ใต้ต้นเหมยแดงต้นใหญ่ด้านหลังจวน ซึ่งอยู่ห่างจากศาลาเล็กไม่มากนัก
"ตุ้บ!"
ไป๋ลู่กำลังเอากำปั้นน้อยๆ ของนางทุบไปยังต้นไม้อย่างแรงหลายครั้งเพื่อระบายอารมณ์โกรธ ซึ่งจะเป็ใครไปไม่ได้ นอกจากผู้เป็เ้าของจวนแห่งนี้
“นี่เ้าทำสุดฝีมือแล้วอย่างนั้นหรือ?”
“สาบานได้ว่านี่คืออาหาร?”
“นี่อาหารหรือยาพิษ?”
“ฮูหยินคงไม่ได้วางแผนสังหารสามีใช่หรือไม่?”
หลังจากวันที่หวังจิ่นหรงได้ชิมสำรับอาหารแรกจากฝีมือการทำอาหารของนาง เขากลับไม่ได้เพียงแค่ชิมแล้วจบเื่ไปเท่านั้น แต่ยังถ่ายทอดคำสั่งออกไปอย่างเป็ทางการ
“ต่อจากนี้ หน้าที่ดูแลสำรับอาหารของข้าจะเป็ของฮูหยิน”
นับแต่นั้นเป็ต้นมา ไป๋ลู่จำต้องนำสำรับอาหารมาให้หวังจิ่นหรงวันละสามเวลา แถมยังถูกบังคับให้นั่งร่วมโต๊ะกับเขาทุกมื้อ
“ท่านโหว ข้าขอพูดตามตรง วันนั้นข้าก็ได้บอกชัดเจนแล้วว่าข้าจะไม่ร่วมโต๊ะกับท่าน เพราะเกรงว่ามารยาทของข้าอาจไม่ดีพอที่จะอยู่ร่วมกับท่าน”
หวังจิ่นหรงเงยหน้าขึ้นจากสำรับอาหาร สายตาเ็าของเขาจ้องเขม็งมาที่ไป๋ลู่
"วาจาเลอะเลือน รีบนั่งลงและทานข้าวเสีย เอาแต่พูดมาก เดี๋ยวกับข้าวจะเย็นชืดจนเสียรส"
“นี่ท่านฟังข้าอยู่หรือไม่?” ไป๋ลู่เอ่ยถามด้วยความหงุดหงิด
"อะไรนะ?” หวังจิ่นหรงยกคิ้วขึ้นเล็กน้อย แสร้งทำเป็ไม่เข้าใจในสิ่งที่หญิงสาวถามแต่อย่างใด
“ท่านจงใจแกล้งข้า!”
หวังจิ่นหรงกระตุกยิ้มมุมปากเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ย
“ถ้าเ้าไม่นั่งลงและทานข้าว ข้าจะสั่งลงโทษบ่าวของเ้าโทษฐานไม่ดูแลเ้าให้ดี ปล่อยปะละเลยจนเ้านายของตนนั้นไม่รู้หน้าที่ที่ตนพึงกระทำในจวนแห่งนี้”
“ท่านโหว!" ไป๋ลู่ขึ้นเสียงด้วยความโมโห
“ไม่รู้หน้าที่ เ้าต้องเรียกข้าว่าท่านพี่ต่างหาก”
หวังจิ่นหรงตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเย็น ก่อนจะหันไปสั่งการทันที
“หานชิง ลากผิงผิงไปโบยสิบทีโทษฐานละเลย ฮูหยินแต่งงานเข้ามาในจวนสามปีแล้ว แต่ยังไม่สามารถจดจำกฎของจวนแห่งนี้ได้”
“โอเค! ท่านพี่ สมใจท่านหรือยังล่ะ!”
“...”
คำพูดที่ดูแปลกประหลาดนั้น ถึงกับทำให้หว่างคิ้วของหวังจิ่นหรงย่นเข้าหากันด้วยความสงสัย
“ข้าจะนั่งกินข้าวกับท่านตรงนี้ก็ได้ แต่ห้ามสั่งลงโทษผิงผิงของข้านะ”
ไป๋ลู่ไม่อาจทนเห็นผิงผิงถูกลงโทษเพราะนางอีกต่อไป จึงต้องยอมอ่อนข้อให้กับหวังจิ่นหรงแสนใจแคบผู้นี้
“ผิงผิงของข้าอย่างนั้นหรือ?”
สีหน้าของหวังจิ่นหรงมืดครึ้มลง ทำให้เขาดูน่ากลัวยิ่งขึ้น ไป๋ลู่รู้สึกหวั่นไหวจนไม่กล้าสบตาเขาตรงๆ
อีตาบ้านี่ ทำไมต้องจ้องข้าด้วยสายตาเช่นนี้ด้วย ข้าก็แค่บอกว่าอย่าทำร้ายผิงผิงของข้าก็แค่เท่านั้นเอง
และหลังจากวันนั้น ไป๋ลู่กับหวังจิ่นหรงก็ปะทะฝีปากกันไม่เว้นแต่ละวัน ไป๋ลู่จึงต้องมาระบายอารมณ์กับต้นเหมยแดงแห่งนี้เป็ประจำ
นิสัยเดิมนั้นเนื่องจากใช้ชีวิตอยู่คนเดียวเป็ประจำ จึงไม่ค่อยมีโอกาสได้โต้เถียงหรือมีปากเสียงกับผู้ใดมากนัก แต่เมื่อก้าวเข้าสู่จวนที่เต็มไปด้วยคนปากร้ายใจคดอย่างหวังจิ่นหรง โทสะที่แทบจะหลับใหลในส่วนลึกของจิตใจกลับปะทุขึ้นมาครั้งแล้วครั้งเล่า
จนกระทั่งวันหนึ่ง ไป๋ลู่ที่เริ่มรู้สึกอึดอัดกับบรรยากาศของจวนโหว จึงตัดสินใจทำลายความซ้ำซากจำเจนี้ด้วยการออกไปเดินเล่น เปิดหูเปิดตาให้สดชื่น
แม้จะรู้ดีว่าไม่ใช่ธรรมเนียมของฮูหยินที่จะออกนอกจวนโดยไม่มีเหตุผล แต่นางก็ไม่แยแสเสียงซุบซิบนินทาหรือกฎเกณฑ์ของจวนแต่อย่างใด
"ท่านจะไปไหนหรือเ้าคะ ฮูหยิน?"
ผิงผิงรีบวิ่งตามมาถามนายของตนด้วยความเป็ห่วง จู่ๆ นางก็รีบเดินอย่างไวราวกับจะไปสังหารใคร
"ก็ไปเดินเล่นนอกจวนน่ะสิ ตัวข้าน่ะ อยู่ในจวนแห่งนี้จนจะเป็บ้าอยู่แล้ว"
ผิงผิงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายนางก็รีบวิ่งกลับเข้าไปในเรือนนอน และวิ่งกลับมาพร้อมกับเสื้อคลุมตัวหนึ่งติดมือออกมาด้วย
"ถ้าอย่างนั้นบ่าวจะตามไปด้วยนะเ้าคะ ท่านจะได้ไม่ต้องไปเสี่ยงอันตรายคนเดียว"
"ตามใจเ้าเถอะ" ไป๋ลู่เอ่ยกับผิงผิงก่อนที่จะออกจากจวนไปพร้อมกับผิงผิง เพื่อเดินเล่นในเขตตลาดที่นางยังไม่เคยััมาก่อน แต่ขณะที่ทั้งสองนั้นกำลังก้าวขาออกไปจากประตูจวน
“ไม่ได้นะขอรับ หากไม่มีคำสั่งของท่านโหว ฮูหยินจะไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น สตรีที่ออกเรือนแล้ว หาก้าออกนอกจวนจะต้องขออนุญาตสามีก่อน ได้โปรดอย่าทำให้บ่าวลำบากใจเลยนะขอรับ”
“แค่จะออกจากจวนแห่งนี้ ข้าต้องขออนุญาตท่านโหวด้วยหรือ?”
เสียงของไป๋ลู่เต็มไปด้วยความหงุดหงิดที่ไม่อาจปกปิดได้ นางไม่เข้าใจว่าทำไมทุกอย่างในชีวิตของนางต้องถูกจำกัดไว้เพียงเพราะนางเกิดมาเป็สตรี
"ทำไมในยุคนี้การเป็สตรีต้องเสียเปรียบขนาดนี้? แม้แต่การเดินออกจากประตูบ้าน ยังต้องอยู่ในสายตาของบุรุษอย่างนั้นหรือ?"
ไป๋ลู่ถอนหายใจลึก พร้อมกับความขมขื่นในใจว่าทำไมนางถึงต้องมาเกิดใหม่ในยุคที่สตรีเป็ช้างเท้าหลังด้วย
“หากฮูหยินจากจะออกไปเดินเล่นนอกจวนมาก ข้าจะพาเ้าไปเอง”
ไป๋ลู่หันหน้าไปตามทิศทางของเสียงทุ้มลึก จึงเห็นว่าเป็หวังจิ่นหรงที่กำลังเดินมายังประตูหน้าของจวน
“ท่านโหวคิดจะมาไม้ไหนกัน อีกประเดี๋ยวท่านก็หาเื่สั่งลงโทษข้าอีก”
หวังจิ่นหรงสบตากับไป๋ลู่ ดวงตาสีเทาอ่อนคู่งามคงกำลังสับสนกับพฤติกรรมของเขาเป็แน่แท้
ที่ทำไปทั้งหมดนั้น ข้าไม่ได้ตั้งจะทำร้ายเ้าแต่อย่างใด แต่ข้าจำเป็ต้องทำเพื่อแน่ใจว่าเ้าจะปลอดภัยเมื่ออยู่ในสายตาของข้า...
“เพราะเ้าดื้อ ข้าถึงต้องสั่งลงโทษ ถ้าเ้าไม่ดื้อ ไม่ขัดคำสั่ง ไม่เอาแต่เถียง คนมีสมองที่ไหนจะสั่งลงโทษฮูหยินของตัวเองกันเล่า”
ไป๋ลู่ต้องทอดถอนใจอีกครั้งกับความเอาแต่ใจของท่านโหว แต่เมื่อพิจารณาว่านี่อาจเป็หนทางเดียวที่จะได้ออกไปเปิดหูเปิดตานอกจวน นางจึงเลือกที่จะปิดตาข้างหนึ่ง มองข้ามคำพูดที่ไม่ค่อยน่าฟังของเขา
พูดจบท่านโหวก็เดินนำหน้าไปขึ้นรถม้า ผิงผิงรีบพาไป๋ลู่เดินตามท่านโหวขึ้นรถม้าไปด้วยกัน
ระหว่างที่กำลังก้าวขาขึ้นรถม้านั้น ไป๋ลู่กลับเสียจังหวะไปชั่วครู่ ดวงตาสีเทาอ่อนคู่งามเบิกกว้างไปด้วยความใ แต่ก่อนที่นางจะเซถลาลงไป
“ขวับ!”
มือแกร่งที่เต็มไปด้วยาแยื่นออกมาจากรถม้าอย่างรวดเร็ว คว้าข้อมือเรียวบาง และดึงตัวของหญิงสาวขึ้นมาบนรถม้าได้อย่างปลอดภัยได้ในท้ายที่สุด
“ระวังตัวหน่อยสิ ขนาดแรงจะขึ้นรถม้าฮูหยินยังไม่มีเลย แล้วจะเอาเรี่ยวแรงที่ไหนไปเดินชมตลาดกัน”
“ใครบอกกับท่านโหวว่าข้าไม่มีแรงกัน แขนข้าออกจะแข็งแรงปานนี้ สมัยที่ยังเป็บาร์เทนเดอร์ อุ๊บ!”
ด้วยความใในสิ่งทีตัวเองหลุดปากออกมา มือเรียวบางถูกยกขึ้นมาปิดปากตัวเองอย่างไว
ว้าย เผลอพูดเื่ไร้สาระจนได้!
หวังจิ่นหรงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ดวงตาสีทองคู่นั้นแฝงไว้ด้วยความสงสัยเจือขบขันเล็กน้อย ริมฝีปากยกขึ้นคล้ายรอยยิ้มเล็กน้อย ก่อนที่มันจะกลับมาเรียบนิ่งอีกครั้ง
"บาร์เทนเดอร์? ข้าชักอยากรู้เสียแล้วว่าสระน้ำที่จวนข้ามีอะไรอยู่ในนั้น ถึงทำให้ฮูหยินของข้าประหลาดขึ้นไปทุกวัน คำพูดคำแปลกๆ หลุดออกมาจากปากแทบนับไม่ถ้วน"
พูดจบ หวังจิ่นหรงก็เอาหลังแกร่งเอนหลังพิงเบาะนั่งในรถม้า ท่าทางแกร่งกร้าวของเขาแฝงด้วยความผ่อนคลายราวกับสนุกที่ได้ยั่วโมโหหญิงสาว ดวงตาสีทองจับจ้องไปยังไป๋ลู่ที่แอบใช้หางตามองเขาอย่างไม่พอใจ
ระหว่างที่อยู่ในรถม้า ทั้งสองต่างไม่มีใครพูดจากับใคร ไป๋ลู่นั้นสนใจเพียงแค่ทิวทัศน์ของเมืองหลิงเสวี่ยที่อยู่เบื้องหน้า เพราะไม่เคยมีโอกาสได้เห็นบ้านเมืองในยุคสมัยโบราณมาก่อน จึงรู้สึกตื่นเต้นจนออกนอกหน้า ลืมคนที่นั่งรถม้ามาด้วยกัน
“ฮูหยิน...” น้ำเสียงเ็าดังขึ้นขัดความเงียบ หวังจิ่นหรงเลิกคิ้วพลางมองไป๋ลู่ด้วยสายตาเรียบเฉย
“เ้าจะนั่งสำรวมกับเขาเป็หรือไม่? ข้าไม่ยักรู้ว่าเ้าโตมาแล้วจะมีกิริยาเช่นนี้”
“โตมาแล้วจะมีกิริยาเช่นนี้? พูดอย่างกับท่านเคยรู้จักข้าข้าดีอย่างนั้นหล่ะ”
“เด็กโง่!”
หวังจิ่นหรงพูดพลางส่ายหน้าเบาๆ นี่นางลืมสิ้นหมดแล้วจริงหรืออย่างไร?
“ท่านฉลาด ฉลาดที่สุดแล้ว”
ไป๋ลู่ตอบกลับด้วยน้ำเสียงประชดประชันชัดเจน นางเบือนหน้าหนี พลางถอนหายใจยาว นิสัยชอบพูดข่มคนอื่นของหวังจิ่นหรง หากเขาจะเลิกได้สักวัน คงจะดีไม่น้อย
หลังจากที่รถม้าเข้ามาจอดในตัวเมือง หวังจิ่นหรงประคองร่างน้อยลงมาจากรถม้าด้วยกลัวว่าจะเกิดเหตุการณ์เซถลาอีก โดยไม่สนใจว่าเ้าตัวนั้นจะให้ความยินยอมหรือไม่ก็ตาม
พ่อค้าแม่ค้าต่างพากันวางแผงขายของท้าลมหนาว แผงขายอาหารร้อนๆ ขนมปิ้ง หมั่นโถว และบะหมี่สดทำมือ ส่งผลให้ไอควันที่พุ่งโขมงนั้นลอยขึ้นมาพร้อมกับกลิ่นหอมชวนให้ลิ้มลอง
ไป๋ลู่มองขนมหวานเ่าั้ด้วยความสนใจ โดยที่มีเอกบุรุษผู้น่าเกรงขามตามติดไม่ห่างกาย
แม้ว่าหวังจิ่นหรงจะมีรูปลักษณ์ที่หล่อเหลา ทั้งยังมีรูปร่างสูงโปร่งกำยำสมกับสายเืนักรบ แต่สีหน้าที่เคร่งเครียดดุดันตลอดเวลาของเขานั้น กลับทำให้ไม่มีใครกล้าเข้าหาเลยสักคน
ยิ่งมีศักดิ์เป็ถึงท่านโหวแห่งแดนเหนือ ทำให้ระยะห่างของเขากับผู้คนนั้นยิ่งห่างไกลกัน แม้จะมีสตรีที่แอบชมชอบในตัวเขา แต่กลับไม่มีใครกล้าเข้าหาเขา ด้วยความหวาดกลัวต่อชะตากรรมอันน่าสะพรึงที่เคยเกิดขึ้น
เคยมีสตรีหน้าไม่อายผู้หนึ่งที่บังอาจเข้าหาเขาอย่างโจ่งแจ้ง แต่ก็ถูกกำจัดด้วยวิธีการอันโหดร้ายไร้ความปรานี เหตุการณ์นั้นยังคงฝังลึกในใจของผู้คน จนไม่มีผู้ใดกล้าแม้แต่จะสบตากับเขาอีกเลย
ไป๋ลู่สนใจร้านหนังสือเก่าร้านหนึ่ง นางจึงรีบเข้าไปหาหนังสือในร้านทันที
พ่อค้าหนังสือนั่งตรงแผงหนังสือเก่าๆ ที่วางซ้อนกัน ไป๋ลู่จึงเดินเข้าไปสอบถามเกี่ยวกับหนังสือประวัติศาสตร์ ตำราสมุนไพร
โชคช่างเข้านางเสียจริง ตำราสมุนไพรนั้นวางอยู่ตรงหน้ารางกับว่ารอให้นางมาศึกษาอย่างไรอย่างนั้น โดยมีท่านโหวตามติดนางไม่ห่าง
ท่าทางของเขานั้นช่างพิลึกพิลั่นเสียจริง! เมื่อวานยังดุดันร้ายกาจ แต่มาวันนี้กลับเปลี่ยนเป็อารมณ์ดี เขาจะเอาอย่างไรกันแน่?
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้