อยากจะค้นหาคนท่ามกลางทะเลทราย?
หัวหน้าเผ่าพื้นเมืองอายุน้อยลอบมองไปทางซ้ายทีทางขวาทีเขานั้นไม่อยากจะตอบตกลงเลยแม้แต่น้อย
ถ้าหากว่า้าจะพาหัวหน้าเผ่าคนนี้ไปด้วยแน่นอนว่าพวกเขาก็ต้องพาปาหนีไปเพื่อเป็ล่ามแปลภาษาให้หลินลั่วหรานสามารถมองออกว่า คนแรกนั้นก็ไม่ได้เต็มใจส่วนอีกคนก็เต็มไปด้วยความอึดอัด
เพื่อความปลอดภัยของเป่าเจียทำให้หลินลั่วหรานในตอนนี้ไม่ยอมประมาทเลยแม้แต่น้อยนิ้วมือทั้งห้าของเธอขยับเคลื่อนไหวก่อนมันจะรวบรวมขึ้นเป็แสงสีทองตวัดลงไปยังพื้นดินพื้นดินที่แห้งผากนั้นราวกลับถูกคนใช้มีดคมฟันลงไปมันแตกกระจายออกในทันทีโดยที่มีรอยลึกลงไปใต้ดินกว่าเจ็ดถึงแปดเมตรและนี่ก็เป็ผลที่มาจากการพยายามควบคุมอย่างตั้งใจของหลินลั่วหรานแต่มันกลับทำให้หัวหน้าเผ่าและปาหนีต่างพากันใกลัว
หัวหน้าเผ่าก้มโค้งให้กับขอบฟ้าด้วยความสั่นเทาก่อนจะรวบรวมความกล้าแล้วตอบรับคำขอของหลินลั่วหราน โดยที่เขามีคำขอเพียงแค่ข้อเดียวก็คือเธอจะต้องไม่ทำร้ายคนอื่นในเผ่าของเขา
หลินลั่วหรานนิ่งไปความจริงแล้วที่เธอแสดงความสามารถเหล่านี้ออกมาให้พวกเขาเห็นก็เพื่อจะแสดงให้พวกเขาได้รู้ว่า พวกเธอสามารถป้องกันอันตรายได้แต่ว่าท่านหัวหน้าเผ่ากลับเข้าใจผิดคิดว่ามันเป็การขู่ไปเสียแล้วหากว่าไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ที่ทำให้เธอยิ้มไม่ออกเธอก็อาจจะหัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่ได้จริงๆ
ไม่ว่าอย่างไรสุดท้ายแล้วผลลัพธ์มันก็ออกมาเหมือนกันดังนั้นหลินลั่วหรานจึงไม่ได้อธิบายอะไรออกมา
ในขณะที่เหวินกวนจิ่งนั้นกลับกำลังแสดงเป็ตัวละครตัวร้ายอยู่เขาใช้ข้อเสนอดีๆ มากมายในการตกลงกับปาหนีชายชนเผ่าพื้นเมืองแอฟริการูปร่างผอมเล็ก ใบหน้าของเขายังคงหลงเหลือความกลัวอยู่แต่ในขณะเดียวกันก็อดที่จะกลืนน้ำลายลงไปอย่างยากลำบากไม่ได้
ความกลัวและความเย้ายวนนั้นผสมปนเปเข้าด้วยกัน บางครั้งมันก็เป็ความรู้สึกที่แปลกประหลาดชนิดหนึ่ง
เห็นดังนั้น เหวินกวนจิ่งจึงหยิบรูปภาพออกมาอีกครั้งและครั้งนี้ท่านหัวหน้าเผ่าก็ไม่ได้เป็ลมล้มสลบไป แต่ว่าจากการแปลภาษาของปาหนีสิ่งที่ได้รับมา สำหรับหลินลั่วหรานแล้ว มันก็ไม่ได้ถือว่าเป็เื่ที่ดีมากนัก
ในตำนานของชนเผ่าพื้นเมืองแอฟริกานั้นรูปภาพประติมากรรมที่สลักรูปนักปราชญ์บินเข้าสู่ลำแสงเ่าั้เอาไว้ถูกค้นพบครั้งแรกเมื่อ 1000 ปีก่อนผู้คนในเผ่าพื้นเมืองจำนวนไม่น้อยต่างก็เคยพบเห็นมันแต่สิ่งที่ทำให้ท่านหัวหน้าเผ่าเกรงกลัวก็คือ เหล่าผู้คนที่สามารถเดินทางผ่านออกมาจากทะเลทรายอย่างยากลำบากพร้อมกับนำเื่ราวของกำแพงนั้นมาบอกเล่าให้กับคนอื่นต่างก็จบชีวิตลงอย่างเร็วพลันอีกทั้งตอนตายก็ยังน่าสมเพชจนไม่กล้ามอง...
คำพูดเหล่านี้เพิ่มความกดดันในใจให้กับหลินลั่วหรานอยู่ไม่น้อยหากว่าเป็เมื่อก่อนเธอคงจะไม่สนใจอะไรกับคำสาปเหล่านี้แต่ว่าั้แ่ที่เธอได้เข้ามาัักับการฝึกศาสตร์เธอก็ได้รับรู้ว่าบนโลกอันแสนธรรมดาแห่งนี้นั้นเื้ัของมันถูกปิดซ่อนไปด้วยเื่ราวลึกลับมากมายบางอย่างก็ไม่สามารถที่จะพูดหรืออธิบายอะไรให้ชัดเจนออกมาได้เลย
แต่ว่าสิ่งที่ทำให้หลินลั่วหรานและเหวินกวนจิ่งทำอะไรไม่ถูกไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่เข้าใจว่าอะไรคือ ‘คำสาป’ แต่เป็การที่หัวหน้าเผ่าบอกว่าหินแกะสลักก้อนนี้นั้น ทุกๆครั้งที่มันปรากฏขึ้นต่างก็อยู่ในสถานที่ที่ต่างกันไปแม้ว่าจะสามารถกำหนดและชี้ทิศทางไปได้ แต่ว่าถ้าหาก้าจะตามหาก้อนหินที่ดูเหมือนกันเกือบจะทั้งหมดแบบนั้นก็เป็เื่ที่ยากลำบากมากทีเดียว
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ หัวหน้าเผ่าก็หยุดคำพูดของตัวเองลงบางทีเขาก็กลัวว่าหากตัวเองเล่าเื่ทั้งหมดออกมาปีศาจทั้งสองก็อาจจะฆ่าเขาทิ้งโดยที่ไม่เห็นใจอะไรอีกหัวหน้าเผ่าคนนี้มองดูแล้วเป็คนที่ไม่น่าจะคิดอะไรมากเขาปกปิดเนื้อหาบางส่วนเอาไว้โดยที่เหวินกวนจิ่งและหลินลั่วหรานต่างก็ไม่ได้คิดถึงเลยว่าคนคนนี้จะยังกล้าเก็บอะไรเอาไว้ พวกเขาจึงไม่ได้ถามอะไรต่อ
มือทั้งสองของหลินลั่วหราน กำแน่นเข้าหากันโดยไม่ทันได้รู้ตัว
เป็เพราะเธอขอให้เป่าเจียมาที่นี่...จะต้องหาเธอให้พบให้ได้
ที่นี่เป็พื้นที่ที่เต็มไปด้วยเม็ดทรายและเศษก้อนหินภายใต้สภาพแวดล้อมที่ไร้ซึ่งแสงไฟทำให้ทั้งสี่คนนั้นเดินทางไปด้านหน้าด้วยความยากลำบาก
ฝุ่นทรายนั้นหนาแน่นมาก จนมันทำให้ลำแสงจากกระบอกไฟฉายในมือดูอ่อนแรงลงภายใต้สภาพอากาศแบบนี้แต่มันก็มากพอที่จะทำให้ปาหนีและหัวหน้าเผ่านำทางไปได้ชื่อของหัวหน้าเผ่าอายุน้อยคนนี้ เมื่อเทียบเสียงออกมาแล้วก็มีชื่อว่า ‘ย่าจี’ หลินลั่วหรานไม่ได้ถามละเอียดนักว่ามันคือตัวอักษรตัวไหน ตอนนี้ตัวของเธอในใจของย่าจีดูเหมือนว่าจะไม่ได้ต่างกับปีศาจเสียเท่าไรเวลาที่มีเื่อะไร เขาก็จะพูดกับปาหนี และไม่สนใจเธอเลยแม้แต่น้อย
“เดินมาเกือบจะสองชั่วโมงแล้ว ทุกคนหยุดพักกินน้ำกันก่อนเถอะ” หลินลั่วหรานเปิดปากเสนอออกมา ทำให้ใบหน้าของปาหนีปรากฏรอยยิ้มขึ้นมาบ้างหลินลั่วหรานหยิบขวดน้ำออกมาสี่ขวด ก่อนจะแบ่งให้คนละหนึ่งขวดเธอและเหวินกวนจิ่งต่างก็เตรียมน้ำและอาหารเอาไว้มากมายเมื่อดื่มน้ำลงไปต่างก็ทำให้รู้สึกเย็นสบายขึ้นมา จนพวกเขาดื่มน้ำลงไปกว่าครึ่งขวดแต่ปาหนีกับย่าจีกลับเข้าใจในทะเลทรายมาก พวกเขาจึงดื่มน้ำไปเพียงเล็กน้อยแล้วเก็บน้ำที่เหลือเอาไว้
เสียงดังแว่วขึ้นมาจากสถานที่ที่ไม่ไกลนักแสงไฟนั้นลอยขึ้นมาจากบนมือของเหวินกวนจิ่ง ก่อนที่มันจะะเิขึ้นบนก้อนหินที่แท้มันก็คือกิ้งก่าทะเลทรายตัวหนึ่ง
หลินลั่วหรานหลับตาลงและพยายามที่จะกระจายจิตความคิดของตัวเองออกกว้างทะเลทรายผืนนี้ช่างเต็มไปด้วยความแปลกประหลาด ยิ่งเดินเข้าไปลึกมากเท่าไรจิตความคิดของเธอก็ยิ่งถูกควบคุมมากขึ้นเท่านั้นในเวลาปกติแล้วเธอจะสามารถััได้ในระยะหลายลี้แต่เมื่อเข้ามาถึงพื้นที่ส่วนลึกของทะเลทรายแล้ว มันก็ถูกลดขอบเขตลงจนเหลือเพียงไม่ถึงพันเมตร
ยิ่งไม่ต้องพูดไปถึงเหวินกวนจิ่งเลยทีเดียวเขานั้นยังเป็เพียงนักปราชญ์ระดับฝึกลมปราณดังนั้นจึงไม่สามารถที่จะเปรียบเทียบกับคนที่มีแหล่งความคิดแปลกไปจากคนอื่นอย่างหลินลั่วหรานได้เลย
ตลอดทางที่เดินผ่านไป เธอก็มักจะใช้จิตความคิดในการตรวจสอบอยู่เสมออย่างแรกก็เพื่อป้องกันอันตรายและสองก็คือเธอกลัวว่าเธอจะสวนทางกับเป่าเจียที่หายตัวไปน่าเสียดายที่ผลลัพธ์ของมัน ก็คือไม่มีอะไรผิดปกติไปเลยแม้แต่น้อย
ครั้งนี้เองก็ไม่มีข้อยกเว้น เธอยังคงไม่ได้รับอะไรกลับมา
เมื่อเห็นว่าด้านหลังก้อนหินนั้นคือกิ้งก่าตัวหนึ่งหลินลั่วหรานและเหวินกวนจิ่งต่างก็ไม่ได้สนใจอะไรแต่ย่าจีกลับไปจับกิ้งก่าตัวนั้นมา หลังจากฆ่ามันเรียบร้อยแล้วเขาก็แขวนมันเอาไว้ที่่เอว เมื่อกลับมาเผชิญหน้ากับพวกเขาอีกครั้งก็ดูเหมือนว่าเขาจะมีความมั่นใจขึ้นมา
ปาหนีแปลออกมาให้ฟังว่า เมื่อเขามีกิ้งก่าขนาดสองฟุตตัวนี้เอาไว้เป็อาหารแล้วแม้ว่าพวกหลินลั่วหรานจะทิ้งเขาไว้เขาก็ยังมีความมั่นใจว่าจะสามารถเดินทางออกจากทะเลทรายแห่งนี้ไปได้
เมื่อเห็นว่าเพื่อนร่วมทีมนั้นไม่เชื่อใจในตัวเอง พวกเขาทั้งสองต่างก็ไม่รู้จะทำอย่างไรจึงเพียงแต่ออกคำสั่งว่าให้เดินต่อไปพายุทะเลทรายปกปิดร่องรอยของสิ่งมีชีวิตทุกอย่าง ทั้งสองเดินทางไปได้ประมาณสองชั่วโมงกว่าท้องฟ้าก็เริ่มปรากฏแสงขึ้น
สุดท้ายก็ผ่านไปแล้วคืนหนึ่ง...
ทะเลทรายในยามเช้าตรู่นั้นเต็มไปด้วยความเย็นสบายพวกเขา้าอาศัยความเย็นสบายเหล่านี้ในการตามหาสถานที่อื่นๆเมื่อคืนพวกเขาได้พบกับสถานที่มากมาย และในระหว่างทางก็ได้พบกับก้อนหินแกะสลักหากไม่ถึงร้อยก็น่าจะมีซัก 80 ก้อน ในทุกๆที่ที่มีก้อนหินเหล่านี้ ต่างก็เหมือนว่าจะทิ้ง ‘บันทึกประจำวัน’ ของพวกคนชนเผ่าโบราณเอาไว้ด้วย
จากการเล่าอธิบายของย่าจีทำให้พวกเขาได้รู้ว่าการแกะสลักฝาผนังนั้นก็เป็เหมือนกับการบันทึกชีวิตประจำวันของพวกเขาพวกเขาจะบันทึกสิ่งที่เคยเกิดขึ้นเอาไว้หลินลั่วหรานและเหวินกวนจิ่งต่างก็ได้แต่สงสัยว่า ภาพนักปราชญ์ที่บินขึ้นไปยังแสงนั้นพื้นหลังของมันคือทะเลทรายว่างเปล่าแห่งหนึ่ง...มันคือเื่ราวความลับกว่าพันปีของโลกแห่งการฝึกศาสตร์หลินลั่วหรานไม่อยากจะเชื่อว่ามันจะถูกเธอและเหวินกวนจิ่งหาพบได้ง่ายๆเธอจึงได้แต่พยายามควบคุมความคิดมากมายของตัวเองเอาไว้
เดินมาได้คืนหนึ่งแล้วหลินลั่วหรานและเหวินกวนจิ่งต่างััได้ถึงความหิวโหยมีเพียงปาหนีและย่าจีที่แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้เดินเร็วหรือช้าอะไรแต่พละกำลังของเขานั้นกลับมีอยู่มากมาย ถ้าหากว่าพวกเขานั้นไม่ใช่นักปราชญ์ในสถานที่แบบนี้ พวกเขาก็คงจะสู้อะไรพวกคนชนเผ่าแอฟริกาพวกนี้ไม่ได้เลยใช่ไหม?
อาหารเช้าก็คือเนื้อแห้งที่เหวินกวนจิ่งได้ซื้อมาทั้งสองต่างรู้สึกว่ามันแห้งผากเสียจนกลืนลงไปได้ยากจนต้องใช้น้ำมากมายในการบังคับให้กลืนมันลงไปแต่ย่าจีกลับดูเหมือนว่ากำลังทานอาหารรสเลิศ ท่าทางของเขาดูเต็มไปด้วยความจริงใจ
หลังจากทานอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทั้งสี่คนก็เดินทางต่อ
ก่อนที่ดวงอาทิตย์จะถึงจุดที่ร้อนแรงที่สุดพวกเขาก็ได้พบกับซากปรักหักพังแห่งหนึ่ง
แม้ว่าก้อนหินที่แตกหักนั้นจะถูกสายลมทะเลทรายพัดจนเปลี่ยนรูปร่างไปแต่ว่าในส่วนที่ไม่ได้ถูกผืนทรายปกปิดเอาไว้ก็สามารถเห็นได้อย่างชัดเจนกองก้อนหินทรงสี่เหลี่ยมทั้งสี่ก้อนปรากฏอยู่บนพื้น อีกทั้งเสาหินที่ระเนระนาดไปทำให้คนอดจะสงสัยไม่ได้ว่า มันคือสิ่งก่อสร้างที่เกิดขึ้นจากน้ำมืุ์หรือเปล่า
ดวงอาทิตย์นั้นสูงขึ้นเรื่อยๆ คนที่ะโโลดเต้นในตอนเช้าอย่างปาหนีและย่าจีต่างก็เริ่มที่จะหลบเข้าไปในเงาของกำแพง เพื่อที่จะฟื้นฟูพลังกายของพวกเขา
แต่หลินลั่วหรานนั้นกลับตัดสินใจว่า จะตรวจสอบที่นี่สักครั้ง
พวกเขาแบ่งงานกันเหมือนกับตอนที่อยู่ในราชวังเธอและเหวินกวนจิ่งต่างก็พากันเดินดูไปโดยรอบซากปรักหักพังอย่างละเอียดสิ่งที่ทำให้ทั้งสองต้องผิดหวังก็คือ พวกเขาไม่ได้รับอะไรกลับมาเลย
ปาหนีที่หลบอยู่ที่บริเวณเงาเขามองไปยังคนทางตะวันออกที่เดินหมุนสลับกันเป็วงกลมพร้อมทั้งคำนวณการรับและการเสียของครั้งนี้คนทางตะวันออกทั้งสองคนนี้ไม่เพียงแต่ร่ำรวย แต่ก็ยังมีอำนาจมากด้วยเขาได้แต่ลังเลว่าหลังจากกลับไปแล้วจะสามารถขอรางวัลเพิ่มขึ้นได้หรือเปล่าย่าจีกำลังพูดบ่นพึมพำกับตัวเองอยู่คนเดียวส่วนมากก็คือกำลังบ่นว่าปาหนีนั้นนำพาความลำบากมาให้กับเขา
ปาหนีไม่ได้สนใจอะไรเขานัก เขาเพียงแค่จับเอาก้อนหินที่อยู่บนพื้นก้อนหนึ่งขึ้นมาเมื่อเห็นว่าก้อนหินนั้นถูกลมกัดกร่อนจนกลายเป็รูเล็กๆปาหนีก็นำก้อนหินก้อนนั้นมาวางไว้ที่ข้างปาก
ก่อนที่เสียงเบาๆ จะดังขึ้นมา หลังจากพยายามทดลองโทนเสียงแล้วปาหนีก็ใช้ก้อนหินก้อนนั้นเป่าออกมาเป็ทำนองเพลงขาดๆ หายๆ
ย่าจีนั้นสงบลงมาก หลินลั่วหรานและเหวินกวนจิ่งต่างก็รู้สึกสบายใจขึ้นมา
ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่ทันได้สังเกตว่าดวงตาของย่าจีที่ฟุบลงไปเปลี่ยนสีไปแล้ว ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยเส้นเืสีแดง...
“รุ่นพี่หลิน การหาช้าๆ แบบนี้ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ช่วยอะไรความเร็วของพวกเราช้าเกินไปแล้ว... ถ้าเราใช้ดาบตามหาดูจะดีกว่าหรือเปล่า?”
เหวินกวนจิ่งขมวดคิ้วเข้าหากัน พร้อมกับเสนอออกมาแต่เขากลับได้รับการปฏิเสธของหลินลั่วหรานกลับมาอย่างไม่ทันคาดคิด
“แม้ว่าการควบคุมดาบจะรวดเร็ว แต่เพราะว่าเร็วเกินไปจึงทำให้อาจจะพลาดร่องรอยของเป่าเจียหรือร่องรอยของภาพจิตรกรรมฝาผนังไปได้” หลินลั่วหรานรู้สึกดีใจขึ้นมาที่ก่อนหน้านี้เธอนำเอาถุงจักรวาลให้กับเป่าเจียไป หากมีถุงนั่นอยู่ด้วยด้านในนั้นบรรจุอาหารและน้ำดื่มเอาไว้มากพอที่จะให้เป่าเจียอาศัยอยู่ในทะเลทรายได้ยาวนานอย่างน้อยตอนนี้ก็ไม่น่าจะมีภัยอันตรายอะไรอย่างอื่น
เหวินกวนจิ่งก็ไม่พูดอะไรมากอีกต่อไปทั้งสองต่างก็ไม่มีทางรู้ว่าจะได้พบกับอะไรในทะเลทรายที่แปลกประหลาดแห่งนี้เดินเท้าเอาก็ดี อย่างน้อยก็ได้ประหยัดพลังเอาไว้
เขายื่นขวดน้ำให้กับเธอ ก่อนที่หลินว่าหลานจะส่ายหน้าไปมาในตอนที่เธอกำลังจะพูดอะไรสักอย่าง ก็ได้ยินเสียงร้องโอดโอยขึ้นมาเมื่อหันหน้ากลับไปมองก็พบว่า มือข้างหนึ่งของปาหนีกำลังบีบเข้าที่คอของย่าจีในมือของเขานั้นยังคงถือก้อนหินที่ใช้เป่าดนตรีอยู่ มันเต็มไปด้วยรอยเื
“ปาหนี นายทำอะไรน่ะ?” หลินลั่วหรานใช้พลังแรงลมทำให้พวกเขาทั้งสองคนกระเด็นออกจากกัน
เหวินกวนจิ่งจึงรีบพุ่งเข้าไปจับตัวของปาหนีเอาไว้แต่ย่าจีกลับพุ่งเข้ามาเพื่อที่จะโจมตีเขา เขาขยับเท้าขึ้นอย่างว่องไวแล้วถีบเอาร่างเล็กของย่าจีกระเด็นออกไป แต่ย่าจีนั้นกลับยังไม่ล้มเลิกความตั้งใจทั้งสองนั้นต่างก็เปลี่ยนเป้าหมาย และร่วมมือการโจมตีมาที่เหวินกวนจิ่งแทน
ทั้งสองคนนี้ไม่เพียงเป็แค่คนธรรมดา แต่ยังเป็ผู้นำทางของพวกเขาด้วยดังนั้นจึงไม่สามารถที่จะทำร้ายอะไรพวกเขาได้เป็เหวินกวนจิ่งเองก็ไม่อยากจะลงมือรุนแรงอะไร เขาจึงได้แต่ค่อยๆ ปล่อยไฟจริงๆออกมา
เขารู้สึกได้เพียงแค่ว่าในใจของเขาเต็มไปด้วยความโหดร้ายรู้สึกว่าร่างเล็กทั้งสองที่อยู่ตรงหน้าเขา ต่างก็เหมือนกับคนธรรมดาไร้กำลังที่สามารถฉีกทำลายให้แหลกละเอียดได้...
ลมแรงนั้นพัดผ่านไป ที่แท้มันก็คือหลินลั่วหรานที่ใช้เชือกน้ำพันรัดตัวของทั้งสองที่กำลังบ้าคลั่งเอาไว้ในใจของเหวินกวนจิ่งนั้นโมโหขึ้นมาความโมโหที่ไร้เหตุผลในใจของเหวินกวนจิ่งนั้นลดลงไปได้มากเมื่อได้ยินเสียงหลินลั่วหรานพูดขึ้นมาอย่างหนักแน่น
“นายดูที่ดวงตาของพวกเขาสิ!”
คนที่ถูกเชือกน้ำรัดกุมตัวเอาไว้อย่างปาหนีและย่าจีดวงตาของพวกเขานั้นแดงก่ำและพวกเขาก็กำลังใช้สายตาที่เต็มไปด้วยความเคียดแค้นจ้องมองมายังเขาทั้งสองคนแม้แต่คนที่มีจิตใจมั่นคงอย่างเหวินกวนจิ่งก็ยังถูกคนทั้งสองที่บ้าขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุทำเอาโมโหขึ้นมาไม่น้อย
หลินลั่วหรานนิ่งไปสักพัก “ตาของนาย...”
เธอพบว่าในแววตาของเหวินกวนจิ่งนั้นไม่รู้ว่าเต็มไปด้วยเส้นเืั้แ่เมื่อไรและมันก็กำลังจะขยายออกกว้างไปทั่วตาขาวของเขา
ไม่ดีแล้ว! เกรงว่าที่นี่จะแปลกประหลาดเกินไป! หลินลั่วหรานพยายามที่จะลากพวกเขาออกไปจากซากปรักหักพังที่เงียบสงบไร้สิ่งแปลกประหลาดอย่างที่นี่แต่อยู่ๆ เม็ดทรายต่างก็ปลิวว่อน และก่อให้เกิดเื่ราวประหลาดขึ้น...
