หากเป็เมื่อก่อน ได้ยินว่ามีคนทรยศหักหลัง นางจะต้องลากตัวคนผู้นั้นกลับมาทรมานจนตายให้ได้
เหนียงเหนียงตรงหน้านี้ แม้จะดูแล้วยังคงเป็คนรักแรงเกลียดแรงอยู่เหมือนเดิม ทว่ามองจากสายตาและบุคลิกแล้วชัดเจนยิ่งนักว่าหนักแน่นมั่นคงและมีสติกว่าเมื่อก่อนมาก
ดูไปแล้วตำหนักเย็นยังคงเป็สถานที่ขัดเกลาผู้คนที่ดีแห่งหนึ่ง ถึงกับทำให้นิสัยของคนๆ หนึ่งเปลี่ยนไปถึงเพียงนี้
“เหนียงเหนียง ระยะนี้ ท่านต้องทนรับความยากลำบากในตำหนักเย็นแล้วเพคะ”
เฟิ่งเฉี่ยนเงยหน้าขึ้นอย่างประหลาดใจ เห็นในแววตาเปี่ยมไปด้วยความรักและเมตตาประหนึ่งมารดาของนางแล้วในใจถึงกับหวั่นไหวเล็กน้อย หากมองจากอายุแล้ว ชิงเหอกูกูอายุมากกว่านางราวๆ สิบปี ทว่าเื่เสื้อผ้าอาภรณ์การกินรวมไปถึงชีวิตประจำวันล้วนเป็ชิงเหอกูกูที่เป็ผู้ดูแล ต่อให้่ระยะเวลาที่นางถูกกักตัวอยู่ในตำหนักเย็น ชิงเหอกูกูก็ไม่ได้ทรยศหักหลัง ยังคงยืนหยัดเฝ้ารออยู่ในตำหนักเว่ยยาง
คนซื่อสัตย์จงรักภักดีเช่นนี้ หาได้ยากจริงๆ
“พวกเ้าลำบากเช่นกัน” นางคลี่ยิ้มบางๆ เอ่ยขึ้นว่า “นับั้แ่วันนี้ไป พวกเ้าไม่ต้องทนถูกรังแกอีก ขอเพียงมีข้า เฟิ่งเฉี่ยน อยู่หนึ่งวัน ข้าไม่มีทางปล่อยให้ผู้ใดมาแตะต้องพวกเ้าแม้เพียงปลายก้อย!”
ชิงเหอกูกูช้อนตาขึ้นมองนางด้วยความประหลาดใจ เมื่อประสานสายตากับแววตาจริงจังของนาง พลันรู้สึกราวกับมีความร้อนวูบสายหนึ่งที่บรรยายไม่ออกเอ่อท้นอยู่ในใจ หัวใจของนางเต้นระรัว
ในวังหลวงแห่งนี้ พวกนางเป็เพียงนางกำนัลฐานะต่ำต้อย หน้าที่ของพวกนางก็คือปรนนิบัติเ้านาย ปกป้องเ้านายให้ดี แต่นี่เป็ครั้งแรกที่เ้านายพูดกับพวกนางว่าจะปกป้องพวกนาง แม้จะเป็เพียงคำพูดไม่กี่คำ ทว่าสำหรับพวกนางแล้วนั้นกลับเป็คำพูดที่มีน้ำหนักพันชั่ง เข้ามาเติมเต็มหัวใจของนาง
มีนางกำนัลคนหนึ่งวิ่งเข้ามาด้วยท่าทีลนลานในตอนนี้เอง “ทูลเหนียงเหนียง แย่แล้วเพคะ! ฉีเหม่ยเหรินมาแล้วเพคะ--”
ชิงเหอกูกูถลึงตาใส่ผู้ที่เข้ามาปราดหนึ่งพร้อมกับตำหนิติเตียน “ลนลานอันใดกัน เหนียงเหนียงประทับอยู่ที่นี่ แตกตื่นเช่นนี้ไร้ระเบียบสิ้นดี ต่อให้ฉีเหม่ยเหรินมาแล้วอย่างไรเล่า ว่ากันตามกฎของตำหนักในและบรรดาศักดิ์แล้ว หากนาง้าถวายพระพรฮองเฮา ก็ต้องยื่นเทียบก่อน หากฮองเฮามิได้เรียกตัวนางเข้าพบ นางก็ได้แต่รออยู่ด้านนอกเท่านั้น!”
เฟิ่งเฉี่ยนส่งสายตาชื่นชมไปให้ชิงเหอกูกู มิเสียแรงที่เป็คนเก่าคนแก่ในวังหลวง จิตใจมั่นคงกว่าผู้มาใหม่ “ฉีเหม่ยเหรินได้ยื่นเทียบมาก่อนหรือไม่”
นางกำนัลส่ายหน้าหวือ
เฟิ่งเฉี่ยนยกถ้วยน้ำชาที่อยู่ด้านข้างขึ้นมาจิบคำหนึ่งช้าๆ แล้วจึงเอ่ยเนิบๆ ว่า “เช่นนั้นให้นางกลับไปเขียนเทียบให้เสร็จแล้วค่อยกลับมาใหม่!”
“เพคะ” นางกำนัลถอยออกไป
เฟิ่งเฉี่ยนวางถ้วยน้ำชาแล้วลุกขึ้น “ช่วยข้าเตรียมน้ำร้อน ข้าจะชำระกายและผลัดอาภรณ์”
“เพคะ” ชิงเหอกูกูถอยออกไปเช่นกัน
ด้านนอกประตูตำหนักเว่ยยาง ฉีเหม่ยเหรินเห็นคนของตนเองถูกลงโทษให้คุกเข่าแทะเมล็ดแตงอยู่หน้าประตู ซ้ำยังมีคนกลุ่มหนึ่งคอยล้อมอยู่ด้วย นางถึงกลับหน้าเขียวทันที นางตวาดใส่ซุนกงกงและพวก “ดูซิว่าพวกเ้าทำเื่โง่เขลาอันใดลงไป ทำให้ข้าต้องอับอายขายหน้าหมดแล้ว!”
ซุนเต๋อลี่เห็นเ้านายของตนมาแล้วราวกับเห็นดาวช่วยชีวิต เขาเข้าไปกอดขาของเ้านายร้องห่มร้องไห้ “นายท่านข้าถูกใส่ร้ายพ่ะย่ะค่ะ! ฮองเฮาเหนียงเหนียงไหนเลยจะ้าลงโทษบ่าว ชัดเจนว่าเป็การตบหน้านายท่าน! ท่านต้องช่วยบ่าวนะพ่ะย่ะค่ะ เมล็ดแตงมากมายเช่นนี้บ่าวแทะไม่หมด!”
ฉีเหม่ยเหรินยกเท้าขึ้นถีบเขาออกไป “สิ่งของไร้ประโยชน์! นอกจากร้องไห้แล้วเ้ายังทำอะไรได้อีก”
มีนางกำนัลเดินออกมาจากประตูในตอนนี้ ฉีเหม่ยเหรินทำทีเหมือนจะเดินเข้าไปในด้านใน นางกำนัลขวางนางเอาไว้ “ฉีเหม่ยเหริน เหนียงเหนียงตรัสแล้ว หาก้าถวายพระพรเหนียงเหนียงต้องยื่นเทียบก่อน หากท่านไม่ได้ยื่นเทียบ ให้กลับไปเขียนเทียบแล้วค่อยมา”
ฉีเหม่ยเหรินตะลึงงันไปชั่วขณะ สักพักจึงได้สติกลับมา นางพูดด้วยโทสะ “อะไรนะ เทียบถวายพระพรหรือ”
นางกำนัลได้รับพระราชเสาวนีย์จากฮองเฮาแล้วจึงยืดอกพูดอย่างมั่นใจว่า “ใช่แล้ว ไม่มีเทียบเยี่ยม ฮองเฮาเหนียงเหนียงไม่พบทั้งสิ้น เชิญฉีเหม่ยเหรินกลับไปเถิด!”
ฉีเหม่ยเหรินโกรธจนต้องขบฟันแน่น นางกำนัลข้างกายดึงนางไปด้านข้างแล้วกระซิบกระซาบข้างหู “นายท่าน เวลานี้ฮองเฮาถูกฮ่องเต้ปล่อยตัวออกมาจากตำหนักเย็นแล้ว กำลังอยู่ใน่ของการเรืองอำนาจ ท่านจะต้องอดทนอดกลั้นให้ได้ จะปะทะกับฮองเฮาซึ่งหน้ามิได้เด็ดขาด! บ่าวได้ยินมาว่า ฮองเฮาเหนียงเหนียงเพิ่งจะไปอาละวาดที่ตำหนักยีหลัน ลงโทษฮูหยินรองสกุลเฟิ่งและโจวหมัวมัวของตำหนักยีหลันชนิดไม่ไว้หน้า ว่ากันว่าตอนนั้นฝ่าาเองก็ประทับอยู่ที่นั่นด้วย ทว่าฝ่าามิได้ขัดวาง ในทางตรงข้ามกลับสนับสนุนฮองเฮา ท่านคิดดูว่านี่หมายความอย่างไร”
ได้ยินเช่นนี้ ฉีเหม่ยเหรินที่กำลังอารมณ์พลุ่งพล่านถึงกับสงบลง นางใคร่ครวญคำพูดของนางกำนัลอย่างละเอียดถี่ถ้วน “เ้ากำลังบอกว่า ฮองเฮาเหนียงเหนียงไปอาละวาดที่ตำหนักยีหลัน ฝ่าาไม่เพียงไม่ขัดขวางแต่ยังส่งเสริมนางด้วยหรือ”
นางกำนัลพยักหน้ายืนยัน
ฉีเหม่ยเหรินส่ายหน้า “นี่เป็ไปไม่ได้! ฝ่าาไม่ถูกกับฮองเฮามาโดยตลอด อีกทั้งยังได้มีรับสั่งเป็การส่วนพระองค์ให้บิดาของข้าหาหลักฐานที่มหาเสนาบดียักยอก ฝ่าาทรงมีทีท่าชัดเจนว่า้าลงโทษสกุลเฟิ่ง เหตุใดจึงเปลี่ยนท่าทีกะทันหันเช่นนี้ ส่งเสริมให้ฮองเฮาอาละวาดหรือ ซ้ำยังปล่อยตัวนางออกมาจากตำหนักเย็นอีกด้วย ฝ่าากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่”
นางกำนัลพูดเสียงเบา “จิตใจกษัตริย์ยากจะคาดเดา ผู้ใดจะรู้ว่าในใจของฝ่าากำลังคิดสิ่งใดอยู่กันแน่ ตอนนี้ฮองเฮากำลังเป็ที่โปรดปราน พวกเราอย่าได้เป็ฝ่ายส่งเนื้อเข้าปากเสือในเวลานี้เด็ดขาดเพคะ!”
“เ้าพูดมามีเหตุผล! แต่ซุนเต๋อลี่พวกเขา...” ฉีเหม่ยเหรินหันกลับไปกวาดตามองซุนกงกงและพวก นางขมวดคิ้วแน่น “โทสะนี้ ข้ากลืนไม่ลงจริงๆ!”
ั์ตาของนางกำนัลกลอกไปมาแล้วโน้มกายเข้ามากระซิบกระซาบข้างหูฉีเหม่ยเหรินเบาๆ “ตอนนี้ผู้ที่เกลียดชังฮองเฮาในวังหลวงมิได้มีเพียงท่านคนเดียวเพคะ”
ฉีเหม่ยเหรินดวงตาเป็ประกาย “เ้าหมายถึง...องค์หญิงหลานซินหรือ”
นางกำนัลพยักหน้า “โจวหมัวมัวเป็คนที่องค์หญิงหลานซินพามาที่นี่เมื่อแต่งเข้ามา วันนี้ได้รับการดูิ่ดูแคลนถึงเพียงนี้ พวกนางย่อมไม่อาจกลืนโทสะนี้ลงไปได้ เหตุใดท่านไม่ไปเยี่ยมองค์หญิงหลานซินเล่า ศัตรูของศัตรูก็คือสหาย!”
“ลวี่หลัว มิเสียแรงที่เ้าเป็สติปัญญาของข้า!” ฉีเหม่ยเหรินมีท่าทางยินดี “ไป พวกเราไปเยี่ยมองค์หญิงหลานซิน!”
ภายในตำหนักยีหลัน มีเสียงร้องด้วยความเ็ปของโจวหมัวมัวดังออกมาไม่ขาดสาย สลับกับเสียงพูดขององค์หญิงหลานซิน
“นี่เป็ยาขี้ผึ้งที่เปิ่นกงใช้เหลือมาจากครั้งที่แล้ว สรรพคุณไม่เลวเลยทีเดียว สามวันก็ลดบวมแล้ว”
“ไอหยา ไอหยา บ่าวเจ็บแทบตายแล้ว!”
องค์หญิงหลานซินมองใบหน้าบวมเป่งราวกับหัวสุกรของโจวหมัวมัวแล้วกระหวัดคิดไปถึงเื่ที่เพิ่งประสบมา นางรู้สึกเ็ปเช่นกัน “เ้าอดทนอีกหน่อย ทนอีกหน่อยก็ผ่านไปแล้ว ฮูหยินรองผู้นั้นก็มือหนักเหลือเกิน นี่กะจะตีให้ตายเลยนี่นา!”
โจวหมัวมัวมีโทสะจนต้องร้องฮึ “นางลงมือเหี้ยมโหด บ่าวโหดกว่านางเพคะ! นางไม่มีวันสุขสบายหรอก! ไอหยา...”
องค์หญิงหลานซิน ออกแรงตบหน้านางหนึ่งครั้งด้วยความเคียดแค้นที่เหล็กไม่อาจกลายเป็เหล็กกล้าได้ “เ้าก็เหมือนกัน อายุหลายสิบปีแล้ว ไฉนจึงได้ควบคุมอารมณ์ไม่ได้ พวกเ้าสองคนตบตีกันอย่างมีความสุข คนที่เห็นเป็เื่ขันกลับเป็คนอื่น ตอนนี้คนในตำหนักในล้วนเห็นเปิ่นกงเป็เื่ขำขัน!”
“บ่าวสมควรตาย บ่าวโมโหจนเลอะเลือน! ล้วนเป็ฮองเฮาที่ออกความคิดเลวร้ายนั่นขึ้นมา เพื่อ้าให้พวกเราทั้งสองฝ่ายาเ็และพ่ายแพ้ทั้งคู่” โจวหมัวมัวเอาแต่โมโหจึงกระทบาแส่งผลให้เ็ปจนต้องร้องโอดครวญ
มีนางกำนัลเข้ามารายงานในตอนนี้ว่า “ทูลองค์หญิง ฉีเหม่ยเหรินมาขอพบเพคะ”
องค์หญิงหลานซินขมวดคิ้วแน่น “นางมาทำอันใดกัน เปิ่นกงไม่เคยไปมาหาสู่กับนางมาก่อน”
นางกำนัลพูดว่า “ฉีเหม่ยเหรินบอกว่า ตอนนี้นางกับองค์หญิงล้วนมีหัวอกเดียวกันเพคะ ไม่มีผู้ใดเข้าใจอารมณ์และความรู้สึกขององค์หญิงได้ดีไปกว่านางเพคะ”
องค์หญิงหลานซินยิ่งไม่เข้าใจ “หัวอกเดียวกัน?”
นางกำนัล “ได้ยินคนข้างนอกบอกว่า คนของฉีเหม่ยเหริน ซุนกงกง ล่วงเกินฮองเฮา ถูกฮองเฮาลงโทษให้คุกเข่าแทะเมล็ดแตงอยู่หน้าประตูตำหนักเว่ยยางเพคะ”