เย่เฟิงหันไปมองยังใจกลางทะเลสาบมรกต ก่อนจะเห็นว่าตรงนั้นมีแสงสว่างจ้า มิหนำซ้ำยังแฝงไปด้วยพลังประหลาด ซึ่งแสงนั้นมาจากก้นบึ้งที่มีพลังมิติ
ผู้คนเห็นฉากนี้ต่างก็ตาลุกวาว จากนั้นผู้ฝึกยุทธ์คนหนึ่งพูดขึ้นว่า “นี่คือสัญญาณที่บ่งบอกว่ามิติที่ก้นบึ้งทะเลสาบเปิดออกแล้ว พวกเราเข้าไปได้แล้วล่ะ!”
ทุกคนได้ยินเช่นนั้นก็ดูตื่นเต้น พวกเขารู้ว่าผลึกเจตจำนงแรกเริ่มอยู่ในมิติที่ก้นบึ้งทะเลสาบ และในที่สุดมิตินั้นก็เปิดออกแล้ว
“ไป!” เมื่อสิ้นสุดเสียงนี้ จู่ ๆ ผู้คนเริ่มทะยานร่างไปยังใจกลางทะเลสาบ แม้แต่ศิษย์สำนักหลิงไถก็ยังละทิ้งความคิดที่อยากจะจัดการเย่เฟิง จึงทะยานร่างตามคนอื่น ๆ ไป เพราะกลัวว่าตัวเองจะรั้งท้าย
“ศิษย์น้อง พวกเราไปกันเถอะ!” ชิงเซียงกล่าวกับหลันเซียง จากนั้นทะยานร่างออกไปเช่นกัน ส่วนหลันเซียงก็ตามหลังนางไปติด ๆ
“ทำไมเ้ายังไม่ไปอีก ข้ารอดูเ้าอยู่นะ!” หลันเซียงหันไปคุยกับเย่เฟิงในขณะที่เคลื่อนไหวผ่านไปทางเขา นี่ทำให้เย่เฟิงรู้สึกแปลกใจ เขาไม่รู้จักหลันเซียง แต่อีกฝ่ายกลับสนใจเขา คงทำได้เพียงบอกว่าผู้หญิงช่างเป็มนุษย์ที่แปลกพิลึก จนกระทั่งตอนนี้เย่เฟิงก็ไม่เข้าใจความคิดของพวกผู้หญิงเสียที
ขณะที่เย่เฟิงมองรอยยิ้มอันน่าหวั่นใจของหลันเซียง เขาก็อดทึ่งไม่ได้ จำต้องบอกว่าหลันเซียงเป็ผู้หญิงที่สวยมาก แม้ไม่สวยสูงศักดิ์อย่างจ้าวซินอี๋ แต่กลับมีเสน่ห์ที่น่าค้นหา มองปราดเดียวก็ทำให้ใจเต้นได้แล้ว แต่จากนั้นเย่เฟิงสะบัดหัวเล็กน้อย ก่อนจะทะยานร่างออกไป
ทุกคนต่างมุ่งหน้าไปที่ใจกลางทะเลสาบ พร้อมกับใช้พลังหยวนคุ้มกาย เพื่อป้องกันไอน้ำปะทะตัวเอง ผู้ฝึกยุทธ์บรรลุขั้นยุทธ์แท้นั้นจะสามารถเหาะเหินกลางอากาศในเวลาสั้น ๆ ได้ โดยไม่ต้องหายใจใน่เวลาหนึ่ง หากพลังยิ่งแกร่งกล้า ความสามารถสองอย่างนี้ก็จะยิ่งทรงพลังขึ้น
หากบรรลุขั้นยุทธ์เทวะ ก็ไม่จำเป็ต้องใช้อาวุธเหาะเหินใด ๆ เวลาเหาะเหินก็จะยาวนาน ซึ่งสามารถเหาะเหินได้อย่างอิสระ
ไม่นานคนส่วนใหญ่ก็ไปถึงใจกลางทะเลสาบ บริเวณด้านหน้าไม่ไกลออกไปมีกลุ่มแสงขนาดใหญ่ที่แยกจากทะเลสาบ และมีพลังมิติปรากฏขึ้น
“ที่นั่นน่าจะเป็ทางเข้ามิติก้นบึ้งทะเลสาบ พวกเรารีบไปกันเถอะ ถ้าทางเข้าปิดตัวก็จะสูญเสียโอกาสนี้ไปทันที!” ผู้ฝึกยุทธ์คนหนึ่งกล่าว ทางเข้ามิติดูไม่ค่อยเสถียรภาพ ซึ่งอาจปิดตัวลงได้ทุกเวลา
เมื่อกล่าวจบผู้ฝึกยุทธ์คนนั้นก็มุ่งหน้าไปยังกลุ่มแสงนั่นทันที แต่เมื่อร่างเขาัักับกลุ่มแสงก็เริ่มจางลงเรื่อย ๆ จนหายตัวไปในที่สุด
“กลุ่มแสงนั่นคือทางเข้ามิติก้นบึ้งทะเลสาบจริง ๆ!” ทุกคนเห็นผู้ฝึกยุทธ์คนนั้นเข้าไปในกลุ่มแสงก็ตาลุกวาวขึ้นมาทันที ก่อนจะแย่งกันเข้าไปในกลุ่มแสงนั่น
“แกว่งเท้าหาเสี้ยน ไม่นึกว่าเ้าจะตามมาที่นี่ด้วย แต่ตอนนี้ข้าไม่มีเวลาจัดการเ้า ถ้าเ้ายังตามมาอีก เช่นนั้นในมิติก้นบึ้งทะเลสาบจะเป็หลุมฝังศพของเ้า!” มู่หรงเฟิงและเมิ่งยวี่ฉิงก็เข้าไปที่กลุ่มแสงนั่นเช่นกัน แต่ขณะที่ผ่านตัวเย่เฟิงไป จู่ ๆ มู่หรงเฟิงก็ทิ้งประโยคหนึ่งไว้ให้เย่เฟิง
เมิ่งยวี่ฉิงส่ายหัวเบา ๆ พร้อมเผยสีหน้าผิดหวัง เมื่อครู่นางเตือนเย่เฟิงด้วยความหวังดี แต่เย่เฟิงกลับไม่ฟังนาง ในเมื่อเป็เช่นนี้ต่อให้เย่เฟิงถูกศิษย์พี่มู่หรงฆ่าตายจริง ๆ มันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับนาง และนางก็ไม่มีทางเห็นอกเห็นใจเย่เฟิง
แสงเยือกเย็นปะทุออกจากดวงตาของเย่เฟิง มู่หรงเฟิงผู้นี้ทำเขาอดทนไม่ไหวแล้วจริง ๆ แต่จากนั้นเขาผ่านกลุ่มแสงเพื่อมุ่งหน้าเข้าสู่มิติก้นบึ้งทะเลสาบ
การเดินทางผ่านกลุ่มแสงไม่แตกต่างจากค่ายกลเคลื่อนย้ายมิติเลย แต่ว่ามีเพียงผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ที่ 1 ถึง 6 จึงจะเดินทางผ่านกลุ่มแสงนี้ไปได้
ขณะนั้นมีผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ที่ 7 สองคนตามหลังเย่เฟิง เพื่อ้าลักไก่เข้าไป แต่สุดท้ายก็ผ่านกลุ่มแสงไปไม่ได้ จึงถูกดีดออกไปทันทีที่ัักลุ่มแสง ทำให้ได้รับาเ็สาหัส
เย่เฟิงกวาดมองรอบ ๆ มิติแปลกหน้าแห่งนี้ ที่นี่รายล้อมไปด้วยูเา ทั้งยังถูกปกคลุมด้วยหมอกสีขาว ให้ความรู้สึกลี้ลับ ซึ่งมีคนเข้ามายังมิตินี้ประมาณพันคน แต่ตอนนี้เย่เฟิงกลับเห็นไม่กี่คน อาจเป็ไปได้ว่าถูกส่งไปยังพื้นที่อื่น
“ไม่คิดว่าที่ก้นบึ้งทะเลสาบมรกตจะมีมิติกว้างใหญ่ไพศาลเช่นนี้ซ่อนอยู่” เย่เฟิงอดอุทานอย่างใไม่ได้เมื่อเห็นความกว้างใหญ่ไพศาลของมิตินี้
พลันกลิ่นหอมโชยมา พร้อมกับเงาร่างหนึ่งปรากฏตัวที่เบื้องหน้าเย่เฟิง ซึ่งก็คือหลันเซียงแห่งเทียนเซียงหลิน ส่วนชิงเซียงก็ยืนอยู่ข้าง ๆ นาง สองคนนี้ไม่ได้แยกออกจากกัน อาจจะเป็เื่บังเอิญกระมัง
“พวกเราเจอกันอีกแล้วนะคุณชายเย่” หลันเซียงกล่าวพลางยิ้มให้เย่เฟิง
“อืม” เย่เฟิงพยักหน้าให้หลันเซียง เขาไม่รู้ว่าทำไมหญิงผู้นี้ถึงสนใจเขา
“ในเมื่อพวกเราได้เจอกันที่นี่ พวกเราคงมีวาสนาต่อกัน สู้เดินทางไปด้วยกันไม่ดีกว่าหรือ!” หลันเซียงกล่าวพลางยิ้ม
“ศิษย์น้อง อย่าลืมภารกิจของเราว่าคืออะไร อย่าไปเสียเวลากับคนผู้นี้ ไปได้แล้ว!” ชิงเซียงที่อยู่ข้าง ๆ ยังคงเ็าเช่นเดิม จากนั้นนางเดินออกไปโดยไม่รอให้หลันเซียงกล่าวสิ่งใด
“ศิษย์พี่...” หลันเซียงะโเรียกชิงเซียง แต่ชิงเซียงเดินออกไปโดยไม่หันกลับมามองนาง
“คุณชายเย่ ต้องขอโทษด้วย ข้าขอตัวไปก่อน” หลันเซียงกล่าว จากนั้นเดินตามชิงเซียงไป
ซึ่งเย่เฟิงไม่ได้สนใจอะไร เขามองไปรอบ ๆ อีกครั้ง ก่อนจะเดินออกไป เมื่อผ่านไปสักพักเย่เฟิงก็พบเจอกับสัตว์อสูรจำนวนหนึ่ง มีทั้งปลายยอดปีศาจิญญาและปีศาจพิภพ หากสัตว์อสูรพวกนี้บุกโจมตีมา เย่เฟิงอาจจะถูกฆ่าตายก็เป็ได้
ผ่านไปหนึ่งชั่วยาม ที่ด้านหน้าเย่เฟิงก็ปรากฏช่องเขาแห่งหนึ่ง ซึ่งมีเสียงดังมาจากในช่องเขา เย่เฟิงจึงเดินไปดู ก่อนจะเห็นสองเงาร่างที่คุ้นเคย นั่นก็คือหลันเซียงและชิงเซียง ตอนนี้พวกนางถูกสัตว์อสูรหลายสิบตนล้อมกรอบ และสัตว์อสูรเหล่านี้ล้วนอยู่ระดับพิภพขั้นสี่ขึ้นไป แต่มีสัตว์อสูรอินทรีบุปผาหนึ่งในนั้นอยู่ระดับพิภพขั้นห้า
เมื่อถูกสัตว์อสูรจำนวนมากขนาดนี้ล้อมกรอบ พวกนางสองคนก็ตื่นตระหนกใจนทำอะไรไม่ถูกอย่างช่วยไม่ได้ เหงื่อพลันท่วมตัวจนเสื้อผ้าเปียกโชก ทำให้เรือนร่างภายใต้เสื้อผ้าถูกเผยออกมาวับๆ แวมๆ
อย่างไรก็ตามพวกนางอยู่ขั้นยุทธ์แท้ที่ 5 หาก้ากำจัดสัตว์อสูรพวกนี้ก็สามารถทำได้ แต่ว่ามันไม่ง่ายเช่นนั้น เพราะจะต้องเสียทั้งพลังงานและเวลา
หลันเซียงเห็นเย่เฟิงมาก็ตาเป็ประกายทันที หลังจากใช้ดาบฟันสัตว์อสูรตนหนึ่ง นางก็หันไปมองเย่เฟิงแล้วกล่าวว่า “คุณชายเย่รีบช่วยพวกเราฆ่าสัตว์อสูรพวกนี้ที”
เสียงของหลันเซียงนุ่มนวลและอ่อนโยนมาก ทว่าอาภรณ์ของนางในตอนนี้ชุ่มไปด้วยเหงื่อ จึงเห็นเรือนร่างนางจาง ๆ
ขณะที่เย่เฟิงมองใบหน้าอันงดงามนั้นของหลันเซียง ในดวงตาก็เต็มไปด้วยความประหลาดใจ แต่ก็คิดจะลงมือช่วยพวกนางสองคนอยู่แล้ว
“ก็แค่ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ที่ 1 เขาจะช่วยอะไรพวกเราได้? ศิษย์น้องเ้าตั้งใจกำจัดสัตว์อสูรพวกนี้เสีย!”
ทว่าตอนที่เย่เฟิงตัดสินใจลงมือช่วย จู่ ๆ เสียงของชิงเซียงที่แฝงความไม่ชอบใจสองสามส่วนก็ดังขึ้น คล้ายไม่เห็นเย่เฟิงอยู่ในสายตา เพราะในความคิดของนาง เย่เฟิงที่อยู่ขั้นยุทธ์แท้ที่ 1 ต่อให้มีพละกำลัง แต่ก็มิอาจต่อกรกับปีศาจพิภพระดับสี่หรือห้าเหล่านี้ได้เลย
“โฮก!” ขณะที่ชิงเซียงพูด พลันมีปลายยอดปีศาจพิภพระดับสี่จู่โจมมาที่ด้านหลัง มันตะปบกรงเล็บที่อัดแน่นไปด้วยพลังมหาศาลเข้าจู่โจมนาง มิหนำซ้ำยังะเิพลังโจมตีอีกด้วย แม้สัตว์อสูรตนนี้จะอยู่ปลายยอดระดับสี่ แต่พลังต่อสู้ของมันก็เทียบเท่าผู้ฝึกยุทธ์มนุษย์ขั้นที่ 5
นอกจากนี้การโจมตียังว่องไวและแม่นยำ ซึ่งโดยทั่วไปสัตว์อสูรในระดับนี้จะมีสติปัญญาและความเ้าเล่ห์ มันจึงฉวยโอกาสนี้ลงมือโจมตีชิงเซียง หมายปลิดชีวิตนาง
“ศิษย์พี่ หลบเร็ว!” หลันเซียงเห็นฉากนี้ก็ตอบสนองในทันที ก่อนจะะโบอกด้วยสีหน้าตื่นตระหนก
ชิงเซียงรับรู้ได้เช่นกันว่ามีอันตรายเข้ามาใกล้นางด้วยความเร็วสูง แต่จะหลบหนีตอนนี้ก็เกรงว่าไม่ทันแล้ว
“ฟึ่บ!”
ใน่วิกฤตินี้เอง เย่เฟิงที่อยู่เบื้องหน้าหลันเซียงก็หายวับไป ก่อนจะไปปรากฏตัวที่เบื้องหน้าชิงเซียงในนาทีต่อมา พร้อมโอบเอวอีกฝ่ายและหลบไปทางด้านข้าง
“กรี้ด!” ชิงเซียงกรีดร้องด้วยความตื่นใกลัว
เมื่อเย่เฟิงอยู่ใกล้ชิดกับชิงเซียง จู่ ๆ กลิ่นหอมก็ลอยมาแตะจมูก พร้อมรู้สึกได้ถึงร่างอันนุ่มนิ่มที่อยู่ด้านหน้าตัวเอง ทว่าตอนนี้เย่เฟิงไม่มีเวลาว่างพอจะมาคิดเื่พวกนี้ เพราะตอนที่เขาวางร่างชิงเซียงลงบนพื้นก็มีสัตว์อสูรสองสามตนจ้องพวกเขาทั้งสองคน จากนั้นพวกมันกระหน่ำโจมตีมาอย่างไม่หยุดยั้ง
เย่เฟิงลุกขึ้นยืนพร้อมหอกัเงินประกายปรากฏในมือ จากนั้นเขาควงหอก ก่อนปลายหอกจะวาดเป็เส้นโค้งกลางอากาศและเปล่งแสงแห่งการทำลายล้าง ด้วยหอกนี้สัตว์อสูรเ่าั้ต่างต้องถอยหนี เย่เฟิงจึงฉวยโอกาสนี้พาพวกชิงเซียงออกไปจากที่นี่
ชิงเซียงเหลือบมองไปที่เย่เฟิงด้วยสายตาล้ำลึก แต่กลับไม่พูดสิ่งใด ถึงอย่างไรหากเมื่อครู่ไม่ได้เย่เฟิงช่วยไว้ ผลลัพธ์คงจะน่าสะพรึงกลัว แต่ความเร็วที่เย่เฟิงะเิออกมาเมื่อครู่นี้ทำให้ชิงเซียงใมาก มันเร็วมากจริง ๆ จนนางไม่ทันสังเกตว่าย่างก้าวของเย่เฟิงเป็อย่างไร
“โฮก ๆ!” ฝูงสัตว์อสูรไล่ตามพวกเขาสามคนมาอย่างไม่หยุดหย่อน
“คุณชายเย่ ขอบคุณเ้าที่ช่วยศิษย์พี่ข้า!” หลันเซียงกล่าวขอบคุณเย่เฟิงแทนชิงเซียง
“ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาขอบคุณ กำจัดสัตว์อสูรพวกนี้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน!”
เย่เฟิงถือหอกัเงินประกาย เมื่อสัตว์อสูรมาเยือน เขาก็เคลื่อนไหวโดยใช้ย่างก้าวดาวตกผีเสื้อพร้อมแทงหอกอย่างต่อเนื่องเพื่อสู้กับสัตว์อสูร ส่วนหลันเซียงกับชิงเซียงก็เข้าร่วมศึกนี้ด้วย
ผ่านไปประมาณหนึ่งชั่วยาม ด้วยการช่วยเหลือจากเย่เฟิง สัตว์อสูรหลายสิบตนก็กลายเป็ซากศพอันเย็นะเืที่นอนจมกองเือยู่บนพื้น แต่เย่เฟิงคนเดียวก็ฆ่าสัตว์อสูรไปได้ถึงแปดตน ทั้งยังหนึ่งหอกปลิดชีวิต ทำให้หลันเซียงและชิงเซียงรู้สึกเกินความคาดหมายไปมาก
โดยเฉพาะชิงเซียง ก่อนหน้านี้นางดูถูกเย่เฟิงสารพัดอย่าง แต่ในใจนางตอนนี้มีเพียงความใ ส่วนภายนอกนางยังคงเ็าเช่นเดิม บางทีในใจของนาง เย่เฟิงยังคงเทียบอัจฉริยะจากกองกำลังชั้นยอดเ่าั้ไม่ติด
“คุณชายเย่ ทักษะหอกของเ้าร้ายกาจมาก อยู่เพียงขั้นยุทธ์แท้ที่ 1 แต่สามารถฆ่าปีศาจพิภพระดับสี่ได้ง่าย นับถือ ๆ!” หลันเซียงเก็บดาบ ก่อนจะกล่าวกับเย่เฟิงเช่นนั้น
“ชมเกินไปแล้ว” เย่เฟิงกล่าว
“สัตว์อสูรพวกนี้ถ่วงเวลาพวกเรา ต้องรีบทำเวลาแล้ว ข้ามีลางสังหรณ์ว่าผลึกเจตจำนงแรกเริ่มน่าจะอยู่ทางด้านนั้น” ชิงเซียงกล่าว นางมีเป้าหมายเพียงหนึ่งเดียว นั่นก็คือผลึกเจตจำนงแรกเริ่ม
“ไป”
หลังจากกำจัดสัตว์อสูรฝูงนี้ ชิงเซียงก็ไม่ได้ขับไสไล่ส่งเย่เฟิง แต่ทั้งสองก็ยังคงไม่พูดคุยกัน
“หยุดนะ!”
เมื่อพวกเขาเดินทางไปได้สักพัก จู่ ๆ ก็มีเสียงเย็นเยือกดังมาจากที่ไหนสักแห่ง ทั้งสามจึงหยุดฝีเท้าและหันไปมองทางต้นเสียง ก่อนจะเห็นป่าทึบที่อยู่ไม่ไกลออกไป ซึ่งมีกลุ่มสิบคนเดินออกมาจากในนั้น พร้อมไอชั่วร้ายแผ่ออกจากร่าง สายตาเย็นเยือกล้วนมองมาที่เย่เฟิง จากนั้นได้ยินหนึ่งในนั้นพูดขึ้นว่า “ทำร้ายศิษย์สำนักหลิงไถข้า คราวนี้เ้าหนีไม่รอดแน่!”
ทั้งสิบคนเข้าปิดล้อมพวกเย่เฟิงในพริบตา
“เหตุใดข้าต้องหนีเล่า?” เย่เฟิงมองผู้มาเ่าั้ด้วยสายตาเฉยชา พลางยิ้มหยันมุมปาก
“พล่ามไร้สาระอยู่ได้ ทุกคนบุกโจมตีเขาพร้อมกัน ฆ่า!” ผู้ฝึกยุทธ์สำนักหลิงไถคนหนึ่งกล่าว
นาทีต่อมาพลังปราณปะทุออกจากร่างเหล่าผู้ฝึกยุทธ์สำนักหลิงไถ พร้อมเตรียมอาวุธครบมือ หมายสังหารเย่เฟิงให้ตายอยู่ที่นี่!
