“ท่านแม่ แล้วที่นาของท่านยายจะทำอย่างไร?”
จางกุ้ยฮัวก็กังวลเช่นกัน “จริงสิ ซานกุ้ย ได้บอกหรือไม่ว่าจะปล่อยเช่าที่นาสิบไร่เ่าั้ออกไป?”
“ข้าบอกนายหน้าจาง เขาบอกว่าจะช่วยข้าจับตาดูมัน แต่คนในหมู่บ้านเราคง...ไกลเกินไป อีกทั้งหากการเพาะปลูกได้ผลเก็บเกี่ยวไม่ดี คนเขาจะขอเช่าโดยไม่จ่ายค่าเช่า เช่นนั้นข้าคงพูดยาก เื่นี้นายหน้าจางเป็คนตักเตือนข้า วางใจเถิด เขาบอกว่าอย่างมากสุดสองสามวันก็คงได้เื่”
ขณะที่ทั้งสองกําลังพูดคุยกัน สองพี่น้องหลิวเต้าเซียงกำลังกินเกี๊ยวอยู่ข้างๆ หลิวชิวเซียงซดน้ำแกงที่หอมกรุ่นเข้าไป นางรู้สึกว่าถึงแม้ชีวิตนับจากนี้ไปจะเป็เช่นนี้ นางก็พึงพอใจแล้ว
อยู่อย่างพอเพียง! คงเป็คำบอกกล่าวถึงคนอย่างหลิวชิวเซียง
ไม่มีการแสวงหามากนัก แต่ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข!
ไม่นานหลังจากทานอาหารเช้าเสร็จ ผู้ช่วยงานก็มา เมื่อได้กลิ่นหอมจากในบ้านก็ถามจางกุ้ยฮัวว่า ที่บ้านนั้นแอบซ่อนของอร่อยอะไรไว้
จางกุ้ยฮัวไม่ได้ปิดบังและบอกว่า เด็กๆ ไปเก็บดอกหยางไหวมาไม่น้อย ตั้งใจว่าจะทำเกี๊ยวให้ทุกคนกินตอนเที่ยง
มีชาวบ้านเพียงไม่กี่คนในหมู่บ้านสามสิบลี้ที่มีชีวิตร่ำรวย อย่างเช่น ครอบครัวหลิวฉีซื่อ ครอบครัวหลี่เจิ้ง ที่เหลือก็ลดหลั่นลงมา อย่างเช่นบ้านนายช่างเหล็กหลี่ คนขายเต้าหู้บ้านตงจื่อ
ตอนนี้มีอีกครอบครัวหนึ่งก็คือ ครอบครัวของหลิวซานกุ้ย
ป้าหลี่ซานบังเอิญถือตะกร้าใบใหญ่ที่ใส่กุยช่ายมาและยิ้ม “ข้าเดินผ่านหน้าหมู่บ้าน ได้ยินคนขายเนื้อหมูบอกว่า วันนี้บ้านเ้าเหมาหมูสามชั้นมาทำเกี๊ยว”
จางกุ้ยฮัวพูดอย่างสุภาพมาก “อย่าฟังเขาพูดสุ่มสี่สุ่มห้า ไม่ได้มากมายเพียงนั้น ก็แค่คนมาช่วยงานมากมาย หากไม่ทำของอร่อยสักหน่อย ข้าเองก็รู้สึกไม่ดี พอดีกับเขามีหมูสามชั้นที่ชิ้นไม่ใหญ่ไม่เล็ก จึงฝืนซื้อมาเพื่อให้ทุกคนได้กินสักหนึ่งมื้อ”
“ข้าได้ยินมานานแล้วว่าฝีมือการห่อเกี๊ยวของสะใภ้กุ้ยฮัวนั้นเก่งกาจมาก วันนี้ พวกข้าเองก็มีบุญปากแล้วสินะ”
“ใช่แล้ว นี่เหมือนปีใหม่ทีเดียว ทุกคนห้ามอู้งาน ทำงานให้ดี กินดีเช่นนี้ ห้ามเก็บแรงไปปรนนิบัติภรรยาตอนกลางคืนเชียว!”
......
มีเสียงหัวเราะดังกึกก้องในลานบ้าน
แม้ว่าจางกุ้ยฮัวจะอายเล็กน้อยแต่ก็ไม่อาจพูดอะไรได้ เพียงแค่ยิ้มไปด้วย ส่วนหลิวเต้าเซียงจอมไหวพริบได้ลากหลิวชิวเซียงเข้าไปต้มเกี๊ยวในห้องครัวนานแล้ว
เกี๊ยวที่ปรุงสุกแล้วต้องผ่านน้ำเย็นก่อน แล้วจึงจุ่มน้ำมันเล็กน้อยลงในจานตะแกรงขนาดเล็กเพื่อป้องกันไม่ให้เกี๊ยวเกาะติดกัน มีของบ้านพ่อครัวจางหนึ่งชุด บ้านอาจารย์กัวหนึ่งชุด ซูจื่อเยี่ยหนึ่งชุด แล้วก็หมอจ้าวอีกหนึ่งชุด
หลิวชิวเซียงวางเกี๊ยวไว้ในตะกร้าแล้วซ้อนกันอย่างดี จากนั้นเอ่ยถามหลิวเต้าเซียง “น้องรอง เ้าแบกไหวหรือ?”
ทุกคนในครอบครัวต่างหวงแหนหลิวเต้าเซียงที่ตัวผอมบาง ไม่ว่างานหนักอะไรก็ไม่ให้นางทำ
“ท่านพี่ ข้าแบกไหว ท่านวางใจเถิด!”
ถึงแบกไม่ไหวนางก็จะคิดหาวิธี ก็มีสัตว์ปีศาจศูนย์ศูนย์เจ็ดอยู่ไม่ใช่หรือ
หลิวเต้าเซียงออกไปพร้อมกับตะกร้าไม้ไผ่ขนาดเล็กและพบกับหวงเสียวหู่ที่กลางสะพาน
“พี่หูจื่อ พี่จะไปบ้านข้าหรือ?”
เนื่องจากบ้านตรงข้ามแม่น้ำมีบ้านของนางเพียงหลังเดียว!
หวงเสียวหู่ยิ้ม “ปู่ของข้าบอกว่า หากข้า้าเรียนรู้ศิลปะการต่อสู้ ข้าต้องฝึกฝนความแข็งแกร่งก่อน และขอให้ข้าช่วยท่านลุงหลิวขนย้ายก้อนหิน ข้ารู้สึกว่าท่านปู่พูดได้มีเหตุผล ดังนั้นข้าจึงมาโดยไม่ต้องเชิญ”
เขาคุ้นเคยกับสองพี่น้องเป็อย่างดี อีกทั้งยังได้เล่นด้วยกันบ่อยๆ ด้วยเหตุนี้ เวลาไปที่บ้านของนางจึงไม่ต่างจากไปบ้านตนเอง
เขาไม่ได้รู้สึกเขินอายแต่อย่างใด
“ท่านปู่หลี่เจิ้งพูดหรือ?” หลิวเต้าเซียงสงสัยว่าหลี่เจิ้งกำลังหลอกล่อเขา
ดูเหมือนว่าหวงเสียวหู่จะรู้ว่านางกําลังคิดอะไรอยู่ จึงพูดว่า “เวลาที่ท่านปู่พูดเื่จริงจัง ไม่เคยโกหกใครมาก่อน”
เ้าแน่ใจแล้วหรือ? หลิวเต้าเซียงรู้สึกว่าเด็กคนนี้ถูกหลอก
“เช่นนั้นก็ไปเถิด แม่ข้าห่อเกี๊ยวไว้ให้พวกเ้า ตอนนี้พี่ข้ากับป้าหลี่กำลังช่วยเป็ลูกมือของแม่ข้า”
“เมื่อคืนข้ากินปลาต้มดอกหยางไหว ข้าจึงรู้อยู่แล้วว่าวันนี้ตอนเที่ยงต้องมีเกี๊ยวให้กินแน่”
หลิวเต้าเซียงรีบเปลี่ยนความคิดก่อนหน้านี้ เด็กคนนี้เพียงแค่อาศัยข้ออ้างฝึกฝนเพื่อเกี๊ยวนี่เอง
“ไปเถิดๆ ข้าจะนำผ้าปักของท่านพี่ไปขายในตำบล”
ทั้งสองแยกจากกันที่สะพาน หลิวเต้าเซียงก็แบกตะกร้าเดินไปที่ตำบลอย่างเร็วรี่
จนปัญญา ่ฤดูกาลที่งานเกษตรค่อนข้างยุ่งเช่นนี้ วัวของเหล่าหวังจึงไม่ว่าง
หลิวเต้าเซียงคิดถึงเกวียนวัวของเหล่าหวังอย่างหาสิ่งใดเปรียบมิได้ และคิดว่าอีกไม่กี่วันต้องเร่งท่านพ่อให้ซื้อลากลับมา นางดูไว้แล้ว เกวียนลาของที่บ้านเริ่มทำเป็แผ่นแล้ว เหลือเพียงประกอบล้อสองข้าง
เพียงเพราะเด็กฝึกงานไม่มีทักษะ วงล้อนี้จึงยังต้องรอให้นายช่างใหญ่มาประกอบให้
จากนั้นก็คิดว่าเตียงของตนเองก็ใกล้เสร็จแล้ว แม้จะไม่ใช่เตียงซานจิ้นป๋าปู้ฉวง [1] แต่ก็มีการแกะสลักลวดลาย มองแล้วเหมือนป๋าปู้ฉวงทั่วไป เพียงแต่ส่วนประกอบหายไปสองชั้น
มันเป็เตียงป๋าปู้ฉวงที่ลดขนาดลง
.....
“นายท่าน อั้นอีส่งข่าวมาว่า คุณหนูรองหลิวกำลังแบกตะกร้ามุ่งหน้าสู่ตำบล เดาว่าคงกำลังมาส่งเกี๊ยวให้นายท่าน”
จิ้นเซี่ยวคิดอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะเอ่ยต่อ “คุณหนูรองยังเตรียมไว้ให้พ่อครัวจาง หมอหลวงจ้าวและอาจารย์กัวด้วยคนละชุด”
ในที่สุดดวงตาของซูจื่อเยี่ยก็ย้ายจากตำราไปที่ตัวจิ้นเซี่ยว น้ำเสียงเ็าดังขึ้นจากในห้องตำรา “พ่อครัวจางกับหมอหลวงจ้าว ไม่ให้!”
นำมามอบให้เขาทั้งหมดเดี๋ยวนี้!
จิ้นเซี่ยวเติมคําพูดที่ยังพูดไม่เสร็จของซูจื่อเยี่ยเองโดยทันที
เขาไม่เต็มใจจะให้คนทั้งสองกิน
ซูจื่อเยี่ยลังเลอยู่ครู่หนึ่งและพูดว่า “ส่วนกัวซิวฝาน...”
“นายท่าน คนนี้ไม่ให้ไม่ได้ กัวซิวฝานเป็ถึงอาจารย์ปฐมวัยของนายท่านหลิวนะพ่ะย่ะค่ะ”
ราชวงศ์โจวมีธรรมเนียมเฉพาะเจาะจงมากเกี่ยวกับการเคารพครู!
ใบหน้าของซูจื่อเยี่ยคาดเดาได้ยาก ในท้ายที่สุดแล้วเขาก็ลุกขึ้น โยนพู่กันออกไปด้วยความหงุดหงิดใจ พับแขนเสื้อลงและเอ่ยอย่างเ็า “ช่างเถิด!”
ถือว่ายกผลประโยชน์ให้!
จิ้นเซี่ยวกะพริบตา และแน่ใจว่าตนเองไม่ได้ตาฝาดไป เ้านายของตนทำท่าเหมือนเสียผลประโยชน์ให้แก่กัวซิวฝานอย่างใหญ่หลวง
“มิใช่คุณหนูรองห่อเอง ท่านแม่ของนางห่อพ่ะย่ะค่ะ”
ทันใดนั้นจิ้นเซี่ยวก็ตัวสั่นและพูดต่อทันทีว่า “อย่างไรก็ตาม ดอกหยางไหวนั้นคุณหนูรองเป็คนเก็บเองและล้างเองกับมือ”
แม้ว่าจะไม่ใช่ เขาก็ต้องพูดว่าใช่
จิ้นเซี่ยวอยากร้องไห้เล็กน้อย ตอนนั้นเขามาติดตามอยู่ข้างกายซูจื่อเยี่ย ได้รับการสั่งสอนมาว่าต้องจงรักภักดีต่อนาย ต้องอยู่ในเส้นทางที่ซื่อสัตย์ และห้ามทำอะไรที่ขัดแย้ง
อย่างไรก็ตาม ภายใต้ความกดดันของเ้านาย เขาต้องพูดเื่โกหกอย่างหน้าตาย
ใบหน้าของซูจื่อเยี่ยดูดีขึ้นมากจริงๆ
“ถึงแม้นางจะเก่งกาจเพียงใด แต่ก็ยังเป็เพียงเด็กสาว จะครบเครื่องรอบด้านคงเป็ไปไม่ได้!”
นี่คือกำลังแก้ตัวแทนคุณหนูรองหรือ?
น้ำตาในใจของจิ้นเซี่ยวกําลังไหลริน เ้านายของเขากำลังเดินทางผิด!
เมื่อคิดว่าในอนาคตหากท่านอ๋องรู้เข้าจะพิโรธเพียงใด จิ้นเซี่ยวรู้สึกว่าตอนนี้ตนเองกำลังนั่งเล่นอยู่ข้างกองไฟ
“ยังไม่รีบไปอีก?”
ซูจื่อเยี่ยมองไปที่จิ้นเซี่ยวที่กําลังยืนเหม่ออยู่ตรงหน้า พลันปวดศีรษะ
“กระหม่อมจะรีบไปบอกกับพ่อครัวจาง รอเมื่อคุณหนูรองออกจากบ้านกัวซิวฝาน กระหม่อมจะแกล้งทำเป็บังเอิญ...”
ซูจื่อเยี่ยเหลือบมองเขา “ลูกไม้นี้เก่าแล้ว!”
จิ้นเซี่ยวจำได้ว่าครั้งสุดท้ายที่เ้านายของเขารีบออกไป ก็พยายามแสร้งทำเป็พบคุณหนูรองผู้นี้โดยบังเอิญ
บังเอิญเจอก็บังเอิญเจอสิ แค่ลำพังคุยกันไม่กี่คำแล้วต่างคนต่างแยกย้าย
นี่ใช่การบังเอิญเจอแบบไหนกัน
“ใช่แล้ว หมอหลวงจ้าว หากคุณหนูรองหานายท่านไม่เจอ คงต้องไปหาที่หมอหลวงจ้าวเป็แน่”
จิ้นเซี่ยวไม่ใช่คนไร้สมอง เขาได้รับการฝึกฝนอย่างเข้มงวดก่อนจะถูกส่งไปรับใช้ข้างกายซูจื่อเยี่ย
เขาได้เรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่าง ยกเว้นวิธีจัดการกับหัวใจวัยแรกแย้มของเ้านาย แต่เขาไม่กล้าแอบเขียนจดหมายกลับไปถามผู้เฒ่าเ่าั้ที่จวน
เขากลัวว่าเื่ราวจะหลุดออกไป
เมื่อมีเป้าหมายและทิศทาง จิ้นเซี่ยวก็เหมือนฟื้นคืนชีวิตอีกหน
จากนั้นก็เหมือนสายลมพัดผ่าน เขาจึงวิ่งออกไปจัดการธุระ
เช่นเดียวกับที่จิ้นเซี่ยวคาดคะเนไว้ เมื่อหลิวเต้าเซียงเหยียบย่างเข้าตำบล นางก็ไปที่บ้านพ่อครัวจางและมอบเกี๊ยวที่เตรียมไว้ให้ เมื่อหลิวเต้าเซียงก้าวออกจากบ้าน เขาก็ตรงดิ่งเข้าบ้านเพื่อรับเกี๊ยวจากพ่อครัวจางแล้วออกมา จากนั้นก็รีบนำไปส่งถึงโต๊ะของซูจื่อเยี่ย
“เกี๊ยวดอกหยางไหว?”
“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมก็ไม่เคยกิน” อั้นเอ้อร์ตอบอย่างตรงไปตรงมา
“แดนเหนือไม่มีหรือ?” ซูจื่อเยี่ยเอื้อมมือออกไป หยิบหนึ่งคำแล้วใส่เข้าปากอย่างสบายใจเฉิบ ขณะที่กัดจนเปลือกแตกออก ก็รู้สึกได้ถึงกลิ่นหอมเต็มปาก
“มีมากมายพ่ะย่ะค่ะ แต่ในจวนอ๋องไม่มีผู้ใดทำ”
ซูจื่อเยี่ยแปลความหมายจากคําพูดของอั้นเอ้อร์เองโดยทันที ความหมายก็คือของสิ่งนี้ไม่เข้าตาคนสูงศักดิ์ในจวนอ๋อง
-----
เชิงอรรถ
[1] ซานจิ้นป๋าปู้ฉวง 雕栏画柱 ซานจิ้น หมายถึงทางเข้าสามชั้น ส่วนป๋าปู้ฉวงคือเตียงไม้แกะสลักลวดลายสวยงาม ดังรูป จะเป็ซานจิ้นป๋าปู้ฉวง และป๋าปู้ฉวงธรรมดา


