ลูกศิษย์ปีศาจงู
อวี๋มู่นั่งเหม่อลอยอยู่ในห้วงมิติสีขาว โดยที่ระบบไม่กล้ารบกวนเขา
จากข้อมูลที่เห็น ตอนนี้สติสัมปชัญญะของอวี๋มู่ยังไม่นิ่ง แทบจะเรียกว่าแตกสลายก็ว่าได้
ระบบไม่คิดว่าโลกนี้จะส่งผลต่ออวี๋มู่ใหญ่หลวงถึงเพียงนี้
เขานึกถึงชายหนุ่มที่กอดร่างไร้ิญญาของเฟิงอวี้และร่ำไห้จนแทบลุกตัวตรงไม่ได้ จู่ๆ ระบบก็เริ่มสงสัยว่าสิ่งที่ตัวเองทำอยู่ตอนนี้มันถูกต้องหรือเปล่า
นี่แค่โลกที่สาม หากเป็เช่นนี้ต่อไป อวี๋มู่ที่มีนิสัยให้ความสำคัญกับความรู้สึก คงต้องถูกบีบจนเป็บ้าแน่
เวลาผ่านไปสักพัก ในที่สุดอวี๋มู่ก็เก็บอารมณ์ได้ เพียงแต่ไหล่นั้นยังตกเหมือนเดิม เขาเอ่ยกับระบบด้วยเสียงแหบพร่า: เ้าระบบ ฉันเริ่มเหนื่อยแล้ว
เขาเอ่ย: ฉันพบว่าพวกตัววายร้ายมักจะเอาความรักเป็ทั้งหมดของชีวิตพวกเขา วิปริตขั้นสุด เพราะไม่อาจได้มาถึงกับถอดใจกับชีวิตของตัวเองอย่างง่ายดาย หากว่าตัววายร้ายอีกสองโลกที่เหลือยังคงมีลักษณะนิสัยเช่นนี้ เห็นทีจุดจบของเื่ก็คงถูกกำหนดให้ลงเอยด้วยความโศกเศร้าอยู่ดี
อวี๋มู่ใช้มือกุมหน้าผาก แล้วเอ่ยต่อ: แต่ว่านะ เ้าระบบ นายก็น่าจะรู้ ว่าคนเราชั่วชีวิตไม่ได้มีเพียงความรัก ทั้งๆ ที่พวกเขายอดเยี่ยมมาก ไม่จำเป็ต้องพยายามก็สามารถมีผลลัพธ์ที่คนอื่นนั้นไม่มีทางได้ ทั้งๆ ที่พวกเขาสามารถใช้ชีวิตอยู่ได้อย่างดี แล้วทำไมถึงทำเื่สิ้นคิดเช่นนี้ได้?
ระบบถอนหายใจ แล้วเอ่ยถามอวี๋มู่ [โฮสต์ครับ คุณก็รู้ว่าพวกจิตวิปริตจะมีลักษณะผิดปกติทางบุคลิกภาพ]
อวี๋มู่ชะงัก แล้วตอบเขา: ไม่ค่อยเข้าใจ
[นี่เป็โรคทางประสาทประเภทหนึ่ง อาการป่วยเกิดจากการขาดแคลนความรักเป็เวลาเนิ่นนาน หากต่อมาเกิดความผิดหวัง จากการคาดหวังกับตัวเองหรืออยู่ในสถานการณ์ที่ผิดปกติ ก็ต้องอาศัยการใช้ยาและจิตแพทย์ในการเยียวยาจิตใจ แล้วยังต้องได้รับความร่วมมือจากผู้ป่วยถึงจะสามารถรักษาได้ แต่มีผู้ป่วยมากมายที่สุดท้ายก็รักษาไม่ได้ชั่วชีวิต ถึงขั้นอาจจะเปลี่ยนเป็คนจิตเภทที่มีความหวาดระแวง]
ระบบเอ่ยต่อ [โรคที่เกี่ยวกับประสาทไม่ใช่สิ่งที่ตัวเองจะสามารถควบคุมได้ เพราะว่าสิ่งแวดล้อมรอบตัวของคุณนั้นไม่ค่อยได้ััความชั่วร้ายของโลกใบนี้ ดังนั้นทัศนคติสามของคุณจึงถูกต้อง แต่ว่าพวกวายร้ายเหล่านี้ ั้แ่เด็กพวกเขาก็ได้รับแต่ความทรมานสาหัสสากรรจ์อย่างที่พวกเราไม่อาจจินตนาการได้ จึงทำให้พวกเขากลายเป็คนอ่อนไหวและหวาดระแวงสงสัย อีกทั้งยังมีพลังจู่โจมที่รุนแรง ขอเพียงแค่ัักับความอบอุ่นเพียงเล็กน้อย พวกเขาก็จะกอดเกี่ยวเอาไว้ไม่ปล่อยมือ ถ้าพูดถึงมูลเหตุเช่นนี้ก็เท่ากับเป็โรคประเภทหนึ่ง]
ระบบนึกถึงท่านผู้นั้น แล้วมองดูสถานการณ์ของอวี๋มู่ในตอนนี้ ในที่สุดก็เอ่ยความคิดเห็นของตัวเองออกมาอย่างจริงๆ จังๆ ระบบเอ่ยถามอวี๋มู่ [ผมไม่ขอร้องให้คุณรับรู้ความทุกข์ทรมานที่พวกเขาเคยได้รับ แต่ผมขอถามคุณเพียงคำเดียว คุณเกลียดคนที่เป็โรคแบบนี้หรือเปล่า?]
เกลียด?
อวี๋มู่ไม่คิดว่าระบบจะถามเช่นนี้
แต่เขาก็ไม่เคยมีความรู้สึกเช่นนี้มาก่อน
ดังนั้นเขาจึงตอบปฏิเสธออกไป และได้ยินระบบถามขึ้นอีกครั้ง
[แล้วคุณกลัวพวกเขาหรือเปล่าครับ?]
คำถามนี้อวี๋มู่เริ่มเกิดความสงสัยแล้ว แต่เขาก็ตอบตามความจริง: ก็นิดหน่อย
[หากว่าคนที่คุณให้ความสำคัญเป็โรคนี้ คุณจะช่วยเขารักษามันหรือเปล่าครับ?]
ครั้งนี้อวี๋มู่ไม่ได้แกล้งคิด: ช่วยสิ
[โฮสต์ครับ ผมดีใจมากที่คุณพูดแบบนี้] น้ำเสียงของระบบแฝงด้วยความยินดี [ถ้าอย่างนั้นโปรดเชื่อผม ปฏิบัติภารกิจให้สำเร็จ ไม่ว่าตอนจบจะเป็เช่นไร ขออย่าเพิ่งถอดใจ เพราะว่าผมเซ็นสัญญารักษาความลับ มีหลายอย่างที่จำเป็ต้องจบภารกิจของโลกทั้งห้าผมถึงจะบอกกับคุณได้ ดังนั้น ตอนนี้ขอเพียงคุณรับประกันแบบนี้ หากว่าคุณเชื่อมั่นในตัวผม พวกเราก็ไปยังโลกถัดไปกันเถอะครับ]
เมื่อฟังระบบกล่าวจบ ใจของอวี๋มู่ก็เริ่มสงบลง แล้วเอ่ย: เ้าระบบ ฉันรู้ว่านายปิดบังเื่ราวมากมายกับฉัน ต่อให้ตอนนี้ฉันถามไป นายก็คงไม่มีทางบอก แต่บางเื่ฉันก็พอจะเดาออกบ้างแล้วล่ะ
อวี๋มู่เอ่ยต่อ: ฉัน้าให้นายพูดแค่คำเดียว ถ้าฉันทำภารกิจพวกนี้จบ จะสามารถฟื้นคืนชีพให้ชีหย่วนได้จริงใช่ไหม?
[ได้ครับ]
อวี๋มู่เผยรอยยิ้มออกมา แล้วเอ่ย: ถ้าอย่างนั้นก็เริ่มเถอะ เข้าสู่โลกถัดไปกัน
*
ครั้งนี้ตอนที่อวี๋มู่ลืมตาขึ้นมา เขารู้สึกว่าประสาทััทั้งห้าของตัวเองนั้นตื่นตัวเป็อย่างมาก ส่วนความเ็ปและความรู้สึกที่กระทบกระเทือนจากการเสียชีวิตของเฟิงอวี้นั้น ก็เหมือนกับหายไปจนหมดสิ้น
ความรู้สึกเช่นนี้ช่างน่าประหลาด ราวกับว่ามองเื่เหล่านี้จนทะลุปรุโปร่ง และไม่มีอะไรจะสามารถทำให้จิตใจของเขาสั่นไหวได้
อวี๋มู่มองออกไปรอบทิศ พบว่าตัวเองอยู่ในห้องหินห้องหนึ่ง ตัวเขานั่งอยู่บนก้อนหินหยกทรงกลมสีมรกตอ่อน บริเวณโดยรอบนั้นมีเพียงกำแพงหินสีเทา ไม่มีสิ่งของอื่นใด
อวี๋มู่นึกถึงระบบ แล้วเอ่ยอย่างกระชับ: ระบบ ขอข้อมูลของโลกนี้หน่อย
[เอ่อๆๆ โฮสต์ครับ คุณดูเ็าจังครับ!] ระบบได้ยินเขาทำน้ำเสียงเช่นนี้ ก็ตะลึงงัน จากนั้นก็บ่นออกมาอย่างน้อยใจ [ทำไมคุณไม่เรียกผมว่าเ้าระบบแล้วล่ะ!]
อวี๋มู่ฟังระบบบ่นอย่างน้อยใจ แต่ในใจเขานั้นกลับว่างเปล่า ราวกับว่าสูญเสียอารมณ์ความรู้สึกไปแล้วอย่างไรอย่างนั้น
เมื่อรอกระทั่งได้รับข้อมูลของโลกนี้จนครบ ในที่สุดเขาก็กระจ่าง
ครั้งนี้เขาข้ามมิติมายังโลกเหนือจินตนาการที่แบ่งเป็แดน์ แดนมนุษย์ และแดนปีศาจอสูร ซึ่งมีเพียงอุปสรรคทางโลกขวางกั้น
แดนมนุษย์นั้นนับถือเซียนเป็เทพเ้า แล้วยังมีมนุษย์ที่ฝึกบำเพ็ญเพียรด้วยจิตมุ่งมั่นจนบรรลุขึ้นเป็เซียนบนแดน์ จนได้รับตำแหน่งเทพเซียน
ส่วนแดนปีศาจอสูรนั้นเต็มไปด้วยปีศาจที่กลายร่างแปลกประหลาด มีบ้างที่มีโอกาสได้ขึ้นเป็เซียน แต่เป็แค่ส่วนน้อยมากๆ แม้ว่าจะบรรลุขึ้นแดน์ แต่ก็ไม่ได้รับความสนใจจากจักรพรรดิ สู้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขอยู่บนแดนปีศาจอสูรดีกว่า
ทว่าหากกล่าวถึงสภาวะแวดล้อมในการฝึกฝน แดน์นับว่าดีเลิศที่สุด ด้วยเหตุนี้จึงทำให้แดนปีศาจอสูรเกิดเจตนาชั่วร้าย จนมีหลายครั้งที่เหล่าปีศาจอยากบุกแดน์ หมายจะไว้เสียเอง
เพียงแต่ว่าในทุกๆ ครั้งก็จะ...ไม่เคยได้รับชัยชนะกลับมา
เหตุผลที่ไม่อาจเอาชนะ ก็เพราะว่าแดน์นั้นมีผู้เก่งกาจเป็เลิศที่ใกล้เคียงกับกฎแห่งธรรมชาติ และเป็ปรมาจารย์แห่งใต้หล้า
ซึ่งในครั้งนี้อวี๋มู่ได้ข้ามมิติมาเป็ปรมาจารย์แห่งใต้หล้าท่านนี้นั่นเอง
ปรมาจารย์แห่งใต้หล้านั้นบำเพ็ญเพียรด้วยหนทางไร้ซึ่งจิต ดุจดั่งบ่อน้ำโบราณที่ปราศจากคลื่น และมองธุลีแดง[1]จนทะลุปรุโปร่ง เป็บุคคลที่ราวกับว่าจะจางหายไปจากโลกนี้ได้ทุกเมื่อ
การที่อวี๋มู่ไม่มีความรู้สึกทางอารมณ์แต่อย่างใด นั่นเป็เพราะว่าเขานั้นบำเพ็ญเพียรจนถึงขั้นสูงสุดบนหนทางไร้ซึ่งจิต เ็าไม่แยแสต่อเื่ทางโลก กระทั่งตัวเองที่รับร่างนี้ต่อก็เป็เหมือนเฉกเช่นเขา
เพียงอวี๋มู่หลับตาลง แล้วปลดปล่อยสติสัมปชัญญะของพระเ้า เขาก็สามารถเก็บเื่ภายนอกทางโลกไว้ในสายตาได้ทั้งหมด แค่มือเคลื่อนไหวก็ราวกับว่าสามารถโยกูเา เติมเต็มท้องทะเล จึงไม่มีอะไรที่ไม่สามารถทำได้
อีกทั้งปรมาจารย์แห่งใต้หล้าองค์นี้ยังได้ก่อตั้งสำนักแห่งหนึ่งเป็เวลาช้านาน นามว่า สำนักกระบี่ใต้หล้า ซึ่งตอนนี้เป็ระเบียบแล้ว จึงไม่ต้องให้เขาดูแลจัดการ แต่ก็นับได้ว่าเป็กองทัพที่แข็งแกร่งที่สุดบนแดน์
ไม่น่าแปลกที่หลายปีมานี้ แดนปีศาจอสูรถึงไม่อาจบุกมาได้
ตอนนี้อวี๋มู่กำลังเก็บตัวบำเพ็ญเพียรอยู่ภายในห้องหินของอู๋วั่งซาน จนถึงวันนี้ ก็เป็เวลาสามร้อยปีผ่านมาแล้ว
สามร้อยปี...
นานมากจริงๆ
อวี๋มู่ลองคำนวณอายุของปรมาจารย์แห่งใต้หล้าองค์นี้แล้ว เขาคิดว่าน่าจะมีอายุประมาณสองหมื่นเจ็ดพันกว่าปีมาแล้ว...
ก็ได้ สามร้อยปีก็ไม่นับว่าเยอะเท่าไร
พล็อตเื่ที่ระบบส่งให้อวี๋มู่ กำลังฉายเป็ภาพปรากฏอยู่ในหัวของเขา ที่ผ่านมานี้ต้องยกความดีความชอบให้กับร่างที่แข็งแกร่งทรงพลังนี้
อวี๋มู่ลุกขึ้นยืน ทำให้ชุดคลุมตัวยาวร่วงหล่นลงพื้นตามท่วงท่าของเขา
อวี๋มู่ตกตะลึกเล็กน้อย ก่อนจะร่ายกระจกเงาน้ำออกมาเพื่อดูรูปลักษณ์ของตัวเองในตอนนี้
ในกระจกนั้นสะท้อนให้เห็นเทพเซียนที่สวมชุดคลุมตัวนอกสีขาวพระจันทร์ที่มีลวดลายปักด้วยสีเงิน ชุดตัวในเป็สีขาวหิมะมีกระดุมแบบถาดติดอยู่ไล่ขึ้นไปจนถึงลำคอ จึงเผยให้เห็นผิวขาวละเอียดเพียงเล็กน้อย มีกวานหยกมรกต[2]ครอบอยู่ตรงมวยผม ส่วนที่เหลือนั้นปล่อยสยายลู่ลงด้านล่าง นุ่มลื่นทิ้งตัวข้างลำตัวและด้านหลัง
แววตาและท่าทีของเขาดูเยือกเย็น ราวกับถูกปกคลุมด้วยน้ำแข็งที่ไม่ละลายเป็แรมปี ข้างใต้ของจมูกโด่งได้รูปคือริมฝีปากบางที่กำลังเม้มเบาๆ เป็บุคคลที่คล้ายกับกำลังเปล่งรัศมีความเยือกเย็นราวกับปฏิเสธผู้คนไกลถึงพันลี้
ซึ่งดูแตกต่างเป็อย่างมากกับผีิญญาพิศวาสในโลกที่แล้ว ตอนนี้อวี๋มู่มีความรู้สึกราวกับว่าตัวเองกำลังเป็ปรมาจารย์แห่งใต้หล้าผู้ตัดขาดจากความรู้สึกและไร้ซึ่งเยื่อใยต่อความรัก
-----------------------------------------------------------------------------------------------------
คำอธิบายเพิ่มเติม
[1] ธุลีแดง红尘 หง-เฉิง แปลตรงตัวคือธุลีแดง หมายถึง โลกโลกีย์ หรือชีวิตความเป็ไปในทางโลก ซึ่งเป็คำเปรียบเปรยมาจากธุลีแดงที่ฟุ้งตลบขึ้นมาบนเส้นทางเวลาที่รถและม้าวิ่งในสมัยโบราณ
[2] กวานหยกมรกต 青玉冠 ความหมาย กวาน 冠 คือเครื่องประดับศีรษะครอบมวยผมของจีนโบราณ เป็ของสูงที่แสดงถึงความเป็ผู้ใหญ่ เป็วัฒนธรรมที่สืบทอดมายาวนานในสังคมจีนโบราณ มีหลายหลายรูปแบบ และบางชนิดบ่งบอกถึงยศตำแหน่งอีกด้วย 青玉ชิง-อวี้ คือหยกมรกต

