ให้ตายเถิด! โชคดีที่นางมีมิติวิเศษ สามารถแอบนำสิ่งของที่ท่านปรมาจารย์ทั้งสองยัดให้ตนเข้าไปเก็บไว้ข้างในมิติได้ ไม่เช่นนั้นก็มิอาจหอบข้าวของของท่านอาจารย์ทั้งสองเอาไว้ได้จริงๆ
ไม่ถูกต้อง ประเดี๋ยวก่อน...
ตนมีมิติวิเศษจึงสามารถเก็บสิ่งของมากมายถึงเพียงนี้ได้ แต่สิ่งของบนกายของอาจารย์ทั้งสองมาจากที่ใดเล่า? หรือว่า?...
พวกเขาก็มีมิติเก็บของเช่นกัน
์! แท้จริงแล้วนางทะลุมิติมายังโลกเช่นใด? คงมิใช่โลกแฟนตาซีหรอกกระมัง?
เคอโยวหรานไม่เข้าใจ ทั้งยังกลัวว่าจะเผยพิรุธมากเกินไป นางจึงไม่กล้าถามอาจารย์ทั้งสองซี้ซั้ว ควรจะรออีกสักหน่อย สำรวจอีกสักระยะแล้วค่อยเอ่ยออกไป
นางหอบข้าวของและหิ้วตะกร้าลูกหมาป่ากลับเข้าห้อง จัดการเก็บสิ่งของและตำราที่ท่านปรมาจารย์ทั้งสองให้มาไว้ในมิติวิเศษ
พลันเหลือบไปเห็นโลชันสีขาวที่เก็บมาจากหินงอกบนชั้นวางในมิติโดยมิได้ตั้งใจ
นางลองทดสอบดูแล้ว ของสิ่งนี้ไม่มีพิษแต่อย่างใด ทั้งยังดีต่อผิวพรรณยิ่งนัก ดังนั้นจึงหาขวดศิลาดลขนาดเล็กรูปทรงโบราณจำนวนหนึ่งบนชั้นวางมาแบ่งบรรจุให้เรียบร้อย
จากนั้นไปยังห้องของมารดาสกุลต้วนและเอ่ยว่า “ท่านแม่เ้าคะ นี่คือสิ่งที่ท่านอาจารย์ทั้งสองเพิ่งมอบให้ ข้าทดสอบดูแล้ว สามารถปรับผิวให้ขาวเนียนนุ่มขึ้น ท่านลองใช้ดูนะเ้าคะ”
ภายในใจมารดาสกุลต้วนรู้สึกอบอุ่น สิ่งของจากท่านปรมาจารย์ทั้งสองมีหรือจะเป็เพียงของธรรมดา นางจึงคลี่ยิ้มบางเอ่ยปฏิเสธว่า
“มีของดีๆ เหตุใดถึงไม่เก็บเอาไว้ใช้เองเล่า? แม่อายุมากแล้ว...”
ไม่รอให้มารดาสกุลต้วนบ่ายเบี่ยง เคอโยวหรานพลันยัดใส่มือของอีกฝ่ายและเอ่ยว่า “ท่านแม่เก็บไว้ใช้เถิดเ้าค่ะ ข้ายังมีอีก และจะเอาไปให้พี่สะใภ้รองอีกหนึ่งขวดด้วยเ้าค่ะ”
กล่าวจบก็หันหลังเดินไปทางห้องของไป๋ซื่อ เพราะพี่รองต้วนอยู่ในห้อง เคอโยวหรานไม่สะดวกเข้าไปจึงมอบสิ่งของให้ไป๋ซื่ออยู่หน้าห้อง
ไป๋ซื่อบ่ายเบี่ยงไม่ยอมรับเอาไว้ เคอโยวหรานพลันเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “พี่สะใภ้รองเ้าคะ ข้าขอไหว้วานท่านสักเื่เถิด”
ไป๋ซื่อถือขวดศิลาดลพลางคลี่ยิ้มเอ่ย “เื่อันใดหรือ? เ้าเอ่ยออกมาเป็พอ”
เคอโยวหรานหันไปกวักมือเรียกน้องสาวทั้งสองที่กำลังยืนมองตนอยู่หน้าประตูเรือนฝั่งตะวันตก
เด็กน้อยทั้งสองจูงมือกันวิ่งมาตรงหน้าเคอโยวหรานด้วยความดีใจ ขานเรียกเสียงหวานว่า “พี่หญิงใหญ่”
เคอโยวหรานลูบศีรษะเด็กน้อยทั้งสองแล้วเอ่ยกับไป๋ซื่อว่า “พี่สะใภ้รองขึ้นชื่อว่าฝีมือเย็บปักเป็เลิศ ข้าอยากขอให้พี่สะใภ้รองช่วยสอนน้องสาวทั้งสองของข้าในยามว่างเ้าค่ะ เอาแค่ขั้นพื้นฐานที่สุดเป็พอ”
ไป๋ซื่อคลี่ยิ้มละมุนพลางเอ่ย “ข้ากำลังกังวลว่าไม่รู้จะตอบแทนเ้าเช่นไรอยู่พอดี วางใจเถิด ข้าจะตั้งใจสอนอย่างแน่นอน ขอเพียงเป็สิ่งที่ข้ารู้ ข้าย่อมไม่มีทางเก็บซ่อนเอาไว้”
เคอโยวเยวี่ยเป็เด็กฉลาดหลักแหลม รีบดึงเคอโยวหลานย่อกายทำความเคารพไป๋ซื่อ เอ่ยอย่างปากหวานว่า “ขอบพระคุณท่านอาจารย์เ้าค่ะ”
ไป๋ซื่อรีบโบกมือเอ่ย “อย่าเลย พวกเ้าสองคนเรียกข้าว่าพี่สะใภ้รองเหมือนโยวหรานเป็พอ”
“อื้ม ขอบพระคุณพี่สะใภ้รองเ้าค่ะ!” เคอโยวเยวี่ยรีบขานรับ
ไป๋ซื่อยกยิ้มเอ่ย “ไม่ต้องเกรงใจ พวกเ้ากลับไปก่อน เมื่อข้าเตรียมข้าวของเสร็จจะไปยังห้องของพวกเ้า”
คนทั้งสามขานรับก่อนจะหันหลังเดินไปทางห้องของถงซื่อ
....
ต้วนเหลยถิงพาผู้ใหญ่บ้านเฉิน รวมถึงคนหนุ่มนับร้อยของสกุลเฉินมายังลานเข่นฆ่าโรมรันของสัตว์ป่า
ทุกคนถึงขั้นมิอาจอธิบายความรู้สึกภายในเสี้ยววินาทีนี้ได้
ในที่สุดก็มีคนสกุลเฉินผู้หนึ่งอดไม่ไหว เอ่ยด้วยความตื่นเต้นเกินปกติว่า “ฮ่าๆๆ ยังจะบอกว่ามิใช่การเก็บของดี ครั้งนี้คนสกุลเคอต้องนึกเสียดายอย่างสุดซึ้งเป็แน่”
“ฮ่าๆๆ ใช่แล้ว รีบเอาสัตว์ป่าไปขายโดยเร็ว มิเช่นนั้นหากปล่อยไว้นานเกินไป ซากสัตว์เหล่านี้คงไม่สดใหม่เสียก่อน...”
คนสกุลเฉินพากันพูดจาหยอกล้อทั้งรอยยิ้ม ต่างช่วยกันมัดสัตว์ป่าบนพื้นคนละไม้คนละมือ...
ต้วนเหลยถิงมองสำรวจโดยรอบแล้วถึงกับขมวดคิ้วเป็ปม
ปากถ้ำที่เขาอำพรางไว้เมื่อวานเล่า? เหตุใดถึงโล่งกว้างเช่นนี้ ไม่มีเงาของถ้ำแห่งนั้นแม้แต่นิด?
คนสกุลเฉินมิอาจล่วงรู้ว่าต้วนเหลยถิงกำลังสงสัยสิ่งใด คิดเพียงว่าเขากำลังช่วยระวังรอบข้างให้พวกตน เพราะถึงอย่างไรที่นี่ก็คือบนเขาลึก ไม่แน่ว่าอาจมีสัตว์ป่าดุร้ายบางชนิดดักซุ่มอยู่
พวกเขาพากันเร่งไม้เร่งมือโดยไม่รู้ตัว หลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม ในที่สุดก็มัดสัตว์ป่าทั้งหมดจนเสร็จสิ้น
คนนับร้อยขึ้นเขาอย่างเอิกเกริก คาดไม่ถึงว่าจะไม่มีผู้ใดกลับไปมือเปล่าเลยสักคน
ระหว่างทางลงเขา ผู้ใหญ่บ้านเฉินเอ่ยด้วยความจริงใจว่า “ครั้งนี้ได้พบสัตว์ป่ามากมายถึงเพียงนี้นับว่าเป็โชคดี ทว่าภายในูเายังคงเต็มไปด้วยอันตรายมากมาย
ภายหน้าห้ามคนสกุลเฉินขึ้นเขาโดยลำพัง หากไม่ฟังคำเตือน ทันทีที่เกิดอันตรายใดขึ้นก็จงแบกรับผลที่ตามมาด้วยตนเอง”
“ขอรับ” คนสกุลเฉินขานรับเป็เสียงเดียวกัน
สกุลเฉินของพวกเขามีจำนวนคนน้อยกว่าสกุลเคอเกือบครึ่ง สามารถคานอำนาจกับสกุลเคอที่มีทั้งซิ่วไฉกับถงเซิงเช่นนี้ได้ ล้วนเป็เพราะพวกเขามีใจเป็หนึ่ง
ในขณะเดียวกัน ยังมีผู้นำสกุลที่ควบตำแหน่งผู้ใหญ่บ้านอีกด้วย มิเช่นนั้นสกุลเฉินของพวกเขาคงถูกสกุลเคอกลั่นแกล้งรังแกจนไม่เหลือกระทั่งกระดูกไปนานแล้ว ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงเื่ลงหลักปักฐานในหมู่บ้านเถาหยวนอย่างมั่นคง
ครั้นมาถึงเชิงเขา คนทั้งหมดมิได้กลับหมู่บ้าน ภายใต้การนำทางของต้วนเหลยถิง ทุกคนเลือกใช้เส้นทางสายเล็กมุ่งหน้าไปทางโจวฝู่ [1]
ต้วนเหลยถิงกับผู้ใหญ่บ้านเฉินประจักษ์แจ้งอยู่แก่ใจ สัตว์ป่ามากมายขนาดนี้ ภายในตัวเมืองอำเภอมิอาจรับเอาไว้ได้ทั้งหมด และยังขายได้ราคาไม่ค่อยสูงอีกด้วย
มีเพียงโจวฝู่เท่านั้นที่หาแหล่งรับซื้อได้ ไม่ว่าจะมีสัตว์ป่ามากมายเพียงใดก็ตาม
อีกประการหนึ่ง ตำแหน่งของหมู่บ้านเถาหยวนค่อนข้างพิเศษ หากใช้เส้นทางสายเล็กมุ่งหน้าไปทางโจวฝู่เป็ระยะทางไม่ถึงสองชั่วยามด้วยซ้ำ นับว่าใกล้อย่างยิ่ง
เพื่อให้ขายสัตว์ป่าออกได้โดยเร็วที่สุด คนสกุลเฉินไม่ต่างกับถูกฉีดยากระตุ้น ฝีเท้าเร่งรีบขึ้นเรื่อยๆ...
......
เคอโยวหรานสอบถามอาการป่วยของบิดาทึ่มและมอบขวดศิลาดลที่เตรียมเอาไว้จำนวนสี่ขวดให้ถงซื่อ
กำชับผู้เป็มารดา บิดาทึ่ม และคนอื่นๆ ให้นำมาใช้ อย่าได้มิอาจหักใจ ทั้งยังบอกให้เคอโยวเยวี่ยคอยเฝ้าจับตาดูอีกด้วย
เพิ่งจะออกจากห้องฝั่งตะวันตกก็ถูกหยวนซื่อขวางเอาไว้เสียก่อน
อีกฝ่ายเผยสีหน้าเคร่งขรึม เอ่ยหนึ่งประโยคด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบว่า “ตามข้ามา” จากนั้นหันหลังเดินออกไป
เคอโยวหรานยักไหล่ ไม่รู้ว่าพี่สะใภ้ใหญ่ผู้นี้เกิดเสียสติอันใดขึ้นมาอีก จึงทำเพียงเดินตามคนตรงหน้าไปก่อนจะหยุดลงด้านหลังห้องครัว
หยวนซื่อพลันโยนไม้คานและถังสองใบที่มีขนาดใหญ่ประมาณครึ่งตัวของนางลงพื้น ทั้งเปิดปากเอ่ยด้วยสีหน้าไร้ซึ่งอารมณ์
“น้ำภายในจวนล้วนแต่มีข้ากับไป๋ซื่อผลัดกันหาบน้ำ วันนี้ถึงคราวของเ้าแล้ว ตักน้ำ เติมโอ่งเหล่านี้ให้เต็มเป็พอ”
กล่าวจบ หยวนซื่อพลันเดินกลับห้องโดยไม่แม้แต่จะหันหลัง ลอบเอ่ยภายในใจอย่างชั่วร้ายว่า
หึ มอบสิ่งของให้ท่านแม่กับน้องสะใภ้รอง รวมถึงคนบ้านนอกสกุลเคอทั้งสี่คน แต่กลับไม่ให้พี่สะใภ้ใหญ่เยี่ยงนางเพียงผู้เดียว เช่นนั้นก็จงเสพสุขจากงานใช้แรงกายไปเถิด!
เพื่อเติมโอ่งเก็บน้ำสิบกว่าใบที่หลังจวน ต่อให้ต้าหลางกับเอ้อร์หลางไม่ดื่มไม่กินก็ยังต้องใช้เวลาสองถึงสามวัน ร่างกายเล็กๆ นั่นของเคอโยวหราน จงเหนื่อยจนตายไปเสียเถิด!
เคอโยวหรานเปิดฝาและสำรวจโอ่งเก็บน้ำทั้งหมด มีเพียงโอ่งน้ำที่ตนใช้เมื่อเช้าที่ยังเหลือน้ำไม่ถึงครึ่งโอ่ง นอกนั้นล้วนว่างเปล่าทั้งสิ้น
ครั้นมองถังน้ำข้างเท้า ั์ตาถึงกับสั่นไหวเล็กน้อย หากต้องเติมโอ่งเก็บน้ำเหล่านี้ให้เต็ม เช่นนั้นตนไม่ถึงกับพิการหรอกหรือ?
อีกประการหนึ่ง ถังตักน้ำใบใหญ่ขนาดนี้ ร่างกายเล็กๆ เช่นนี้ของตนหาบแค่ใบเดียวก็ยังยาก ล้อกันเล่นหรืออย่างไร? นี่ก็คือการแก้แค้นอย่างโจ่งแจ้งของหยวนซื่อ
เคอโยวหรานเอามือข้างหนึ่งกอดอก ส่วนมืออีกข้างกุมปลายคาง ใคร่ครวญว่าควรจะเปลี่ยนเป็ถังใบเล็กกว่านี้ดีหรือไม่
สติจมดิ่งเข้าสู่มิติวิเศษ ค้นหาว่ามีถังใส่น้ำทำจากไม้ขนาดเล็กสักใบหรือไม่ ครั้นบังเอิญเหลือบไปเห็นถังน้ำแร่ใบละห้าลิตรบริเวณเขตเครื่องดื่ม ดวงตาถึงกับเป็ประกายในทันใด
เมื่อเห็นว่ารอบกายไร้ผู้คนสัญจร นางจึงตัดสินใจหยิบออกมาและสวมถุงมือผ้าป่าน จัดการบิดเปิดฝาแล้วเทน้ำลงในโอ่งเก็บน้ำทีละใบ
ครั้นเติมน้ำในโอ่งเก็บน้ำหลังจวนจนเกือบจะถึงครึ่งโอ่ง เคอโยวหรานก็นึกบางสิ่งขึ้นมาได้ มุมปากจึงยกขึ้นสูงโดยพลัน
จากนั้นนางมิได้โยนถังน้ำแร่ลงถังขยะเพื่อให้มันกลับคืนสภาพเดิม แต่กลับวางถังน้ำว่างเปล่าไว้บนทางเดินข้างชั้นวางสินค้าแทน...
---------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] โจวฝู่ 州府 หมายถึง คำเรียกรวมเมืองระดับโจวและฝู่ เมืองระดับโจว (州) และเมืองระดับฝู่ (府) อาจพอแปลเป็ไทยว่า “เมือง” ได้ทั้งคู่ แต่มีระดับไม่เท่ากัน กล่าวคือในสมัยราชวงศ์ิ เขตการปกครองระดับ 1 คือมณฑล ภายใต้มณฑลมีเมืองระดับฝู่เป็เขตการปกครองระดับ 2 ภายใต้การปกครองของเมืองระดับฝู่คือเซี่ยน (อำเภอ) ดังนั้นเมืองระดับฝู่คือจังหวัดหรือเมือง ขุนนางสูงสุดของเมืองระดับฝู่เป็ขุนนางระดับ 4 ชั้นเอก แต่เมืองระดับโจวนั้นมีสองระดับ แบบที่ 1 คือเมืองระดับโจวที่ขึ้นตรงต่อมณฑล และแบบที่ 2 คือเมืองระดับโจวที่ขึ้นตรงต่อเมืองระดับฝู่ แต่ผู้ปกครองเมืองระดับโจวทั้งสองแบบล้วนเป็ขุนนางระดับระดับ 5 ชั้นโทเหมือนกัน เมืองระดับโจวทั้งสองแบบมีหน่วยงานใต้สังกัดเป็เซี่ยน โดยขุนนางสูงสุดของเซี่ยนคือนายอำเภอที่เป็ขุนนางระดับ 7 ชั้นเอก
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้