จิ้งจอกน้อยถูกเฉียวรุ่ยนำออกมาหมอบอยู่บนโต๊ะก็หาวทีหนึ่ง ท่าทางน่ารักเป็อย่างยิ่ง
หลิ่วเทียนฉีมองจิ้งจอกน้อยบนโต๊ะแล้วยิ้มเล็กน้อย “จิ้งจอกน้อย เ้ารู้จักอสูรยุงั์ไหม?”
‘โอสถเล่า? เ้าบอกหลังเข้าวิทยาลัยเซิ่งตูจะหาโอสถมาให้ข้า นี่ก็เดือนกว่าแล้วนะ เ้ายังไม่ได้หาโอสถมาให้ข้าเลย?’
ได้ยินคำถามของจิ้งจอกน้อย หลิ่วเทียนฉีรีบยิ้มประจบ “เกรงว่าในมือตอนนี้จะมีศิลาทิพย์ไม่มากพอน่ะ เอาเช่นนี้ดีกว่า หากเ้าช่วยข้ารักษาใบหน้าของจงหลิงหายดี เมื่อได้ศิลาทิพย์มา ข้าจะนำไปซื้อโอสถรักษาอาการาเ็ให้เ้า เช่นนี้คงได้สินะ?”
ได้ยินเช่นนี้ จิ้งจอกน้อยกลอกตา
“จิ้งจอกน้อย เ้าบอกเองมิใช่หรือว่าเ้าเป็สัตว์เทพ ไม่มีสิ่งใดไม่รู้และทำไม่ได้นี่? หรือที่จริงแล้ว เ้าไม่รู้จักอสูรยุงั์ตัวนี้?” เฉียวรุ่ยมองอสูรเลี้ยงของตนพลางทำสีหน้าดูแคลน
‘ไอ้หนู จะเล่นกลยุทธ์ยั่วขุนพลใช่ไหม?’
“...” อุบายถูกเปิดโปง เฉียวรุ่ยถึงมีสีหน้าหงุดหงิด
“หากเ้าช่วยข้ารักษาใบหน้าของจงหลิงได้ ข้าก็จะซื้อโอสถขั้นสามระดับสูงให้เ้าเม็ดหนึ่ง”
“เทียนฉี นั่นแพงมากเลยนะ!” โอสถขั้นสามระดับสูงอย่างน้อยก็เจ็ดแปดพันก้อนศิลาทิพย์เชียว? รักษาใบหน้าของจงหลิงหายดีจะได้ศิลาทิพย์สองหมื่นก้อน หักยันต์วิเศษกับโอสถที่ใช้ออกไปเท่ากับว่าได้ศิลาทิพย์มาแค่ไม่กี่พันก้อนเท่านั้น หากคิดซื้อโอสถดีปานนั้นให้จิ้งจอกน้อยอีก เช่นนั้นพวกเขาก็ไม่ได้เงินเลยน่ะสิ!
‘นี่ไอ้หนู เ้าเป็เ้านายของข้าไม่ใช่เหรอฮะ เ้านี่ใจกว้างสู้ผู้ชายของเ้าไม่ได้เลย พวกเ้าสองคนสังหารคนปล้นของได้ศิลาทิพย์มาแสนหมื่นกว่าก้อน แค่โอสถขั้นสามระดับสูงเม็ดเดียว เ้ายังตัดใจซื้อให้ข้าไม่ได้ ต้องขี้เหนียวปานนี้เลยหรือไง หืม?’
“เฮ้ เบาเสียงหน่อยสิ!” เฉียวรุ่ยได้ยินมันเอ่ยเื่นี้ก็ใ รีบเข้าไปอุดปาก
‘เ้าโง่ ข้าใช้พลังิญญาส่งกระแสจิตอยู่ เ้าอุดปากข้าทำไมฮะ? อีกอย่างหนึ่ง นอกจากพวกเ้าสองคน คนอื่นไม่มีทางได้ยินเสียงกระแสจิตของข้าได้หรอก เ้ากลัวอะไรกันฮึ?’
ได้ยินถึงตรงนี้ เฉียวรุ่ยคิดสักครู่ก่อนผ่อนลมหายใจ ปล่อยร่างของจิ้งจอกน้อย
“บอกมาเถอะ!” หลิ่วเทียนฉีจ้องจิ้งจอกน้อย รอคอยคำตอบจากมัน
‘อันที่จริง อสูรยุงั์เป็เพียงยุงตัวใหญ่เท่านั้น แต่พิษของมันช่างร้ายกาจนัก หากถูกมันดูดเืเข้า ิัจะแห้งเหี่ยวจนตาย’
“เพราะอย่างนั้น บนใบหน้าของศิษย์พี่จงถึงปรากฏหลุมใหญ่ยุบจมลงไปหลุมหนึ่ง ิัก็เหี่ยวย่นเหมือนคนแก่งั้นหรือ?” เฉียวรุ่ยมองจิ้งจอกน้อยแล้วถาม
‘ใช่ นางถูกอสูรยุงั์ดูดเื ต้องพิษจากจะงอยปากยาวของอสูรยุงั์ ถึงได้ปรากฏอาการเช่นนี้’
“เ้ารู้วิธีแก้พิษไหม?” หลิ่วเทียนฉีถามจิ้งจองน้อยอีกครั้ง
‘หากจะแก้พิษ ต้องใช้พิษต้านพิษ อสูรแมงมุมสุนัขในมือไอ้หนูคงได้ใช้ประโยชน์แล้ว พวกเ้าใช้พิษของมันรักษาสาวน้อยได้’
“เ้าตัวอัปลักษณ์นั่นมีพลังแค่ขั้นสาม่กลาง แต่ศิษย์พี่จงถูกสัตว์อสูรขั้นสาม่ปลายทำร้าย เช่นนั้นพิษของเ้านั่นจะพอหรือ?” เฉียวรุ่ยมองจิ้งจอกน้อย เอ่ยถามอย่างกังวล
‘พิษไม่พอก็รักษานางเพิ่มสักสองวัน อย่างไรพวกเ้าก็จะเอาศิลาทิพย์สองหมื่นก้อนของผู้อื่นมานะ? หากวันเดียวรักษาหาย ผู้อื่นคงรู้สึกว่าพวกเ้าได้ศิลาทิพย์มาง่ายเกินไป’
“แค่ใช้น้ำพิษของอสูรแมงมุมสุนัขก็ได้แล้วหรือ? ้าสิ่งอื่นอีกไหม?” หลิ่วเทียนฉีจ้องจิ้งจอกน้อย ถามเป็ครั้งสุดท้าย
‘น้ำพิษนั่นแก้พิษได้เท่านั้น ไม่อาจทำให้ใบหน้าของจงหลิงฟื้นคืนสภาพเดิมได้โดยสมบูรณ์ ฉะนั้น รอจนอีกฝ่ายแก้พิษสำเร็จ เ้าค่อยใช้วิธีอื่นฟื้นฟูหลุมบนหน้าของนาง เพราะเมื่อไรที่แก้พิษได้ การฟื้นฟูก็ไม่ใช่เื่ยาก’
‘เข้าใจแล้ว” หลิ่วเทียนฉีพยักหน้าตอบรับ
“เทียนฉี ถ้าอย่างนั้น ให้ข้าเอาเ้าตัวอัปลักษณ์ออกมาแล้วพวกเราเริ่มเก็บน้ำพิษกันดีไหม?’ ยังดีนักที่ก่อนหน้านี้ หลิ่วเทียนฉีบอก้าเก็บน้ำพิษของมันไว้ก่อน เฉียวรุ่ยจึงยังไม่ได้ขายออกไป ไม่เช่นนั้นตอนนี้คงไร้หนทางช่วยศิษย์พี่จงแก้พิษไปแล้ว
“ไม่ต้องรีบร้อนหรอก พวกเราไปตำหนักทองกันก่อน ซื้อถุงมือสักคู่ที่กันน้ำพิษ จากนั้นไปซื้อโอสถคืนสภาพเนื้อหนังเม็ดหนึ่ง เตรียมตัวให้พร้อมแล้วค่อยมาเก็บน้ำพิษกันดีกว่า”
“อืม!”
.........
จงหลิงโดนพิษมายี่สิบปีแล้ว เป็พิษที่ค่อนข้างพิเศษและทนทายาด ทำให้หลิ่วเทียนใช้เวลาทั้งหมดสิบวันในการนำน้ำพิษของอสูรแมงมุมสุนัข ยันต์วิเศษและโอสถมารักษาด้วยกัน รวมไปถึงใช้ศิลาทิพย์อีกแปดพันกว่าก้อน จนในที่สุดก็สามารถรักษาใบหน้าของจงหลิงให้หายดีอย่างสมบูรณ์ได้
จงหลิงเห็นใบหน้าฟื้นกลับเป็ปกติ ผิวขาวผ่องกระจ่างใส ไม่มีตำหนิอื่นใดสักนิดในกระจกสำริดก็ดีใจจนหลั่งน้ำตา
“ศิษย์น้องหลิ่ว ขอบคุณเ้าเหลือกิน หากไม่ใช่เ้า เกรงว่าทั้งชีวิตข้าคงไม่มีทางหาย!” จงหลิงพูดพลางเอาศิลาทิพย์ออกมาส่งให้หลิ่วเทียนฉีด้วยความซาบซึ้ง
“ศิษย์พี่จงเกรงใจเกินไปแล้ว ข้าเพียงพยายามอย่างสุดกำลังเท่าที่มีอยู่!” หลิ่วเทียนฉีรับศิลาทิพย์ของนางไปพลางเอ่ยอย่างถ่อมตน
“ศิษย์น้องหลิ่ว เ้ารักษาหน้าของข้ากับเฟยเฟยจนหายดี บัดนี้ทุกคนล้วนเป็สหายกันแล้ว หากหลังจากนี้ เ้า้าแผ่นค่ายกลหรือคนวางค่ายกลล่ะก็ มาหาข้าได้เสมอ เ้าวางใจเถอะ ข้าจะคิดในราคาต่ำที่สุดให้เ้าอย่างแน่นอน” จงหลิงมองหลิ่วเทียนฉีพร้อมเอ่ยสัญญา
“ใช่แล้ว ถ้า้าค่ายกลก็หาหลิงหลิง เมื่อไรที่้าอุปกรณ์อาคมก็มาหาข้า ไม่ต้องไปตำหนักทองอะไรนั่นหรอก ดูแผ่นค่ายกลป้องกันกิ๊กก๊อกนั่นที่เ้าซื้อมาสิ ค่ายกลป้องกันขั้นสามระดับล่างอันหนึ่งอายุการใช้งานเพียงครึ่งปีก็เก้าพันศิลาทิพย์เสียแล้ว อย่างน้อยเ้าก็ถูกหลอกเอาไปตั้งสามพันศิลาทิพย์เชียวนะ!” เมิ่งเฟยมองหลิ่วเทียนฉี บอกอย่างจนปัญญา
ได้ยินคำพูดนั้น จงหลิงพยักหน้า “เฟยเฟยพูดถูก ข้าวของที่ตำหนักทองล้วนฟันราคาทั้งสิ้น หากศิษย์น้องหลิ่วเอาเก้าพันศิลาทิพย์ไปวิทยาลัยค่ายกลของพวกเราโดยตรง อย่างน้อยก็ซื้อแผ่นค่ายกลป้องกันขั้นสามระดับกลางได้หนึ่งแผ่นเชียวล่ะ และยังมีอายุการใช้งานอย่างแย่ที่สุดก็สองปีด้วย”
“อา ตำหนักทองนี่หลอกเอาเงินเกินไปกระมัง?” เฉียวรุ่ยได้ยินคำพูดของทั้งสองคน รู้สึกปวดใจเป็อย่างยิ่ง
หลิ่วเทียนฉีมองคนรักตัวน้อยมีสีหน้าเ็ปจึงยิ้มเจื่อน
“ข้ากับเสี่ยวรุ่ยเพิ่งมาถึง ย่อมไม่เข้าใจลู่ทางเหล่านี้เท่าไรนัก ขอบคุณศิษย์พี่ทั้งสองที่เตือน หลังจากนี้หากข้า้าอุปกรณ์อาคมกับค่ายกล ข้าจะไปหาศิษย์พี่ทั้งสองโดยตรงขอรับ!”
“อีกอย่าง หากศิษย์น้องหลิ่วกับศิษย์น้องเฉียวออกไปฝึกวิชาข้างนอก หนังสัตว์อสูรกับกระดูกสัตว์อสูร พวกเ้าเอามาขายที่วิทยาลัยหลอมอุปกรณ์ของพวกเราได้ ส่วนผลึกสัตว์อสูรให้เอาไปขายที่ฝั่งหลิงหลิง ยันต์วิเศษก็เอามาขายให้พวกเราได้เหมือนกัน ข้ารับประกันว่าได้ราคามากกว่าที่นำไปขายที่ตำหนักทองแน่!”
“ขอรับ ขอบคุณศิษย์พี่เมิ่งที่ชี้แนะ!” หลิ่วเทียนฉีก้มศีรษะ รีบร้อนเอ่ยขอบคุณ
“สุดท้าย หาก้าความช่วยเหลือ ลองมาถามส่วนตัวดูก่อน อย่าบุ่มบ่ามไปประกาศภารกิจที่ตำหนักภารกิจเสียล่ะ ก่อนหน้านี้ ภารกิจรักษาหน้าของเฟยเฟยประกาศอยู่ที่นั่นหนึ่งปี ต้องจ่ายไปตั้งหนึ่งหมื่นก้อนศิลาทิพย์เชียว” จงหลิงเอ่ยเตือน
“อ๋า? หากเป็อย่างนั้น ศิษย์พี่เมิ่งก็เสียสองหมื่นก้อนศิลาทิพย์เลยหรือ?” เฉียวรุ่ยมองเมิ่งเฟยก่อนพูดด้วยความใ
“ใช่แล้ว เพราะอย่างนั้น ข้าถึงพาหลิงหลิงมาหาพวกเ้าโดยตรง ไม่ให้ต้องไปประกาศภารกิจที่ตำหนักไงล่ะ หากทำเช่นนี้ ศิลาทิพย์ทั้งหมดล้วนเป็ของศิษย์น้องหลิ่ว คุ้มกว่าหน่อยมิใช่หรือ?” เมิ่งเฟยบอกเหมือนเป็เื่สมควร
“อืม ช่างมีเหตุผลนัก น้องเล็กได้รับการสั่งสอนเสียแล้ว!” หลิ่วเทียนฉีพยักหน้าอย่างเข้าใจ
“ที่แท้เป็เช่นนี้เอง! ถ้าเช่นนั้น ทำไมตอนแรกศิษย์พี่เมิ่งถึงไปประกาศภารกิจที่ตำหนักเล่า?” เฉียวรุ่ยมองเมิ่งเฟยเล็กน้อยก่อนถามอย่างสงสัยใคร่รู้
“เพราะถามนักหลอมโอสถกับหมอมากมายเป็การส่วนตัว ก็ไม่มีใครรักษาใบหน้าข้าให้หายได้ ข้าซึ่งไร้หนทาง จึงเอาภารกิจไปประกาศไว้ที่ตำหนักน่ะ” เมิ่งเฟยยักไหล่ ตอบอย่างจนปัญญา
“ฮิๆ โชคดีที่เฟยเฟยประกาศภารกิจนั้น ไม่เช่นนั้นพวกเราคงไม่ได้พบศิษย์น้องหลิ่วหรอกกระมัง?” พูดถึงตรงนี้ จงหลิงพลันรู้สึกโชคดีเป็อย่างยิ่ง หากไม่ใช่เฟยเฟยติดประกาศ ใบหน้าของนางกับตนคงไม่พบใครที่สามารถรักษาหายได้แล้วล่ะ
“ใช่แล้ว สองหมื่นก้อนศิลาทิพย์ของข้าช่างไม่เสียเปล่า อย่างน้อยก็ทำให้ข้ารู้จักศิษย์น้องหลิ่วกับศิษย์น้องเฉียว สหายดีๆ ถึงสองคนเชียวนะ?”
“คำพูดนี้ไม่ผิดนัก!” จงหลิงพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
“ฮ่าๆๆ ได้รู้จักกับศิษย์อัจฉริยะทั้งสองของวิทยาลัยค่ายกลกับวิทยาลัยหลอมอุปกรณ์ ช่างเป็โชคดีของข้า หลิ่วเทียนฉีผู้นี้จริง”
“ศิษย์น้องหลิ่วยกยอพวกเราเกินไปแล้ว พวกเราเพียงสอบเข้าวิทยาลัยมาค่อนข้างนานเท่านั้น นอกจากนี้ หากบอกว่าพวกเราเป็อัจฉริยะของสองวิทยาลัยนี้ล่ะก็ ศิษย์น้องหลิ่ว เ้าก็นับว่าเป็อัจฉริยะของวิทยาลัยยันต์อย่างสมภาคภูมินะ!” จงหลิงบอกอย่างมั่นใจ
“ใช่แล้ว คนที่ใช้ยันต์วิเศษได้ยอดเยี่ยมเช่นนี้ ในวิทยาลัยยันต์คงมีเพียงศิษย์น้องหลิ่ว เ้าเพียงคนเดียว!”
“ฮึๆ ศิษย์พี่ทั้งสอง ชมเทียนฉีเกินไปแล้ว!” เฉียวรุ่ยกอดแขนคนรัก ยิ้มน้อยๆ ก่อนพูด
หลิ่วเทียนฉีเห็นเฉียวรุ่ยกอดแขนตนแน่น ทำท่าเป็เ้าข้าวเ้าของเต็มที่ก็ส่ายศีรษะ หลุดหัวเราะน้อยๆ
เมิ่งเฟยเห็นท่าทางประหนึ่งปกป้องอาหารของเฉียวรุ่ย อดกลอกตาไม่ได้ “วางใจเถอะ เ้าไหน้ำส้มน้อย พวกเราสองคนไม่ขุดฐานกำแพง1 ของเ้าหรอก”
“ฮ่าๆๆ ใช่แล้วล่ะ ศิษย์น้องหลิ่วอายุน้อยกว่าพวกเรามากนัก พวกเรามองศิษย์น้องหลิ่วเป็เพียงสหายเท่านั้น!” จงหลิงเห็นท่าทางของเฉียวรุ่ยก็หัวเราะออกมา
“ฮะๆ ช่วยไม่ได้นี่ ใครให้ศิษย์พี่ทั้งสองมีหน้าตาดั่งบุปผา ดั่งหยกงามล่มเมืองเช่นนี้เล่า?” เฉียวรุ่ยที่ถูกมองทะลุความคิดไม่โต้แย้ง ตรงกันข้าม เขายอมรับตามตรง
“เ้านี่นะ?” เมิ่งเฟยได้ยินจึงกลอกตาเล็กน้อย
“ฮ่าๆๆ หากเป็สภาพก่อนหน้านี้ของพวกเรา ศิษย์น้องเฉียวคงไม่กังวลเช่นนี้กระมัง?” จงหลิงมองเฉียวรุ่ยแล้วยิ้มถาม
“ฮ่าๆๆๆ พูดจากใจเลยนะ ข้าคิดว่าสภาพก่อนหน้านี้ของศิษย์พี่ทั้งสองทำให้ข้าวางใจมากกว่า!”
“ฮึ เ้าหนูคนนี้ หาเื่ต่อยตีงั้นหรือ?” เมิ่งเฟิงถลึงตา ยกหมัดขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์
“ฮ่าๆๆ...” จงหลิงได้ยินเฉียวรุ่ยว่าเช่นนี้ก็หัวเราะอย่างอ่อนใจ
“อย่าๆๆ ศิษย์พี่เมิ่ง ท่านระดับสร้างรากฐาน่ปลายเชียวนะ ข้าย่อมไม่ใช่คู่ต่อสู้ของท่านหรอก!” เฉียวรุ่ยส่ายศีรษะ รีบปฏิเสธ
“เชอะ!” เมิ่งเฟยชำเลืองมองท่าทางรับไม่ไหวของเฉียวรุ่ย นางเบะปากโดยไม่รู้ตัว
“เอาน่าเฟยเฟย เ้าไม่ต้องแกล้งศิษย์น้องเฉียวแล้ว ตอนนี้ไม่ใช่เวลาเช้านัก พวกเรากลับกันดีกว่า!” จงหลิงพูดพลางลุกขึ้นยืน เตรียมบอกลาทั้งสองคน
“หากศิษย์พี่ทั้งสองไม่รังเกียจ อยู่รับประทานอาหารเย็นที่นี่ก่อนค่อยไปดีไหมขอรับ?” หลิ่วเทียนฉีมองทั้งสองคนแล้วเชิญให้ทั้งคู่อยู่ก่อนอย่างใจกว้าง
“ไม่ต้องหรอกศิษย์น้องหลิ่ว พวกเราขอตัวเลยดีกว่า!”
“ใช่แล้ว พวกเราคงไม่อยู่กินด้วยหรอก ไม่เช่นนั้น หากศิษย์น้องเฉียวหึงขึ้นมา คืนนี้ศิษย์น้องหลิ่วคงต้องไปนอนในลานกระมัง!” เมิ่งเฟยมองทั้งสองคนพลางยิ้มหยอกเย้า
“ข้า ข้าไม่ได้ดุร้ายเช่นนั้นสักหน่อย?” เฉียวรุ่ยถูกเมิ่งเฟยว่าเช่นนี้ ใบหน้าพลันขัดเขิน เห่อแดงขึ้นมา
“ฮ่าๆๆๆ ศิษย์พี่เมิ่งล้อเล่นอีกแล้ว!”
“พอแล้ว พวกเราไปกันเถอะ พวกเ้าสองสามีภรรยา เชิญคลอเคลียกันตามสบาย!”
“ข้าขอส่งศิษย์พี่ทั้งสอง!” หลิ่วเทียนฉีกับเฉียวรุ่ยจูงมือกัน เดินมาส่งเมิ่งเฟยกับจงหลิงออกจากเรือนน้อยของพวกตนไป
--------------------------------------------------------------
1 เป็สำนวน หมายความว่า แย่งคนรักของคนอื่น