ทว่าเมื่อวันพรุ่งนี้มาถึง รามสูรกลับไม่เข้าเรียนในคาบเช้า
รามสูรไม่เข้าเรียนในคาบบ่าย
และรามสูรก็หายตัวไปทั้งวัน
ม่านไม่ได้คิดถึงผู้ชายทะเล้นโคตรน่ารำคาญคนนั้นหรอกนะ แต่ว่าถ้าเพื่อนหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยเป็เวลาสองวันอย่างนั้นเขาก็ควรจะฉุกคิดไม่ใช่หรือไงว่าเพื่อนหายไปไหน จะว่ายังไงดีล่ะ ม่านน่ะนับรามสูรเป็เพื่อนแล้ว ถึงแม้เราไม่ได้ตกลงกันอย่างเป็ทางการแต่เราก็น่าจะรู้กันดีนี่นาว่าการตกลงเป็เพื่อนกันมันเป็ยังไง เราไม่จำเป็ต้องบอกกันก็ได้ใช่ไหมล่ะ แต่นี่พอเขาตกลงกับใจตัวเองแล้วว่าจะยอมรับรามสูรเป็เพื่อน รามกลับหายตัว หายหัว หายไปอย่างไร้ร่องรอย แชมป์และคอปเปอร์ก็หายไปเช่นกัน ไม่เหลือใครให้เขาพอจะถามไถ่ข่าวคราวได้เลยว่ารามสูรหายไปไหน
“ดีออย มาเช้านะ”
“หาววว อืม ใช่ โดนแม่ปลุกมาใส่บาตรน่ะ” ออยพูดพร้อมกับหาวหวอด หญิงสาวตอบเพื่อนเพียงเท่านั้นก่อนที่จะฟุบลงไปหลับบนโต๊ะเรียนต่อ
หากการถอนหายใจทำให้อายุสั้นลงได้ ม่านหยี่คิดว่าตนเองคงเหลือระยะเวลาอยู่บนโลกนี้ไม่มากสักเท่าไหร่
เขาพยายามทำตัวเองให้ยุ่ง ทั้งหยิบจับของออกมาจากกระเป๋า เปิดหน้าหนังสือเรียนวิชาภาษาอังกฤษรออาจารย์ผู้สอน ทดลองอ่านบทความ ลงมือทำการบ้าน คิดตามประโยคสนทนาที่ภาพหญิงชายสองคนในหนังสือกำลังคุยกัน แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังอดคิดไม่ได้อยู่ดีว่ารามสูรหายไปไหน
“ดีม่าน”
“เนยหวัดดี”
“วันนี้เราตื่นสายอะ เกือบไม่ทัน” เนยว่าพลางกวาดตามองไปรอบ ๆ ห้อง จำนวนคนเข้าเรียนวันนี้ดูร่อยหรอบางตาจนเสมือนว่าทุกคนได้ทำการหายตัวออกจากมหาวิทยาลัยไปเป็ที่เรียบร้อยแล้ว หรืออีกเหตุผลหนึ่งคือตื่นมาเรียนไม่ทัน
“เออนี่ รามกับเพื่อนหายไปไหนอะ” ออยคงจะสงสัยเหมือนเขาถึงได้ถามออกมา
“ไม่รู้สิ หายไปสองวันแล้ว”
“อืม...หายไปกันหมดเลย ทั้งราม ทั้งแชมป์ ทั้งคอปเปอร์”
“ออยมีเบอร์โทรพวกนั้นมั้ยล่ะ”
“ไม่มีนะ แต่ลองทักข้อความไปหาแล้วก็ไม่อ่าน ไม่ตอบ”
นั่นยิ่งทำให้ม่านใจเสีย
ความสงสัยแปรเปลี่ยนเป็ความกังวลถ้าเกิดว่าเกิดอะไรขึ้นกับสามคนนั้น
หรือไปมีเื่อะไรกับใครเข้า
“เกิดเื่ขึ้นรึเปล่านะ”
“อืม...นั่นน่ะสิ โอ๊ะ!” แต่ยังไม่ทันที่เพื่อนของเขาจะพูดจบ ข้อความในแอปพลิเคชันสีเขียวก็ปรากฏบนหน้าจอโทรศัพท์ของออย ม่านมองข้ามชื่อที่ใช้รูปหัวใจพิมพ์แทนตัวอักษรธรรมดา อาจเป็เพราะออยกับแชมป์คงจะกำลังคุย ๆ กันอยู่ สองคนนี้คงกำลังศึกษาเรียนรู้กันเพื่อที่จะก้าวข้ามผ่านความสัมพันธ์ฉันเพื่อน
“กลับภูเก็ต ไม่ค่อยว่างตอบครับ แต่สบายดีทั้งสามคน”
ออยอ่านออกเสียงให้ม่านและเนยที่นอนหลับปุ๋ยอยู่บนโต๊ะได้ฟังด้วยกันจากนั้นเธอก็พิมพ์ยุกยิก ๆ ก่อนที่จะกดส่งข้อความตอบกลับไป
“รับทราบ แล้วจะกลับมาวันไหน” สองคนนั่งรอข้อความตอบกลับอย่างใจจดใจจ่อ ม่านไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมเขาต้องใจสั่นขนาดนี้แค่เพียงเพราะอยากรู้ว่าสามคนนั้นจะกลับมาวันไหน หรืออาจไม่กลับมาเลย ภาวนาขออย่าให้เป็อย่างหลังแล้วกัน
“น่าจะอาทิตย์หน้าครับ”
“โอเคค่ะ” ออยไม่ลืมที่จะกดหัวใจส่งไปให้ แต่เหมือนว่าเธอพึ่งรู้ตัวว่าทุก ๆ การกระทำแสนหวานเ่าั้มันตกอยู่ในสายตาของม่านหยี่ทั้งหมด
“ทำไมทำหน้าอย่างนั้นม่าน”
“...” ม่านส่ายหน้าพร้อมทั้งอมยิ้ม เขาไม่ถามหรอกหากว่าเพื่อนจะไม่พูด การถามเื่ส่วนตัวนั้นเป็เื่ที่ไม่ควร ยิ่งความสัมพันธ์ที่มันกำลังเริ่มพัฒนาขึ้นไปอีกขั้นแล้วด้วยนั้นยิ่งไม่ควรไปกันใหญ่ แต่ถ้าหากว่าเพื่อนจะเล่าเขาก็ยินดีจะรับฟัง
“เรากำลังคุย ๆ กับแชมป์อยู่”
“อ๋อ โอเค”
“สามอาทิตย์แล้ว”
“อือฮึ”
“แล้วม่านล่ะ”
“ห๋า?! เราเหรอ” นิ้วเรียวชี้เข้าหาตนเอง อะไร ทำไมถึงวกกลับมาเข้าเื่ของเขาได้นะ
“ก็เห็นว่าม่านไปไหนมาไหนกับราม่นี้”
“...ไม่” พูดคำว่าไม่ได้ไม่เต็มปากหรอกนะม่านหยี่ เพราะตัวเองก็ไปไหนมาไหนกับรามอย่างที่เพื่อนว่าจริง ๆ เมื่อมาคิด ๆ ดูแล้วตอนเช้าเขาก็เจอกับรามในคาบเรียนที่เราบังเอิญลงเรียนตรงกันแค่สองคน พอเรียนเสร็จเราทั้งคู่ก็จะไปกินข้าวด้วยกัน แล้วนั่งรอเข้าเรียนคาบบ่ายด้วยกัน ม่านหยี่ละทิ้งการเข้าประชุมเชียร์ไปนานโขแล้วจนตอนนี้ดูเหมือนว่าเขาจะเปิดพี่รหัสพี่เทคหรืออะไรกันแล้วไม่รู้ นั่นก็เป็อีกครั้งที่ม่านหยี่ไม่ได้เข้าร่วมเพราะมัวแต่ขลุกทำงานอยู่กับรามที่ห้องสมุดของมหาวิทยาลัย บางวันที่รามตื่นเช้าก็มักจะแวะรับเขาที่หน้าหอพักเพื่อที่เราทั้งคู่จะได้เข้าเรียนพร้อมกัน บางวันตอนเย็น ๆ รามก็มักจะชวนม่านหยี่ออกไปหาอะไรกินโดยที่อาสาเป็เ้ามือเลี้ยง ถึงแม้ม่านจะบอกว่าไม่ไปรามก็ยังจะสั่งอาหารมากินด้วยกันที่ใต้หอพักของเขาอยู่ดี นั่นล่ะรามสูรน่ะก็เป็เสียอย่างนั้น
แต่ทั้งหมดทั้งมวลที่ม่านหยี่พึ่งจะมาประมวลผลได้ตอนนี้
ทำให้เ้าตัวเริ่มคิดว่ามันมีความรู้สึกแปลก ๆ ระหว่างเราทั้งคู่
เป็ความรู้สึกที่ทำให้ใจสั่นแปลก ๆ
“เราไม่”
“อ้ะ ๆ ไม่ต้องปฏิเสธเลย เราคนนอกมองยังรู้ว่าสองคนตัวติดกันอย่างกับตังเม”
“จริงเหรอ ออยว่าอย่างนั้นจริงเหรอ”
“จริง!” ไม่ใช่ออยที่ตอบแต่กลับเป็เนยที่อุตส่าห์ลุกขึ้นมาเพื่อมีส่วนร่วมในบทสนทนาครั้งนี้
“เว้นเสียแต่ว่าม่านไม่ได้ชอบราม”
“ก็รามเป็...”
“ผู้ชายอย่างนั้นใช่มั้ย ม่านจะบอกว่ารามเป็ผู้ชาย”
ใช่นั่นแหละสิ่งที่เขากำลังจะบอก เขารู้ว่าโลกกำลังหมุนเวียนเปลี่ยนแปลง เขารู้ดีว่าความรักหรือความสัมพันธ์ในเชิงนี้มันไม่ได้จำกัดแค่ชายหญิง แต่เมื่อลองมองออกไปรอบตัวแล้วนั้น จะมีสักกี่คนที่ยอมรับว่าความรักระหว่างผู้ชายมันมีจริง เป็ไปได้ และไม่รังเกียจเื่ของพวกเขา ยังไม่จบเพียงเท่านั้น ถ้าหากว่าเื่ทั้งหมดที่เรากำลังคุยกันอยู่ตอนนี้เป็เพียงแค่ม่านหยี่ฝ่ายเดียวที่คิดไปเอง รามสูรอาจคิดกับเขาเป็เพื่อน มิตรภาพระหว่างเราคงได้ถูกทำลายลงอย่างย่อยยับ ทั้ง ๆ ที่ม่านกำลังรู้สึกดีกับการมีตัวตนในสายตาของใครสักคนหนึ่งแล้วแท้ ๆ
“อืม”
“แล้วม่านชอบมั้ยแบบว่า...ชอบผู้ชายมั้ย...ผู้ชายที่เป็รามสูรน่ะ”
คำถามนี้ทำให้ม่านหยี่ต้องค้นหาคำตอบในสมองของตัวเองอย่างหนักหน่วง ชอบในเชิงคนรักน่ะเหรอ เขาชอบรามสูรในเชิงนั้นจริง ๆ ใช่ไหม หรือนี่เป็เพียงความรู้สึกดีกับการที่มีใครมาคอยทำดีด้วย มันอาจไม่ใช่ความชอบถึงขั้นคนรักก็ได้ อีกทั้งเื่ทั้งหมดที่กล่าวกันมานี้ล้วนแล้วแต่เป็การฟังความข้างเดียวจากเขาเท่านั้น บางทีถ้าหากได้ฟังความอีกข้างจากรามสูร อาจมีน้ำหนักพอหักลบกลบหนี้แล้วหารกันออกมาเป็คำตอบสุดท้ายของความสัมพันธ์ในครั้งนี้ก็ได้...
สมองของม่านหยี่ทำงานอย่างหนัก แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่อาจค้นหาคำตอบได้เลย
คงเป็เพราะคำตอบนั้นมันไม่ได้อยู่ที่สมองของเขา
หากแต่อยู่ในหัวใจ
“อาจารย์เข้าแล้ว” สุดท้ายม่านก็พูดได้เพียงเท่านั้น
ครบระยะเวลาหนึ่งอาทิตย์ที่รามและเพื่อน ๆ ขาดเรียนไป งานต่าง ๆ ที่เพิ่มขึ้นทำให้ม่านคิดถึงคนที่หายไปน้อยลงแต่มันก็ยังมีความรู้สึกเหงาแวะเวียนเข้ามาทักทายเขาเรื่อย ๆ หันมองไปรอบกายทุกครั้งจะมีรามสูรนั่งอยู่ในสายตา ไม่ใกล้ก็ไกล ไม่ที่ใดก็ที่หนึ่ง เขาจะเห็นผู้ชายน่ารำคาญคนนั้นเสมอ แต่พอมาตอนนี้มองไปทางไหนก็ไม่เจอแม้แต่เงา
“เฮ้ยนั่นไง กลับมาแล้ว!” เป็เนยที่สังเกตเห็นก่อนคนอื่น ๆ ส่วนม่านหยี่น่ะเหรอ รีบหันขวับเร็วรี่จนคอแทบเคล็ด...
รามสูรกลับมาแล้ว ผู้ชายตัวสูงที่ทำนิสัยน่ารำคาญคนนั้นกลับมาแล้ว
ถึงแม้ว่าแววตาจะดูหม่นลงไปบ้างก็เถอะนะ
“ราม ม่านคิดถึงอะ”
“เฮ้ย! ออยพูดอะไร...อย่างนั้น” คนที่โดนกล่าวถึงพูดอ้อมแอ้ม เขาไม่ได้คิดถึงรามสูร...โอเคยอมรับก็ได้ว่าคิดถึง แต่ก็ไม่เคยบอกกับออยหรือเนยหรือใครก็ตามว่าคิดถึงรามสูรอยู่
“เหรอ ฮ่าๆๆ”
“อ้าว...” แต่แค่เพียงคำตอบรับสั้น ๆ นั้นทำเอาบทสนทนาในวงเพื่อนฝูงกร่อยลงไปอย่างเห็นได้ชัด ไม่ใช่แค่ม่านหยี่ที่ดูออกว่ารามสูรเปลี่ยนไป ทั้งออยและเนยเองก็ด้วย ดังนั้นสองสาวจึงเงียบลงและหันกลับมาทำงานที่ตนทำค้างเอาไว้ก่อนหน้านี้
ส่วนม่านหยี่น่ะเหรอ...ความรู้สึกหน่วง ๆ ในใจเหมือนมีมือที่มองไม่เห็นมาบีบเอาไว้
มันยังคงเจ็บหน่วงอยู่อย่างนั้นตลอดทั้งเช้า...
ไม่สิ...
ม่านรู้สึกหน่วงในใจไปทั้งวันเลยล่ะ
“ราม”
“...ครับ ว่า”
เมื่อมันทนไม่ได้ก็ไม่ต้องทน ม่านหยี่น่ะตัดสินใจแล้วว่าวันนี้เขาจะต้องคุยกับรามสูรให้รู้เื่ให้ได้ ถึงแม้ไม่รู้ว่าจะคุยเื่อะไรก็ตาม แต่เขาต้องคุย เขาไม่ชอบที่รามเป็แบบนี้ ไม่ชอบที่รามสูรทำตัวเงียบใส่ หลบหน้า ไม่มองตา พูดน้อย และเดินไปไหนมาไหนเองคนเดียวโดยที่ไม่ชวนเขา การกระทำทั้งหมดทั้งมวลเ่าั้ทำให้ม่านหยี่อารมณ์ไม่ดีและม่านหยี่เองก็ไม่ชอบที่ตัวเองอารมณ์ไม่ดีแบบนี้มาก ๆ ด้วย
“ขอคุยด้วยหน่อยสิ”
“นานมั้ย”
“ถ้านานจะไม่คุยเหรอ”
สองคนเงียบ มันเป็ความเงียบท่ามกลางผู้คนนับร้อยพันที่เดินผ่านเราไปมา บทสนทนาของเราไม่มีความหมายกับคนพวกนั้น แต่เพียงแค่คำตอบรับหรือคำปฏิเสธของราม ณ ตอนนี้ วินาทีนี้ อาจชี้เป็ชี้ตายให้กับความสัมพันธ์ของเราทั้งคู่ก็ได้ ม่านจะได้ตัดสินใจว่าเขาควรจะไปต่อหรือพอแค่นี้
“นานก็คุย”
“อืม...” อย่างน้อยรามสูรก็ไม่ได้ปฏิเสธคำขออย่างที่ม่านกลัว
“ถามได้มั้ยว่าเกิดอะไรขึ้น” ครั้งนี้ร่างบางเป็ฝ่ายถามคำถามนี้กับรามสูรหลังจากที่จับจูงกันออกมาพ้นสายตาคนรู้จักแล้ว ม่านหยี่เม้มปากแน่น สองมือกำเข้าหากันเป็กำปั้นน้อย ๆ รู้สึกได้ถึงเล็บยาวที่จิกลงบนอุ้งมือของตนเอง หากว่าเขาลงแรงที่ฟันขาวไปมากกว่านี้คงได้กัดปากตนเองแตกอย่างแน่นอน
“ไม่มีอะไรหรอก”
“เรารู้นะว่าไม่โอเค”
“ครับ แต่ไม่มีอะไรจริง ๆ เดี๋ยวก็หาย”
ม่านรับรู้ได้ถึงรสชาติของเหล็กหากแต่นั่นเป็การกัดปากจนได้เืของเขาเองต่างหาก ปลายลิ้นแลบเลียกลืนรสชาติปะแล่มของน้ำเืลงคอ ทว่ากลิ่นสนิมของมันยังคงฟุ้งไปทั่วทั้งโพรงปากร้อน
“บอกเราไม่ได้เหรอ”
“...ม่าน”
“ถ้าไม่สบายใจอะไร บอกเราบ้างไม่ได้เหรอ”
“...”
“บางทีเราก็ไม่รู้ว่าเธอคิดอะไรอยู่ เราไม่รู้ว่าต้องทำยังไง แต่ถ้าเธอไม่สบายใจเธอบอกเราได้นะ”
ท่ามกลางความวุ่นวายจากคนนับร้อยที่เดินผ่านไปมา กลับเป็ความสับสนที่กรีดร้องดังลั่น บางครั้งรามสูรทำตัวเหมือนอยากมีเขาอยู่ใกล้ ๆ แต่พออีกฝ่ายไม่สบายใจ หรือมีเื่เดือดร้อน ม่านหยี่กลับไม่สามารถรับรู้เื่ราวเ่าั้ได้เลย เขาต้องอยู่ตรงไหน ต้องเป็ใคร ต้องทำอย่างไร รามถึงจะมองเห็นเขาเป็คนแรก รามทำตัวเป็เพื่อน เป็ที่พึ่ง เป็ทุกอย่างให้ม่านหยี่ แต่พอเขาอยากทำอย่างนั้นบ้างอีกฝ่ายกลับบอกว่าตัวเองไม่เป็ไร
“คนเรามันจะแข็งแกร่งตลอดเวลาไม่ได้หรอกนะ หรือถ้ารามไม่อยากบอกเราตอนนี้แค่รามบอกเราว่าไม่โอเค เรา-”
“ม่าน...”
“...”
“ม่านครับ”
“อือฮึ” เขาแค่อยากเห็นรามกลับมาเป็รามคนเดิม ไม่ใช่รามที่สุภาพกว่าเดิม แบบนี้มันไม่ชินเลย
“อยู่ตรงนี้กับรามก่อนได้มั้ย”
แค่เพียงเท่านั้นม่านหยี่ก็นั่งลงตรงที่ว่างบนม้านั่งเดียวกันกับรามสูร และชั่วอึดใจหนึ่งไหล่ข้างขวาของม่านก็ััได้ถึงวัตถุหนัก ๆ ที่วางแนบลงมา เสียงลมหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอกับการกระดุกกระดิกเพื่อหาที่ที่เหมาะสมทำให้ม่านรู้ได้ว่ารามกำลังใช้ไหล่ของเขาเป็ที่พักพิง
ทั้งคู่ยังคงปล่อยให้ความเงียบทำหน้าที่ของมันอยู่อย่างนั้น
ให้ความเงียบทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุดจนกว่ารามสูรจะพร้อมพูดเื่ราวของตนเองแล้วกัน
“พ่อรามเสีย อาทิตย์ที่ผ่านมา” เมื่อความเงียบทำหน้าที่ของมันอย่างถึงที่สุดแล้ว ก็ถึงคราวที่คนที่นั่งพิงไหล่ของเขาอยู่ตอนนี้จะได้พูดทุกอย่างที่รู้สึกให้กับเขาได้รับฟังสักที
“พ่อป่วย ไม่คิดว่าจะหนัก แต่อาการก็ทรุดภายในคืนนั้นแล้วก็เสียเลย”
“...”
“แต่แม่รามไม่บอก มาบอกตอนกำลังจะเผา”
“...”
“ราม...ตั้งตัวไม่ทัน ไม่รู้ว่าต้องทำยังไง เราสับสน เราเสียใจ เราคิดอะไรไม่ออกเลย”
ม่านตัดสินใจแล้วว่าแค่ไหล่ของเขามันคงไม่พอสำหรับคนที่พึ่งผ่านการสูญเสีย ดังนั้นเขาจึงสอดมือบางของตนเองเข้าไปกุมมืออีกฝ่ายเอาไว้ ไล้นิ้วโป้งเบา ๆ ไปยังนิ้วมือหนาสลับกับบีบเน้นและผ่อนปรนแรงมือเพื่อให้รามรู้สึกได้ว่ายังมีเขาอยู่ตรงนี้
“เราก็แค่คิดว่าทำไมแม่ไม่บอกเราให้เร็วกว่านี้ รามไม่ได้ไปดูใจพ่อด้วยซ้ำ”
“เขาคงเป็ห่วงเพราะเราอยู่ไกล”
“ไม่เข้าใจว่ะ ไม่เข้าใจเลย” หยดน้ำตาของรามสูรไหลระลงโดนฝ่ามืออีกข้างของม่านหยี่ที่วางเอาไว้บนตัก รามกำลังร้องไห้ มันเป็การร้องไห้อย่างเงียบงัน ร่างบางขยับหัวทุยของตนเองเพื่อที่จะพาตัวเองเข้าไปใกล้รามสูรมากยิ่งขึ้น ให้รามรู้ว่ายังมีเขาอยู่ข้าง ๆ ตรงนี้
ผู้ชายร่างสูงใหญ่ไหล่กว้าง เวลาเดินมักส่งยิ้มให้คนทั้งโลก สร้างเสียงหัวเราะและคอยกวนประสาทเขา บัดนี้รามสูรตัวหดลงเหลือเพียงสองเิเ บ่าที่เคยกว้างก็ห่ององุ้ม เนื้อตัวร่างกายสูงใหญ่สั่นเทาไม่ต้านทานลมฟ้าอากาศดังเช่นที่ผ่านมา รามสูรดูเหมือนคนที่พร้อมจะแตกสลายได้ทุกเมื่อ คงเป็เพราะรักมากจึงได้เจ็บมาก หยดน้ำตาหลั่งไหลออกมาเรื่อย ๆ ถึงแม้ไม่มีเสียงอาลัยถึงความเสียใจที่ตนเองกำลังเผชิญอยู่ แต่น้ำตาที่มันไม่เหือดแห้งนั้นเป็สิ่งที่บ่งบอกว่ารามสูรเสียใจกับการจากไปของบิดาขนาดไหน
ม่านหยี่นั่งอยู่อย่างนั้น เป็เพื่อน เป็คนที่คอยกุมมือ เป็ที่พักยามที่คนตัวสูงเหนื่อยล้าหรือเสียใจ ั้แ่ตะวันยังไม่ลาลับท้องถนนและทางเดินคลาคล่ำไปด้วยผู้คน จนตอนนี้ท้องฟ้ากลายเป็สีน้ำหมึก อากาศเย็นโรยตัวเข้าปกคลุมไปทั่วทุกหนแห่ง มีแสงไฟจากตึกสูงระฟ้าฉายแทนแสงของดวงตะวัน มหาวิทยาลัยเปิดไฟสว่างจ้า ผู้คนที่เคยเดินสัญจรไปมาก็เหลือแค่เพียงรอยเท้าทิ้งไว้ คงเหลือแค่พวกเขาสองคนที่นั่งอยู่ตรงนี้เท่านั้น
“ขอบคุณนะ”
“หื้ม?”
“ขอบคุณที่อยู่ตรงนี้กับราม”
“อือฮึ”
ม่านตอบรับเมื่อคนที่พิงไหล่ของเขาอยู่ตอนนี้ทำเสียงสูดน้ำมูกฟุดฟิดก่อนที่จะยกหัวทุยออกจากไหล่ของเขาไป ั์ตาคมดุของรามแดงก่ำแต่ม่านหยี่ก็ไม่ได้พูดอะไร
“ไปกินข้าวกันมั้ย”
“อืม ไปสิ”
“ม่าน เมื่อวานหายไปไหนมาอะ”
“ห้ะ?”
“หายไปไหนมา ที่ไปกับราม”
“เอ่อ...ไปนั่งตรงหลังคณะมา”
“เหรอ รู้แล้วใช่มั้ยว่าพ่อรามเสีย”
“อือ ๆ รู้แล้ว” ดวงหน้าสวยพยักหน้าพร้อมกับพยายามทำตาโต ๆ ของตนเองส่งสัญญาณให้เพื่อนสาวว่าไม่ควรพูดเื่นี้ตอนนี้ เพราะกลัวว่ารามจะมาได้ยินเข้า
คาบบ่ายวันนี้มีการนำเสนองาน แต่ด้วยเพราะเป็รายวิชาที่เรียนรวมกันของเด็กหลาย ๆ คณะในห้องประชุมขนาดใหญ่ มีเก้าอี้บุนวมนุ่มนิ่ม แอร์เย็นฉ่ำและยังต้องปิดไฟเพื่อที่ทุกคนจะได้รวบรวมสมาธิไปยังกลุ่มพรีเซนต์ที่อยู่บนเวทีแล้วนั้น กลับกลายเป็ว่านักศึกษาที่เข้าเรียน บ้างไม่เล่นโทรศัพท์ก็ทำงานวิชาอื่น หรือยิ่งไปกว่านั้นคือหลับ...
วันนี้รามสูร้าใช้ไหล่ม่านหยี่เป็ที่พึ่งอีกแล้ว แต่ไม่ใช่เพราะความโศกเศร้าเสียใจแต่อย่างใด ร่างสูงใช้ไหล่ของเขาเพื่อรองคอตนเองต่างหาก และม่านก็ไม่ว่าอะไรด้วยเพราะไม่อยากเสียงดังรบกวนคนนอน นั่นยังไงล่ะ
ม่านหยี่ก็เป็ซะอย่างนี้...
ถึงแม้ว่าตอนที่ให้เขายืมไหล่จะมีความรู้สึกปั่นป่วนในท้อง ใจเต้นแรงราวกับจะหลุดออกมาจากอก หรืออาการข้างเคียงอื่น ๆ ที่ไม่อาจอธิบายออกมาเป็คำพูดได้ก็เถอะ
รวม ๆ คือม่านเขิน แต่ไม่กล้าขอไหล่ตนเองกลับ
เพราะอยู่อย่างนี้มันก็ไม่ได้ลำบากอะไรนี่นา...
“ไปกินข้าวกันมั้ย” เศษกระดาษยับยู่ยี่แผ่นหนึ่งถูกยื่นมาตรงหน้า ม่านดูก็รู้ว่าลายมือไก่เขี่ยนี่มันจะเป็ของใครไปไม่ได้นอกจากของรามสูรคนเดียวเท่านั้น
“กินอะไร” คนที่นั่งตั้งใจฟังเพื่อนพรีเซนต์งานกระซิบถามเบา ๆ เห็น ๆ อยู่ว่ารามหลับตาแต่ไม่ได้นอนหลับ
“อยากกินอะไร” กระดาษแผ่นที่สองถูกยื่นมาข้างหน้าเขาอีกครั้ง นิ้วเรียวเคาะลงบนโต๊ะเรียนเบา ๆ ให้เป็อันได้ยินแค่เราสองคน ผลกระทบของเสียงเคาะนิ้วแกร่งนั่นมันทำให้สติและสมาธิของม่านหยี่แตกกระเจิง
“ก็เธอเป็คนชวน”
“อยากกินร้านหน้ามอ” คราวนี้รามไม่เขียนทว่าพูดแทน คงเพราะมันไม่ทันใจคนใจร้อนอย่างรามสูรล่ะมั้ง
“อือ”
“กินไอติมด้วย”
“อือ”
“ไปดูหนังด้วย”
“อือ”
“เป็แฟนกันนะ”
“อือ...ฮึ?!”
เดี๋ยวนะ..เมื่อกี้นั้น รามพูดว่ายังไงนะ
บางทีเขาอาจฟังผิดไป
คงไม่ใช่หรอกมั้ง...
“อะไรนะ ไม่ได้ยิน” ม่านหยี่กระซิบถามอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ คงเป็เพราะเพื่อน ๆ กำลังนำเสนองานอยู่ด้านล่าง อาจเป็เพราะแอร์ที่เย็นไปทำให้รามสูรพูดไม่ชัด หรืออาจเป็เพราะม่านหยี่หูแว่วไปเอง
ทว่ารามกลับไม่ได้พูดอีกแล้ว ม่านรับรู้ได้เพียงว่าคนข้าง ๆ กำลังเขียนอะไรบางอย่างอยู่ แต่สักครู่หนึ่งรามก็หยุดการกระทำนั้น ประจวบเหมาะกับเพื่อนที่กำลังนำเสนองานพูดมาถึงส่วนท้ายสุดแล้ว เมื่องานนำเสนอจบลงกลุ่มสุดท้ายก็กล่าวขอบคุณและเดินลงจากเวทีไป
พร้อม ๆ กันนั้นม่านก็รู้สึกได้ถึงมือแกร่งของคนข้าง ๆ ที่กำลังสะกิดหลังมือของเขาอยู่ รามสูรฉวยเอามือเรียวของม่านหยี่ไปถือไว้โดยที่ไม่แม้จะขออนุญาตจากเ้าตัว จากนั้นก็ยัดเศษกระดาษอะไรบางอย่างใส่มือของเขา
ม่านหยี่คลี่กระดาษออกท่ามกลางแสงไฟสลัว กว่าที่สายตาจะปรับโฟกัสได้ก็พบว่านานเอาเื่อยู่เหมือนกัน
และทันใดนั้นแสงไฟของห้องประชุมขนาดใหญ่ก็สว่างจ้าขึ้น ปลุกให้นักศึกษาที่กำลังหลับใหลตื่นจากความฝัน แต่ความสว่างไสวนั่นพรากเอาสติสัมปชัญญะของม่านหยี่หนีหายไปจากตัวซะหมดเลย
“เป็แฟนกันนะ”
นั่นคือทั้งหมดทั้งมวลที่เขียนไว้บนเศษกระดาษ ม่านรู้แล้วว่าตนเองไม่ได้หูฝาด รู้แล้วว่าที่รามกระดิกตัวยุกยิก ๆ เมื่อครู่นั่นคืออะไร
รู้แล้ว...รู้ทั้งหมดแล้ว...
“ม่านปะ...เฮ้ยอะไรอะ!” และไม่เพียงแต่ม่านหยี่ที่รู้ ออยที่นั่งถัดไปจากเขาก็รู้ และถ้าออยรู้เนยก็คงจะรู้ แต่ขึ้นชื่อว่าชีวิตของม่านหยี่แล้วนั้น มันมักจะไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ตัวอักษรในเศษกระดาษนั้นมันมีขนาดใหญ่พอที่จะทำให้คนที่นั่งอยู่ด้านหลังของพวกเขาเห็นด้วยเช่นกัน และพวกที่นั่งอยู่ข้างหลังนั้นก็เป็เพื่อน ๆ ร่วมคณะของเขาทั้งนั้น
“เอ๊ย! อะไรอะ ข้างหน้า ทำไรกันอะ...”
“เฮ้ย ขอกันเป็แฟนเหรอ?”
“อะไร รามขอม่านหยี่เป็แฟนเหรอ”
“วี้ววววว” เสียงโห่แซวและเสียงผิวปากดังระงมออกมาจากชั้นบนที่ซึ่งเต็มไปด้วยเด็กคณะบริหารธุรกิจชั้นปีที่ 1 แต่เื่มันยังไม่จบเพียงเท่านั้น เมื่อเพื่อนของเพื่อนในคณะที่นั่งติดกันอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เื่เล่าโดยละเอียดของการขอเป็แฟนท่ามกลางชั้นเรียนรวมจึงค่อย ๆ เผยแพร่ออกไปปากต่อปาก
“อะไรอะ ข้างบนเกิดอะไรขึ้นคะ บอกอาจารย์ด้วยได้มั้ย”
“มีคนขอเป็แฟนกันครับ!”
“โอ้ จริงเหรอคะ กลางคลาสเรียนเลย ยินดีด้วยนะคะ!”
“เขายังไม่ตกลงคบกันเลยค่ะอาจารย์”
เอาแล้วไง...เื่วนกลับมาหาเขาจนได้
“อ้าว ตกลงคบกันรึยังคะ ความรักเป็สิ่งที่ดีนะคะนักศึกษา ยิ่งใน่เวลาแบบนี้เราควรจะรักกันไว้” อาจารย์หญิงสูงวัยพูดใส่ไมค์เสียงดังฟังชัด ทำเอาคนที่ได้ฟังยิ้มกรุ้มกริ่มไปตาม ๆ กัน ม่านหยี่ที่ตอนแรกกำลังจะปลีกตัวหนีออกจากสถานการณ์ตรงหน้าแล้วนั้นกลับกลายเป็ว่าเขาไม่สามารถเดินไปไหนได้เลย ในเมื่อหนีเสือก็ปะจระเข้
“เขาตอบรึยังคะนักศึกษา”
“ยังค่ะ”
“เอาเลยม่าน ตอบสิ ตอบเลย”
ม่านหยี่ไม่กล้ามองหน้าเพื่อน ๆ ยิ่งไปกว่านั้นเขาไม่แม้แต่จะมองหน้ารามสูร นี่ไม่ใช่ความผิดของใครเลยนอกจากไฟที่มันดันถูกเปิดให้ความสว่างพร้อม ๆ กันกับที่เขาคลี่กระดาษเพื่ออ่านคำขอเป็แฟนของรามสูร ม่านหยี่จะไม่โทษใครหรอกนะ มันไม่มีใครผิด เป็เพียงแค่ความบังเอิญก็เท่านั้น!
“อืม...” รู้สึกเหมือนว่าความตื่นเต้นในชีวิตใช้ไม่เคยหมดเสียที ส่วนความโชคดีที่มีก็มีไม่เคยพอ จังหวะชีวิตของเขามันลุ่ม ๆ ดอน ๆ มาโดยตลอด อย่างเช่นตอนนี้ แต่กลับกลายเป็ว่ารามสูรเป็ผู้โชคร้ายที่ตกลงมาในหลุมบนทางเดินลุ่ม ๆ ดอน ๆ ในชีวิตของเขาเสียอย่างนั้น ก็ขอให้คนโชคร้ายคนนี้นำทางให้เขาได้เจอโชคดีด้วยเถอะนะ
“ตกลงว่าเป็ใช่มั้ย” คนตรงหน้าถามอย่างใจจดใจจ่อ
“อืม เป็”
“กรู๊วววว”
“ฮิ้ววววว”
“เป็แล้วค่ะอาจารย์ เขาเป็แฟนกันแล้ว!!!”
“กรี๊ดดดด” ไม่รู้ว่ามีใครในนี้รู้บ้างไหม ว่าคนที่ขอเป็แฟนกันอยู่ตอนนี้คือผู้ชายสองคน และผู้ชายสองคนนั้นก็ตกหลุมรักกันอยู่ทุก ๆ วันซ้ำไปซ้ำมา
นี่คงเป็เพียงแค่ความบังเอิญ หากแต่ความบังเอิญในครั้งนี้คงจะถูกเล่าต่อ ๆ กันไปในอีกหลาย ๆ รุ่นว่ารุ่นพี่ของพวกเขาขอเป็แฟนกันในห้องเรียนรวมแห่งนี้ โดยมีสักขีพยานมากมายหลายร้อยที่คอยเอาใจช่วยและเชียร์ให้อีกฝ่ายตอบรับรักในคำขอ