แสงกระบี่เช่นนี้ มองทีไรก็ช่างจืดจางไร้ความอัศจรรย์ แต่กลับทำลายมือั์ไอปีศาจสะพรึงฟ้าของเยี่ยนปู้หุยลงได้
แสงกระบี่เดียว ทำให้ทั้งด่านโยวเยี่ยนคล้ายกับว่าโชติ่ชัชวาลขึ้นมา
เหล่าเรือเหาะอักขระที่ถูกมือั์ไอปีศาจสั่นะเืจนอลหม่านค่อยๆ คงสภาพดังเดิม ใต้การนำของแม่ทัพผู้นำ เรือเหาะจึงล่าถอยด้วยความเร็วอย่างเป็ระเบียบ
เรือเหาะที่ล่มลงหมดแล้วได้รับการช่วยเหลือทันท่วงที
กลางอากาศ
เยี่ยนปู้หุยไม่ลงไม้ลงมือกับผู้อ่อนแออีกต่อไป
เขามองไปยังสำนักเ้าด่านที่ห่างไกลออกไป ใบหน้าระบายยิ้มน่าประหลาด “ฮึๆ ลู่เฉาเกอ ออกมาแล้วใช่ไหม? ข้านึกว่าเ้าจะกลัวจนขี้เยี่ยวราดเสียอีก ฮึๆ”
ในคำพูดนั้นมีความเหยียดหยามและท้าทายอย่างที่สุดอยู่ด้วย
เป็ครั้งแรกในรอบสิบเอ็ดปีที่มีใครกล้าใช้วาจาเช่นนี้พูดคุยกับเทพาโยวเยี่ยนลู่เฉาเกอ
บัดนี้ ด่านโยวเยี่ยนทั้งเบื้องบนและเบื้องล่าง ไม่รู้ว่ามีกี่คนที่ตกอยู่ในสภาพที่อวลด้วยโทสะ พวกเขาอยากจะกระโจนขึ้นไปกัดเ้าสามหาวที่กล้าดูิ่เทพเ้าของด่านโยวเยี่ยนให้ขาดทีละชิ้นๆ ให้มันแหลกเละเป็ผุยผง
ทุกคนรอการปรากฏตัวของเทพโยวเยี่ยน เพื่อสังหารเ้าชั่วช้านี่ให้สิ้นชื่อเสีย
แต่เสียงตอบรับจากใต้หล้า กลับเป็เพียงเสียงถอนหายใจเท่านั้น
...
...
“นี่หรือพลังของกองทัพ?”
บนซากปรักหักพังของอาคารสูงที่ห่างออกไปห้าหกพันเมตร มีสาวกพรรคจื่อเวยอย่างเหว่ยเทียนิเบิกตาค้างอยู่
เหล่าศิษย์พี่ศิษย์น้องด้านหลังเขาล้วนตาโตอ้าปากค้างด้วยความตะลึงสุดขีด
เหลียงเฉวียนอาจารย์อาผู้แขนขาดนั่งหน้าเหลืองอยู่บนโขดหินใกล้กัน
เขาพันผ้าพันแผลไว้เรียบร้อยแล้ว
สำหรับยอดฝีมืออาณาน้ำพุิญญานั้น แผลแขนขาดนับได้ว่าสาหัสมาก มีเพียงผู้แข็งแกร่งอาณาทะลระทมเท่านั้นที่จะสร้างแขนที่ขาดไปขึ้นมาใหม่ได้ นักยุทธ์อาณาน้ำพุิญญาทำได้แค่เก็บแขนขึ้นมาต่อเท่านั้น แต่แขนข้างนั้นที่เหลียงเฉวียนตัดทิ้งไปได้ถูกพิษร้ายของปีศาจกิ้งก่าขาวเข้าเต็มรัก กลายเป็น้ำเหลืองไปแล้ว ดังนั้นเขาถึงไม่มีทางต่อมันติดได้อีกแล้ว
หนทางที่ดีที่สุดคือหาปรมาจารย์หลอมอักขระสักคนสร้างแขนเหล็กขึ้นมา
แน่นอนว่าแขนโลหะนั้นไม่อาจมีชีวิตชีวาเทียบเท่าเืเนื้อของร่างกายจริงๆ
ร่างกายพิการ สำหรับนักยุทธ์แล้วคือเื่ที่โชคร้ายอย่างสุดซึ้ง หมายความถึงว่าหาก้าก้าวไปข้างหน้าอีกขั้นย่อมจะยากเย็นแสนเข็ญ เส้นทางสายยุทธ์ย่อมมีอุปสรรคขนาดใหญ่กีดขวาง คิดจะใช้ร่างกายไม่สมบูรณ์สืบเสาะหาเส้นทาง์นั้นย่อมต้องลำบากยิ่งกว่ากายเนื้อสมบูรณ์แข็งแรงอยู่แล้ว
ดังนั้นตอนนี้ จิตใจของเหลียงเฉวียนจึงไม่สู้ดีนัก
แต่เขายังคงถูกการต่อสู้ดั่งตำนานของเทพมารผู้นั้นดึงดูดใจเขาอย่างจัง
พรรคจื่อเวยเป็พรรคชั้นสูงสุดของอาณาจักรเสวี่ย ผู้แข็งแกร่งขั้นสุดยอดในพรรคก็ใช่ว่าจะน้อย แต่เมื่อถึงขั้นนั้นแล้ว บวกกับจิตใจที่ฝึกฝนจนละเอียดลึกซึ้ง ส่วนมากจะออกศึกน้อยครั้ง ดังนั้นเขาที่ถึงแม้จะเป็ผู้าุโในพรรคมาสามสิบปีเต็ม เหลียงเฉวียนก็ไม่เคยได้เห็นการต่อสู้ระดับนี้มาก่อนเลย
“หลายปีมานี้ พรรคถูกทหารควบคุม มิใช่ว่าไร้เหตุผล คนอื่นไม่พูด แต่แม่ทัพใหญ่สองคนนั้นความจริงแล้วล้วนน่าครั่นคร้ามทั้งสิ้น ในพรรคจื่อเวยเองก็มีผู้าุโศูนย์รวมจิตใจของพรรค อาจเป็ต้นกล้ายุคหลังไม่กี่คนนั่นเท่านั้นที่จะเป็คู่ต่อสู้ให้ได้ แต่แค่ตอนนี้ถูกเพลิงชั่วช้าของคนปีศาจตนนั้นกดดันไม่ให้ใช้พลังออกมาเท่านั้นเอง...”
เหลียงเฉวียนครุ่นคิดในใจ
จากอาณาที่ทหารด่านโยวเยี่ยนแสดงออกเมื่อครู่นี้ มันเกิดขอบเขตที่สมองเขาจะวัดระดับได้แล้ว
คนหลายหมื่นในพรรคจื่อเวย หากจะมีสักคนที่เข้าถึงระดับนั้นได้ คงหายากและล้ำค่าเสียยิ่งกว่าสิ่งใดทั้งหมด
“ศาสตราวุธของอาณาจักรก็คือศาสตราวุธของอาณาจักรจริงแท้ เมื่อทำงานขึ้นมา ทั้งละเอียดแม่นยำและน่ากลัว...พรรคแม้จะมีความลึกซึ้งและสืบทอดกันมายาวนานกว่าอาณาจักร ทว่าเื่ความสามารถในการจัดการ ค่าเฉลี่ยความสำเร็จ และกำลังคนกำลังทรัพย์นั้น ช่างห่างกันไกลราวฟ้ากับดิน” เหลียงเฉวียนตริตรองพลางมองเหล่าลูกศิษย์ที่ยืนนิ่งค้างตาถลนอยู่ เขาส่ายหน้าแ่เบา
ศิษย์รุ่นนี้เกือบจะถูกความโอ๋และตามใจจากพรรคทำเสียคนเสียแล้ว
พวกเขาไม่เคยผ่านประสบการณ์เลวร้าย วันๆ ได้ยินแต่เสียงชื่นชมพรรคจื่อเวยอย่างสวยหรู เวลาออกท่องยุทธภพ เพียงได้ยินนามพรรคจื่อเวยเท่านั้น คนอื่นจะยอมยกมือแล้วไม่เป็ปรปักษ์กับพวกเขาอย่างเด็ดขาด นานแสนนาน จนนึกว่าพรรคจื่อเวยไร้ศัตรูใดในใต้หล้าเข้าจริงๆ บวกกับความอะลุ่มอล่วยที่อาณาจักรมีให้แก่พรรค สาวกพรรคจึงหลงคิดว่าตนเป็บุตรแห่งชั้นฟ้าตัวจริงไป
หากเป็ยุคสงบสุข สภาพเช่นนี้ก็ไม่เป็ไรหรอก
แต่เหลียงเฉวียนค่อยๆ รู้สึกได้ ว่าภพอันวุ่นวายใกล้เยื้องกรายมาถึงแล้ว
ตำแหน่งและพลังของเขามีความคิดเช่นนี้ด้วยกันทั้งนั้น ผู้าุโชั้นสูงและประมุขพรรคจื่อเวย ได้รับฉายาว่ามองทะลุน่านฟ้า สังเกตการณ์ใต้หล้า ย่อมจะรู้ได้โดยธรรมชาติ น่ากลัวว่าบางทีอาจจัดการกงการไปแล้วก็เป็ได้
คราวนี้ พรรคส่งเขาและหนุ่มสาวกลุ่มนี้มาเพื่อตอบรับราชโองการของอาณาจักร หน่วงเหนี่ยวด่านโยวเยี่ยน หรือบางทีอาจทำตามแผนการบางอย่าง
แต่ว่า...
เหลียงเฉวียนส่ายหน้า
หากให้พึ่งเด็กกลุ่มนี้ ต้นกล้าในห้องปิดอบอุ่น จะมีประโยชน์อันใดกันเล่า?
เหลียงเฉวียนนึกย้อนไปถึงถ้อยคำที่เปี่ยมความหมายของผู้าุโในหอวินัยก่อนจากพรรคมา เขายังคงไม่อาจจับใจความของคำพวกนั้นได้เช่นเดิม
ตอนที่เขากำลังจะปิดเปลือกตาแล้วรักษาอาการตนเองนั้นเอง เขาพลันรู้สึกถึงความร้อนในอกตนเอง
เหลียงเฉวียนใ เขาพลิกมือคว้าแผ่นหยกแดงเข้มออกมาจากอก
ริ้วลายสีสันทั้งห้าบนแผ่นหยกนั้นกลายเป็ตัวอักษรแถวหนึ่ง พราวระยับแล้วก็หายไป
“เอ๊ะ? หลี่ชิวฉุ่ยจะมาด่านโยวเยี่ยนหรือ?”
เมื่อเห็นเนื้อหาแล้ว เหลียงเฉวียนพลันะเืใจอย่างหนัก
หนึ่งในสามอัจฉริยะอายุน้อยของพรรคจื่อเวย หลี่ชิวชุ่ยผู้ได้ฉายานามว่าดาบปลิดฟ้า ก่อนหน้านี้สิบปีก็เป็ที่รู้กันดีว่าคืออัจฉริยะบันลือภพคนหนึ่งของพรรคจื่อเวย พลังลึกล้ำไม่อาจวัดค่า เป็บุรุษที่ติดอันดับหนึ่งในสิบของพรรคทั้งอาณาจักร หลายปีมานี้ได้ยินข่าวมาว่าเขาเก็บตัวตลอดมา ตอนนี้กลับจะมาด่านโยวเยี่ยนงั้นหรือ?
“เื่ชักจะอัศจรรย์ขึ้นทุกทีแล้ว”
เหลียงเฉวียนถอนหายใจเงียบๆ
คำนวณเวลาแล้ว น่ากลัวว่าอีกสองชั่วยาม แนวหน้าวัยหนุ่มของพรรคจื่อเวยผู้นี้คงมาถึงที่แห่งนี้แล้วกระมัง
...
...
“เฮ้อ”
ทิศทางสำนักเ้าด่าน มีเสียงถอนหายใจยาวเหยียดดังแว่วมา
เสียงยังไม่ทันหยุดลง
ร่างของลู่เฉาเกอ เทพาโยวเยี่ยนก็ได้ปรากฏอยู่ตรงหน้าหลิวสุยเฟิงและเผิงอี้เจินเป็ที่เรียบร้อย
ไม่มีใครรู้ว่าเขาไปอยู่ที่แห่งนั้นได้อย่างไร
เหมือนกับว่าเขาอยู่ตรงนั้นมาั้แ่เริ่มอย่างไรอย่างนั้น
บัดนั้น แววตาศรัทธานับไม่ถ้วนเหมือนสาวกผู้ศรัทธาอย่างคลั่งไคล้มองศาสดาของตัวเอง มองเทพเ้าแห่งกองทัพโยวเยี่ยน มวลเมฆในใต้หล้าราวกับจะโคจรล้อมรอบกายเขา
ลู่เฉาเกอ บุคคลผู้เป็ตำนาน
ตำนานที่ถูกเล่าขานในเื่ปรัมปราและเื่ราวนับไม่ถ้วน
สำหรับรูปลักษณ์ลักษณะของลู่เฉาเกอนั้น มีคนกล่าวถึงแตกต่างกันมากมาย บ้างก็ว่าร่างกายกำยำแข็งแกร่งประหนึ่งเทพ์ มีคนบอกว่าเขาเป็บัณฑิตหล่อเหลาราวกับหยกสลัก บ้างก็ว่าเขาสามเศียรหกกร ที่พิสดารหน่อยก็ว่าเขาเป็หญิงงามล้ำแห่งภพไทวะ...
แต่ความจริงแล้ว เขาเป็เพียงชายชราแสนธรรมดาเท่านั้น
สวมอาภรณ์ยาวเนื้อหยาบ ผมสีดอกเลา ตัวไม่สูง หลังงอเล็กน้อย หน้าตาธรรมดานัก
นี่คือลู่เฉาเกอ
แต่ใบหน้าเช่นนี้ เมื่อยืนอยู่ตรงหน้าหลิวสุยเฟิงและเผิงอี้เจิน ณ กลางอากาศ กลับเป็เพียงยอดเขาที่ไม่มีใครปีนป่ายมันได้ไปชั่วนิรันดร์ ให้ความรู้สึกปลอดภัยที่ยากจะอธิบายแก่ทุกผู้ที่ได้มอง
กระทั่งเยี่ยนปู้หุยที่เพลิงอารมณ์แผดเผาพิภพยังเงียบงันลงมาบ้างอย่างช่วยไม่ได้เมื่อได้เห็นลู่เฉาเกอ
เสียงทอดถอนใจจากบนฟ้านั้น เหมือนมีอำนาจทำให้คนทุกคนจมจ่อมอยู่กับความเสียใจและอาดูร มีความสามารถในการกระทบจิตใจคน ทำให้ใต้หล้าเงียบงันไปชั่วขณะจิต
สองตาของลู่เฉาเกอราวกับทะเลลึก มีพลังที่ทำให้ิญญาคนดิ่งลึก ฉาดฉายแววแห่งผู้ผ่านโลกมามากและสติปัญญา
“มาทำไมอีกเล่า?” ลู่เฉาเกอมองเยี่ยนปู้หุยแล้วถอนหายใจยืดยาว
ท่าทีของเยี่ยนปู้หุยเหมือนเพิ่งถูกปลุกจากภวังค์ มุมปากยกขึ้นเป็รอยยิ้มเย็นเยียบ “ยังจะถามอีกหรือ? ฮึๆ ฮึๆๆ ก็มาเพื่อ...ฆ่าเ้าไง”
“เ้าไม่ควรมา” ลู่เฉาเกอตอบอย่างสงบ “นี่มันแค่การส่งมาตายเท่านั้น”
“โอ๊ะๆ น้ำเสียงเช่นนี้ข้าเข้าใจดี เ้ากำลังเป็กังวลแทนข้าใช่ไหม?” เยี่ยนปู้หุยหัวเราะร่าอย่างเย้ยหยัน “หนึ่งเดือนก่อนนี้ คนที่มุ่งหวังจะฆ่าข้าก็คือเ้า วันนี้คนที่แนะไม่ให้ข้ามาก็เป็เ้าอีก เ้าแก่ลู่เอ๊ย หลายปีผ่านไปถึงเพียงนี้ เ้ายังเสแสร้งเป็ใจดี เสแสร้งทำเป็สงสาร”
เมื่อคำนี้เอ่ยออกมา หลิวสุยเฟิง เผิงอี้เจินและผู้แข็งแกร่งขั้นสุดยอดทุกคนล้วนโกรธขึ้ง
ไม่มีใครกล้าไม่เคารพเทพทัพโยวเยี่ยนเช่นนี้มาก่อน
แต่สีหน้าของลู่เฉาเกอยังอยู่คงเดิม เขาเปรย “เ้าควรรู้อยู่แล้ว ว่าคราวก่อนที่ล้อมฆ่าเ้านั้น ข้าปรานีเ้า เ้าถึงยังมีชีวิตอยู่รอด”
เอ่ยไม่ทันขาดคำ
คนรอบด้านหน้าเปลี่ยนสี
อะไรนะ?
คราวก่อนใต้เท้าลู่เฉาเกอปรานีงั้นหรือ?
บนพื้นดิน
เ่ิูได้ยินคำนั้นแล้วก็ใเช่นกัน
กองทัพสู้อุตส่าห์วางแผนการมานานนับวันไม่ถ้วน ใช้เืเนื้อแรงกายของคนมากมายถึงกลายเป็แผนการสังหารครั้งนี้ได้ เพื่อประหัตปะาเยี่ยนปู้หุย แต่ลู่เฉาเกอกลับออกปากยอมรับตอนนี้ ว่ายุทธการที่พ่ายแพ้ในครานั้น มิใช่เพราะปัญหาจากการวางแผน แต่เป็เพราะผู้ดำเนินการเฉกเช่นเขา ปล่อยศัตรูไปตอนคับขันต่างหาก...
นี่มัน หลอกหลวง
หากเป็คนอื่นเอ่ย น่ากลัวว่าคงได้ตรึงหมวกผู้ทรยศอาณาจักรลงบนหัว แล้วไม่อาจพลิกฟื้นตัวขึ้นมาได้อีกเลย
แต่นี่ คนที่พูดออกมาคือลู่เฉาเกอ
ดังนั้นคนรอบด้านจึงทำได้เพียงะเือารมณ์เท่านั้น ไม่มีใครกล้าพูดอะไร
ลู่เฉาเกอกล้ายอมรับออกมาเอง ย่อมหมายความว่าเขาไม่กลัวว่าใครจะเอาคำพูดนี้ไปรายงานอยู่แล้ว
“อ้อ จริงหรือ? ปรานีหรือนี่?” เยี่ยนปู้หุยหัวเราะถากถาง เขาว่า “เืเย็นเยี่ยงเ้า มิใช่ใครต่อใครก็บอกว่าเ้าทำเพื่อส่วนรวมเป็หลักหรอกหรือ? ฆ่าข้าสิถึงจะเป็ประโยชน์ครั้งยิ่งใหญ่ ทำไมถึงหยุดมือเสียเล่า? ทำไม รู้สึกผิดหรือไง?”
เมื่อเขาเอ่ยประโยคนี้ ใบหน้าของลู่เฉาเกอมีแววเ็ปแลบแล่นและหายไปในชั่วแวบ
เขาระลึกถึงบางสิ่งอย่างแน่นอน
“ถูกแล้ว ข้ารู้สึกผิดบาป” ลู่เฉาเกอพยักหน้ารับอย่างมั่นคง “เื่เมื่อคราวนั้น บางทีข้าอาจผิดเอง”
เยี่ยนปู้หุยได้ยินแล้วก็ชะงัก
ใบหน้าของคนโฉดเหมือนจะอ่อนลงเล็กน้อย ฉับพลันก็แทนที่ด้วยความอำมหิตโเี้ เขาหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง “ฮ่าๆๆ ใช่ไหมเล่า? บางที...เอาเถอะ ถึงจะมีคำว่าบางที แต่ฟังแล้วก็เป็ภาษาคนอยู่ แต่ประโยคนี้เ้าเพิ่งพูดเอาป่านนี้ ไม่รู้สึกว่ามันสายเกินไปหน่อยหรือ? ตอนนั้นที่อาเหิงตาย เ้าพูดอย่างไรเล่า? ตอนนี้พูดเช่นนี้มีประโยชน์อะไร? ั้แ่ตอนนั้นจนถึงบัดนี้ ข้ายังจดจำใบหน้าเืเย็นของเ้าได้ ข้าถึงให้สัตย์สาบาน ว่าถึงแม้ต้องใช้เวลาชั่วชีวิตนี้ ข้าก็จะฆ่าเ้าให้จงได้”
คำพูดของเขามีความเกลียดชังฝังลึกถึงกระดูกดำ
แม้ว่าจะห่างไกลกันเหลือเกิน แต่เ่ิูเหมือนรู้สึกถึงโทสะและความสิ้นหวังในใจเยี่ยนปู้หุยได้ชัดเจนยิ่งยวด
ผู้แปลจะลงอย่างน้อยวันละ 2 ตอนนะคะ ถ้ามากกว่านั้นคือของแถมไม่ก็ผู้แปลคึกเนอะ ขอบคุณที่ติดตามกันจ้า