โอวหยางเทียนหัวที่กำลังตั้งใจจะร่วมรักกับลู่หลิงฉิงอีกสักรอบอย่างเต็มที่ถึงกับสีหน้าเปลี่ยนไปน้อยๆ จากนั้นก็ผลักสตรีที่อิงแอบอยู่แนบอกตนให้ล้มลงไปบนพื้น ก่อนจะลุกขึ้นยืน รีบสวมอาภรณ์แล้วเดินไปยังห้องรับรองด้านหน้า
ลู่หลิงฉิงมองแผ่นหลังของโอวหยางเทียนหัว ดวงตางามค่อยๆ แปรเปลี่ยนไปน้อยๆ จากนั้นจึงเผยรอยยิ้มอันน่าแปลกประหลาด
ทว่า สิ่งที่นางคิดไม่ถึงก็คือ หลังจากที่โอวหยางเทียนหัวเดินออกไปได้ไม่นานก็กลับมาอีกครั้งด้วยใจที่ไร้ซึ่งความทะนุถนอมรักใคร่ ชายผู้สูงศักดิ์ดึงผมลู่หลิงฉิงขึ้นแล้วตบหน้านางอย่างรุนแรงไปทีหนึ่ง “คนชั้นต่ำ ดูสิว่าอาเขยเ้าทำเื่อันใดลงไป”
เมื่อลู่หลิงฉิงได้ยินเช่นนั้น ขอบตาพลันแดงก่ำ จากนั้นจึงรับจดหมายในมือเขามาดูด้วยตนเอง ฉับพลันนั้นทั้งร่างถึงกับแข็งทื่อ สีหน้าอึ้งค้าง เมื่อหนึ่งเดือนก่อน อาเขยของนางหรือก็คือป่ายเจี้ยนตงได้นำกำลังคนไปสังหารเหล่าองครักษ์ลับและนักรบกล้าตายที่รัชทายาทซุ่มฝึกไว้ที่ชิงโจวจนตายเรียบ ทั้งยังจับนายอำเภอในท้องที่ไปขังไว้ด้วยเหตุผลที่ว่า นายอำเภอผู้นั้นลอบฝึกฝนคนเ่าั้อย่างลับๆ
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ สีหน้านางก็ขาวซีดในทันที เพราะนี่ย่อมหมายความว่า อาเขยนางทำให้รัชทายาทเสียการใหญ่น่ะสิ ถึงแม้นางจะไม่ค่อยสนใจเื่อื่นใดที่ด้านนอกมากนัก แต่นางก็พอรู้ว่า เป้าหมายที่ต้องฝึกองครักษ์ลับและนักรบกล้าตายในชิงโจวนั้นมีไว้เพื่อการใด
เมืองที่ตั้งอยู่ข้างชิงโจวก็คือหานโจว ซึ่งสถานที่แห่งนั้นมีคนที่รัชทายาทหวั่นเกรงมากที่สุดอยู่ นั่นก็คือพระโอรสสายตรงของฮ่องเต้ผู้เป็ทายาทสืบบัลลังก์อย่างถูกต้องอันดับหนึ่ง หากคนคนนั้นยังไม่ตายก็คงไม่มีแม้สักวันที่รัชทายาทจะวางใจลงได้ ดังนั้น คนเ่าั้ที่ถูกฝึกฝนไว้อย่างลับๆ ย่อมต้องเป็คนที่รัชทายาทจะนำมาใช้จัดการกับหานอ๋อง
“ความพยายามหลายปีมานี้ของเปิ่นไท่จื่อล้วนถูกป่ายเจี้ยนตงทำให้วุ่นวายไปเสียหมด ลู่หลิงฉิงนะลู่หลิงฉิง ตระกูลลู่ของพวกเ้ามีเขยที่ไม่ธรรมดาอยู่คนหนึ่งจริงๆ ” รัชทายาทมองสตรีตรงหน้าด้วยสายตาเ็า “หากเขาไม่คิดจะช่วยเปิ่นไท่จื่อก็ช่างเถอะ ทว่า คนกลับไม่ยอมอยู่เฉย สอดมือเข้ามายุ่งอยู่ลับหลัง”
ลู่หลิงฉิงถอยหลังไปสองก้าว สายตาจดจ้องเพียงคนตรงหน้า นางส่ายหน้าไม่หยุดพลางพูดว่า “รัชทายาท เื่นี้จักต้องมีอะไรที่ไม่ชอบมาพากลแน่ ท่านก็รู้ ตระกูลลู่ของข้าภักดีต่อท่านมาตลอด”
เมื่อโอวหยางเทียนหัวได้ยินก็หัวเราะเ็า “เื่ตระกูลลู่ภักดีต่อข้าก็นับว่าจริงอยู่ แต่ที่น่าเสียดายก็คือ ป่ายเจี้ยนตงนั่นไม่ได้มีใจเหมือนกับคนอื่นๆ ในตระกูลลู่ของเ้าน่ะสิ เพราะคนที่เขาภักดีด้วยมีเพียงฮ่องเต้ผู้เดียวมาโดยตลอด ดังนั้น ไม่ว่าใครจะขึ้นรับตำแหน่ง สำหรับเขาแล้วก็คงเหมือนกัน”
เทียนหัวให้ความสำคัญกับตระกูลลู่มาก เพราะนอกจากตระกูลลู่จะมีกำลังทหารอยู่ในมือแล้วก็ยังมีดีที่ป่ายเจี้ยนตงผู้เป็บุตรเขยของตระกูลผู้นี้อยู่อีกคน ป่ายเจี้ยนตงนับเป็แม่ทัพที่ฮ่องเต้ให้ความสำคัญมากที่สุดคนหนึ่ง ซึ่งหากได้ถามไถ่คนทั้งทั่วหล้าว่า ยังจะมีใครที่คู่ควรให้พระบิดาตนเชื่อพระทัยได้อีก ก็คงตอบได้เพียงว่าบุรุษสมองทึบเช่นป่ายเจี้ยนตงนี่แหละ
เหตุที่กล่าวเช่นนั้น เพราะบุรุษมากหน้าที่อยู่ในท้องพระโรงนั่นจะมีสักกี่คนกันที่แค่ไม่ถูกกันคำเดียวก็สามารถเกรี้ยวโกรธดังไฟสุมอกกับพ่อตาของตัวเองได้ แล้วคนเช่นนี้จะไม่ให้ผู้ที่อยู่ในตำแหน่งสูงศักดิ์ให้ค่าให้ความสำคัญได้เช่นไร ถึงกระนั้นก็ยังน่าเสียดาย แม้ตอนนี้เทียนหัวจะได้เป็ถึงรัชทายาทที่ดูเหมือนจะห่างจากตำแหน่งสูงสุดแค่เพียงก้าวเดียว ทว่า ความแตกต่างของสองตำแหน่งนี้กลับดูราวกับเป็ฟ้ากับดิน
ดังนั้น คนที่ภักดีต่อฮ่องเต้เช่นป่ายเจี้ยนตงนี้ถือเป็คนที่เขาเกลียดที่สุด
ไม่ว่าจะขุนนางบุ๋นหรือขุนนางบู๊ หากได้ตัดสินใจเลือกข้างแล้ว และข้างที่เลือกนั้นไม่ใช่เขา ไม่ว่าอย่างไรคนเยี่ยงเทียนหัวก็จักต้องทำทุกวิถีทางเพื่อสังหารอีกฝ่ายเสีย แต่สำหรับป่ายเจี้ยนตงคนนี้กลับถือเป็ข้อยกเว้น เพราะความภักดีของคนล้วนอยู่ในสายพระเนตรของฮ่องเต้ หากเขาคิดจะลงมือกับป่ายเจี้ยนตงเมื่อใด ครานั้นคงได้ชักนำภัยมาสู่ตนเป็แน่ ทั้งยังจะทำให้ฮ่องเต้เกิดความเคลือบแคลงอีก
เมื่อใคร่ครวญอย่างถี่ถ้วนแล้ว ในใจเขาก็หงุดหงิด บนโลกนี้ยังมีคนที่ทิฐิสูงเช่นนี้อยู่ด้วย
“รัชทายาท ข้า...”
ลู่หลิงฉิงขอบตาแดงก่ำ น้ำตาไหลหยดลงมาไม่ขาดสาย “ท่านจะนำความผิดที่อาเขยกระทำต่อท่านมากล่าวโทษข้าและตระกูลลู่หรือ? ” การกระทำนี้ก็แค่ถอยเพื่อรุก ใครไม่เป็บ้าง นางรู้ดีว่ารัชทายาทไม่มีทางลงมือกับตระกูลลู่ในทันที และการตบเมื่อครู่นี้ก็แค่เพราะในใจเขารู้สึกหงุดหงิด ไม่ยินยอม และโกรธแค้น ดังนั้นการที่นางยอมให้เขาตบสักทีหนึ่งก็นับว่าเพียงพอ เพราะนั่นก็แค่ตบเดียว สำหรับนางแล้ว ขอแค่เมื่อก้าวออกไปจากห้องนี้ หากตนยังสามารถเป็ชายารัชทายาทที่สง่างามเช่นเดิมได้ก็ย่อมคุ้มค่า
โอวหยางเทียนหัวมองนางไปทีหนึ่ง จากนั้นก็พูดเรียบๆ “ก่อนหน้านี้พระมารดาพูดกับข้าเกี่ยวกับเื่ที่จะแต่งชายารองเข้ามา หากเ้ามีเวลาก็เข้าวังไปสอบถามพระมารดาที ว่าพระองค์ทรงเลือกบุตรสาวจากตระกูลใดไว้”
คำบอกกล่าวเลื่อนลอยทำให้ลู่หลิงฉิงเห็นเค้าลางที่ไม่ดี นางถอยหลังไปสองก้าว “รัชทายาท ท่านจะแต่งชายารองเข้ามาหรือ? ”
เขาส่งเสียงอืมเสียงหนึ่ง “แม้เรือนหลังจะมีสตรีอื่นอยู่อีก แต่ชายารองข้างกายเปิ่นไท่จื่อก็ว่างเว้นมาสองปีแล้ว หลิงฉิง ในเมื่อเ้าเองก็ติดตามเปิ่นไท่จื่อมานานพอควรก็น่าจะรู้ดีนะว่า เปิ่นไท่จื่อรังเกียจคนเช่นไร”
เมื่อพูดจบ เขาก็หมุนกายจากไป
ทันทีที่ชายหนุ่มหันกายไป ลู่หลิงฉิงก็ปล่อยกายนั่งลงบนเก้าอี้โดยแรง ใช่แล้ว นางติดตามเขามานาน แน่นอนว่า ย่อมต้องรู้ดีว่าเขารังเกียจคนที่ริษยาเป็ที่สุด มิเช่นนั้น กาลก่อนเฉียวอวิ๋นซีคงไม่ต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่น่าอนาถเพียงนั้น
นางมองแผ่นหลังของเขา จากนั้นก็พูดเสียงขรึม “หม่อมฉันจะเข้าวังไปปรึกษากับพระมารดา เพื่อช่วยรัชทายาทเลือกสรรชายารองสองตระกูลที่สามารช่วยเหลือท่านได้”
เมื่อโอวหยางเทียนหัวได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้า “ชายารัชทายาทของเปิ่นไท่จื่อจะเป็คนคิดริษยามิได้ ขอแค่เ้าทำตัวดี เปิ่นไท่จื่อก็ย่อมให้สัญญากับเ้าได้ว่า ตำแหน่งชายารัชทายาทนี้จะเป็ของเ้าเพียงผู้เดียวตลอดไป ในวันหน้า สตรีที่จะได้เป็มารดาของแผ่นดินก็จะมีเพียงเ้า และเรือนหลังนี้ไม่ว่าจะมีคนเข้ามามากเท่าใด ก็จะไม่มีใครสามารถล้ำหน้าไปกว่าเ้าได้”
ลู่หลิงฉิงยิ้มขมขื่น สิ่งที่นางอยากได้มาตลอดมิใช่สิ่งเหล่านี้หรอกหรือ? ทว่า ทันทีที่ได้ยินว่าเขาจะรับชายารองเข้ามา เหตุใดตนจึงต้องรู้สึกปวดใจ เสียใจ ทั้งที่ควรจะดีใจถึงจะถูก เพราะหากเป็เช่นนี้ก็เท่ากับว่า ตนเองต้องห่างไกลจากตำแหน่งฮองเฮาแห่งหนานเย่าไปอีกก้าว...
................................................................................................
ไม่นานนักเทียนหัวก็มาถึงยังห้องหนังสือของตนด้วยความกริ้ว และเมื่อเห็นคนสองสามคนที่อยู่ตรงหน้าตน เขาก็พูดขึ้นด้วยเสียงเ็า “เื่ของโอวหยางจวินเหยียนสืบไปถึงไหนแล้ว แล้วทางอวี่โหรวเล่า สำเร็จหรือยัง? ”
“อวี่โหรว พลาดแล้ว” เฉิงป๋อหยางพูดเสียงเบา “คนที่อวี่โหรวพาไปล้วนถูกสังหารสิ้น ส่วนศพนั้นก็ถูกแขวนไว้ที่นอกประตูเมืองนครหานโจว จนถึงตอนนี้ก็แขวนมาได้เดือนหนึ่งแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อโอวหยางเทียนหัวได้ยินก็ขมวดคิ้วย้อนถาม “หรือก็คืออวี่โหรวทำงานพลาดมาได้เดือนหนึ่งแล้ว? แต่เหตุใด ข่าวถึงเพิ่งจะมาถึงเปิ่นไท่จื่อเอาตอนนี้” แม้ตะวันตกเฉียงเหนือจะอยู่ไกลจากเมืองหลวงมาก แต่ถ้าใช้อินทรีช่วยส่งข่าวให้ รอประมาณสองวันก็น่าจะทราบข่าวได้ แต่เหตุใดเื่ถึงเพิ่งมาถึง
“ไม่เพียงแต่เหล่านักรบกล้าตายที่เราซุ่มฝึกฝนอยู่ในหุบเขาถูกฆ่าตาย แต่เหล่าสายลับที่ผ่านการฝึกฝนมาเป็อย่างดีของพวกเราที่อยู่ทางนั้นก็ไม่มีเหลือแม้แต่คนเดียวเช่นกัน หลายปีมานี้คนของเราที่แฝงตัวอยู่ในหานโจวล้วนถูกถอนรากถอนโคนจนหมด ส่วนหานอ๋องและคนของเขาเองก็มีใจคิดจะปิดข่าว ทำให้เราได้แต่ต้องรอข่าวจากทางลู่เหวินเจิ้นที่กว่าจะมาถึงก็กลายเป็ว่า เื่นั้นผ่านมาได้ครึ่งเดือนแล้ว ยิ่งกว่านั้น อินทรีส่งข่าวก็ยังถูกยิงทิ้ง จดหมายถูกขโมย ส่วนพวกที่กลับมารายงาน ระหว่างทางก็ต้องพบเจอกับอันตรายมากมาย”
เมื่อโอวหยางเทียนหัวและกุนซือที่เหลือได้ฟังคำของเฉิงป๋อหยางก็ต่างพากันตกตะลึง “เหตุใดจึงเป็เช่นนี้ หลายปีมานี้โอวหยางจวินเหยียนลงมือน้อยครั้งยิ่ง ถึงขนาดที่อาจเรียกได้ว่า คนเป็เต่าหดหัวอยู่แต่ในจวนหานอ๋อง ไม่มีแม้ความเคลื่อนไหวใด แต่เหตุใดจู่ๆ ครานี้ถึงได้ลงมือกระทำการอย่างเหี้ยมโหดเพียงนี้ได้”
หมากตัวนี้ของจวินเหยียนราวกับเป็การทำลายหมากทั้งกระดานที่โอวหยางเทียนหัววางไว้อย่างดิบดีจนหมดสิ้น
“ดูท่า ข้างกายหานอ๋องจะมีกุนซือมากฝีมือ” เฉิงป๋อหยางมองไปยังรัชทายาทแล้วจึงพูดต่อ “องค์ชาย หากจะให้ดีที่สุด พวกเรามิควรมีความเคลื่อนไหวใดชั่วคราว อย่างไรเสีย หากหานอ๋องอยากกลับเมืองหลวงก็ย่อมไม่ง่ายดาย เพราะการจะเปลี่ยนแปลงหานโจวนั้นยากเหมือนขึ้นฟ้าอย่างไม่ต้องสงสัย อีกทั้ง ดำริของฝ่าาคืออันใด ตอนนี้พวกเราก็ยังเดาไม่ได้”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้