านแม่ทัพผู้อาจหาญจึงต้องไปอยู่ในคุก และไม่นานหลังจากนั้นเสียชีวิตแม้ต้วนเจิ้งและพรรคพวกจะช่วยกันสุดกำลัง ทว่าก็ไม่สามารถช่วยไว้ได้จากนั้นชื่อเสียงจวนท่านแม่ทัพผู้อาจหาญจึงค่อยๆ หายไป
เมื่อรถม้าของต้วนเจิ้งมาถึงเถี่ยเฟิงรีบลงจากรถม้านำบัตรเชิญไปยื่น
ไม่นานประตูใหญ่ด้านหน้าก็เปิดออกภายในจวนมีชายคนหนึ่งเดินออกมา อายุราวสี่สิบ รูปร่างกำยำ ผิวสีแทน ใบหน้าคมเข้มหว่างคิ้วโน้มลง ลักษณะอาจหาญที่ผ่านการสู้รบมาเป็เวลานานหลายปีเขาหัวเราะออกมาเสียงดังกังวานจนทำให้คนฟังเนื้อตัวสั่นเทิ้ม
ชาติที่แล้วต้วนชิงิเคยพบเขาครั้งหนึ่งทำให้นางรู้ว่าชายที่สง่าผ่าเผยคนนี้คือแม่ทัพผู้อาจหาญ หนิงจื้อเต๋อ!
“น้องต้วน ในที่สุดเ้าก็มาจนได้” เมื่อเห็นต้วนเจิ้งจึงรีบเข้าไปกอดพลางหัวเราะ
ต้วนเจิ้งก็หัวเราะออกมาไม่ต่างกัน หัวเราะเสียจนน้ำตาไหล “พี่หนิงไม่พบกันมานานมาก”
ทั้งสองกอดไปคุยไปเมื่อมองตากันน้ำตาของลูกผู้ชายก็ไหลออกมา
พวกเขาผ่านความเป็ความตายกันมาในสนามรบนับครั้งไม่ถ้วนต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่จนได้มิตรภาพนี้มาเรียกได้ว่าเป็พี่น้องกันและจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงไปชั่วชีวิต
ต้วนชิงิมองยิ้มๆอยู่ด้านข้าง ในใจนางรู้สึกซาบซึ้งตามไปด้วย
แค่พริบตาเดียวชายหนุ่มอายุประมาณสิบสี่สิบห้าในตอนนั้น กลายเป็แม่ทัพผู้อาจหาญในวันนี้ทั้งสองมองตากันด้วยความซาบซึ้งใจและหัวเราะขึ้นเมื่อเห็นสายตาของต้วนชิงิจ้องมองอยู่
กว่าทั้งสองจะแยกออกจากกันก็เป็เวลานานครั้นเห็นคราบน้ำตาของกันและกัน จึงพากันหัวเราะเสียงดังขึ้นมาอีกครั้ง
“ท่านพ่อท่านกับท่านอาต้วนไม่ได้พูดคุยกันเสียนานจนลืมคุณหนูต้วนแล้วกระมัง” เด็กหนุ่มพูดขึ้นพลางหัวเราะในที เดินไปแสดงความเคารพต้วนเจิ้ง “หนิงจ้งจวี่ คารวะท่านอา”
ต้วนเจิ้งรีบเข้าไปประคองแขนขึ้นส่วนต้วนชิงิก็เข้าไปแสดงความเคารพ “ชิงิคารวะท่านลุงเ้าค่ะ”
หนิงจื้อเต๋อได้ยินจึงรีบเข้าไปประคองแขนขึ้นถือโอกาสที่ต้วนชิงิเงยหน้าขึ้นยิ้มออกมา “โอ้นี่เป็บุตรีของน้องโหรวงั้นรึ? ช่างเหมือนกับแม่นางเหลือเกิน”
พอพูดถึงติงโหรวแววตาของต้วนเจิ้งดูหม่นหมองลงทันที พยักหน้าตอบรับ “ใช่แล้ว”
“ท่านลุงรู้จักท่านแม่ด้วยหรือเ้าคะ?” ต้วนชิงิยิ้ม
หนิงจื้อเต๋อยิ้ม “รู้จักสิ ทำไมจะไม่รู้จักเล่า แม่เ้าเป็น้องสาวบุญธรรมของลุงเมื่อก่อนยังไปมาหาสู่กันประจำ ตอนนั้นพ่อกับแม่ของเ้าหมั้นหมายกันแล้ว พ่อเ้ายังเคยคิดว่าลุงกับท่านแม่ของเ้าไม่ใช่แค่พี่น้องถึงขั้นเคยทะเลาะกันเสียด้วยซ้ำ”
ต้วนชิงิได้ยินก็เลิกคิ้วขึ้นเมื่อชาติที่แล้วนางไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อนว่าท่านแม่มีพี่ชายบุญธรรมทั้งยังเคยทะเลาะกับท่านพ่อด้วย
ยังไม่ทันได้ถามอะไรออกไปต้วนเจิ้งก็หน้าแดง “พี่หนิงเื่เก่าไม่ต้องไปบอกให้พวกเด็กๆ ฟังก็ได้”
“ได้ๆๆๆ ไม่พูดก็ไม่พูด” หนิงจื้อเต๋อทำเป็ใจากนั้นก็หัวเราะเสียงดังออกมาพลางดึงตัวหนิงจ้งจวี่ที่อยู่ด้านข้างมาตรงหน้าต้วนชิงิ “เห็นหรือยัง นี่คือน้องสาวเ้า รีบเรียกน้องสาวเร็วเข้า”
หนิงจ้งจวี่ไหวพริบดีมองไปยังต้วนชิงิ พูดออกมาว่า “น้องต้วน”
“สวัสดีพี่หนิง” ต้วนชิงิยิ้ม ค่อยๆย่อเข่าเล็กน้อยแสดงความเคารพ
หนิงจื้อเต๋อหัวเราะ “ชิงิ นี่เป็พี่ชายรอง ส่วนพี่ชายคนโตตอนนี้ไม่อยู่ที่จวนรอให้กลับมาแล้วค่อยเรียกเขาให้มาหาเ้า”
“ตามหลักต้องเป็ชิงิไปคารวะพี่ใหญ่ เพราะชิงิเป็น้องต้องเคารพพี่”ต้วนชิงิเอ่ยอย่างนอบน้อม
เมื่อได้ยินดังนั้นหนิงจื้อเต๋อยิ่งชอบอกชอบใจหัวเราะเสียงดังออกมาพลางชี้ไปยังบุตรชาย “ดูไว้น้องสาวของเ้าเก่งกว่าเ้าอีก”
ต้วนเจิ้งเอ่ย “พี่หนิง อย่าได้ชมชิงินัก หากยังชมอีกนางคงลอยได้แล้ว” หนิงจ้งจวี่ได้ยินดังนั้นก็พยักหน้าตอบรับเห็นด้วยทันทีทำให้ต้วนเจิ้งอดยิ้มไม่ได้
ทุกคนต่างพูดคุยกันอย่างมีความสุขพากันเดินเข้าประตูกลาง
เนื่องจากต้วนเจิ้งมีธุระที่ต้องพูดคุยกับหนิงจื้อเต๋อจึงฝากชิงิไว้กับหนิงจ้งจวี่ให้พานางไปเดินเที่ยวชมสวนดอกไม้แม้ว่าต้วนชิงิจะมาครั้งแรก แต่จวนหนิงจื้อเต๋อกลับต้อนรับนางอย่างอบอุ่นพานางไปเยี่ยมจวนหนิงทุกซอกทุกมุมครั้นเหนื่อยจนเดินต่อไม่ไหวจึงนั่งในศาลาเล็กในสวน ดื่มชาคุยกับหนิงจ้งจวี่
กว่าสองพ่อลูกจะทานอาหารกลางวันที่จวนหนิงเสร็จเวลากลับก็เป็ยามสือ[1]แล้วนางแอบเห็นสีหน้าผู้เป็บิดาไม่ค่อยจะสู้ดี เหมือนมีอะไรให้ครุ่นคิดตลอดทั้งทางจึงได้แต่มองอยู่เงียบๆ ไม่สร้างปัญหา
…...
[1]ยามสือ คือ การบอกเวลาสมัยโบราณ เวลาประมาณสิบเอ็ดโมงถึงบ่ายโมง