ิหยวนเริ่มหวั่นใจ คนที่อยู่ห้องข้างๆ เป็ผู้ใดก็ไม่อาจรู้ได้ ทว่าหม่านหรงและคนอื่นๆ กลับสุมไฟใส่ฟืน “อยากมีเื่หรือ! อยากคุยก็ให้เขามาเอง! พวกเราไม่หาเื่ใครก่อน แต่หากผู้ใดอยากมีเื่ พวกเราก็ไม่กลัว!”
“หยวนเก้อเอ๋อร์ พวกเราจะไปกับเ้าเอง!”
“ใช่ ข้าเองก็อยากรู้นักว่ามันผู้ใดไม่เคารพเซี่ยไท่ฟู่!”
ิหยวนเห็นคนทั้งหลายถกแขนเสื้อท่าทางพร้อมสู้ก็พลันหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ได้แต่โค้งคำนับแสดงความขอบคุณทุกคน “เป็น้องชายที่กล่าววาจาไม่เหมาะสม ไปกล่าวขอโทษเป็เื่สมควรแล้ว มาคิดดูอีกทีหากคำพูดนี้แพร่ออกไปไกลกว่านี้ก็ยิ่งไม่รู้ว่าข้าจะต้องเผชิญหน้ากับสิ่งใดบ้าง”
เอ่ยจบิหยวนก็หันไปเอ่ยกับผู้มาเยือนอย่างสุภาพ “โปรดนำทางทีขอรับ”
ห้องส่วนตัวข้างๆ ขนาดเล็กกว่าห้องของพวกเขา ทว่าหรูหรามีระดับกว่า ม่านตรงประตูทางเข้าทำจากมุกและหยก ิหยวนถูกพามารออยู่ด้านนอก รอให้ใครสักคนเข้าไปแจ้งให้คนข้างในทราบก่อนจะพาเขาเข้าไปข้างใน เพียงเท่านี้ก็พอจะรู้แล้วว่าผู้ที่้าพบเขาไม่ใช่คนธรรมดา ิหยวนเริ่มใจไม่ดี
ทันทีที่ก้าวเข้ามาในห้อง คุณชายผู้หนึ่งวัยยี่สิบต้นๆ นั่งอยู่ที่โต๊ะสูง ทั้งกวาน เสื้อคลุม และรองเท้าที่สวมล้วนหรูหราราคาแพง ปักลวดลายปราณีตงดงาม มีผู้คนมากมายยืนอยู่ข้างหลัง ิหยวนแนะนำตัว “ผู้น้อยิหยวนจากเมืองเจียงโจว มิทราบว่าท่าน้าพบผู้น้อยด้วยเหตุใดขอรับ?”
“เ้าเป็คนกล่าววาจาสามหามพวกนั้นหรือ?” คุณชายผู้นั้นขมวดคิ้วแน่น
ิหยวนพยายามเคารพนอบน้อมอย่างถึงที่สุด “ผู้น้อยไม่กล้ากล่าววาจากำเริบเสิบสานหรอกขอรับ เพียงแต่ฤทธิ์สุราที่ดื่มเข้าไปทำให้สติเลอะเลือน ขอคุณชายอย่าได้ถือสา”
คุณชายผู้นั้นเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง ทว่าเสียงตะกุกตะกักของเด็กน้อยที่นั่งอยู่ข้างๆ ดังขัดจังหวะเสียก่อน “ท่านพี่ๆ”
ในตอนนั้นเองิหยวนถึงได้สังเกตเห็นเด็กหนุ่มในอาภรณ์สีม่วงนั่งอยู่ข้างๆ คุณชายท่านนั้น เสื้อผ้าที่สวมล้วนเป็ของมีราคาและปราณีตเช่นเดียวกัน แต่แขนขาดูไร้เรี่ยวแรง นั่งนิ่งบนรถเข็นไม้ มีเข็มขัดผ้าไหมรัดเอวไว้อย่างดี มีคนคอยรับใช้อยู่ข้างๆ ไม่ห่างกาย ไม่เพียงแต่ต้องคอยยกจอกชาป้อน แต่ท่าทางคนบนรถเข็นยังไม่เหมือนเด็กหนุ่ม แต่ดูเหมือนเด็กสี่ห้าขวบ
“ว่าอย่างไร?” คุณชายผู้มีใบหน้าดุร้ายเปลี่ยนสีหน้าเป็อ่อนโยนทันที แถมยังดูเคารพนอบน้อมด้วยซ้ำ ิหยวนเกิดความสับสนในใจ แต่ก็ยังประติดประต่อสิ่งใดไม่ได้อยู่ดี
“เขา เขา ผู้ใดหรือ?” พูดตะกุกตะกักเหมือนเด็กฝึกพูด ผิดปกติอย่างเห็นได้ชัด
“ก็แค่คนอวดดีผู้หนึ่ง”
“คนอวดดีคือผู้ใดหรือ?”
ไม่รอให้ชายหนุ่มอธิบาย คนอวดดีก็ทักทายอย่างมีมารยาท “บัณฑิตจากเมืองเจียงโจว นามว่าิหยวน คารวะคุณชายขอรับ”
“นั่งได้”
เด็กหนุ่มตอบรับทันทีราวกับได้รับการฝึกฝนมาเช่นนี้ ชายหนุ่มห้ามเขาไว้ไม่ทันได้แต่เหวี่ยงแขนเสื้ออย่างไม่สบอารมณ์พร้อมปลายตามองอีกคน “ไม่ได้ยินหรือ? เขาบอกให้นั่งลง”
ิหยวนเอ่ยขอบคุณ ก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ “ผู้น้อยขอบังอาจถามชื่อเสียงเรียงนามคุณชายได้หรือไม่ขอรับ?”
“เื่แค่นี้เอง หลายปีมานี้ไม่ได้มีผู้ใดเอ่ยถามชื่อข้ามานานแล้ว” คุณชายสะบัดพัดพลางเหน็บแนมเสียงเย็นพร้อมแนะนำตัวด้วยสีหน้าที่ยังไม่สบอารมณ์อีกเช่นเคย “ข้ามีนามว่าเว่ยเสี่ยน”
ได้ยินแซ่เว่ย ิหยวนร้องในใจว่าแย่แล้ว ต่อให้ราชวงศ์จะสูญเสียอำนาจ ทว่าคนในราชวงศ์ก็ยังมีสถานะสูงส่ง ไม่ใช่ว่าผู้ใดจะล่วงเกินก็ได้ แสดงว่าคนผู้นั้นต้องไม่ใช่เด็กปัญญาอ่อนทั่วไปเป็แน่ ิหยวนรีบลุกจากเก้าอี้แล้วคุกเข่าคารวะอีกครั้ง “ผู้น้อยผิดไปแล้วที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ล่วงเกินผู้สูงศักดิ์แล้ว ผู้น้อยสมควรตาย”
ชายหนุ่มยังไม่ทันได้เอ่ยสิ่งใด เด็กน้อยก็ะโด้วยสีหน้าหวาดกลัว “นั่ง! นั่ง!”
“กลับมานั่งลง!” เว่ยเสี่ยนสั่งเสียงเข้ม ก่อนจะหันไปปลอบโยนอีกคนด้วยเสียงนุ่มนวล “ชงเก้อเอ๋อร์ไม่ต้องกลัว ไม่กลัวๆ ไม่มีผู้ใดโมโหเลย”
คนกลุ่มหนึ่งรีบถลาเข้ามาดูอาการเขา บ้างก็ปลอบประโลม บ้างก็เอาน้ำให้เขาดื่ม บ้างก็พัดให้เขา ส่วนิหยวนเฝ้าดูเงียบๆ พลางครุ่นคิดบางอย่างในใจ
“เมื่อครู่เ้าพูดว่าตระกูลเซี่ยมีอำนาจที่สุดในใต้หล้าอย่างนั้นหรือ?”
“ผู้น้อยไม่เคยกล่าวเช่นนั้น”
“เช่นนั้นข้าขอถามเ้าว่าตระกูลเซี่ยมีอำนาจที่สุดในใต้หล้าหรือไม่?” คุณชายผู้นั้นไม่ยอมแพ้ง่ายๆ
ิหยวนมีคำตอบในใจ ทว่าไม่กล้าตอบตามนั้น โชคดีที่เขาเป็คนมีวาทศิลป์ “ราชวงศ์นี้ก่อตั้งขึ้นได้ด้วยความร่วมมือของกษัตริย์และขุนนางก็จริงอยู่ การที่ต้องมีตระกูลขุนนางใหญ่สนับสนุนราชวงศ์นั้นเปรียบเสมือนกำแพงแกร่งทำหน้าที่ปกป้องเสาหินด้านใน ไม่ว่าตระกูลหวน หวัง หรือเซี่ยล้วนมีภาระหน้าที่รับผิดชอบบ้านเมือง จึงต้องอาศัยอำนาจบารมี”
ิหยวนค่อยๆ คิด ค่อยๆ พูด แต่ก็ยังดูสีหน้าเว่ยเสี่ยนไม่ออกว่าพอใจหรือโกรธ “แต่ถึงมีอำนาจมากเพียงใด บ้านเมืองก็ยังเป็ของราชวงศ์ ตราบใดที่ตระกูลเว่ยยังอยู่ ไม่มีตระกูลใดมาแทนที่ได้ หากผู้ใดมีใจออกห่าง ไม่เพียงแต่ราษฎร แม้แต่ตระกูลอื่นๆ ก็ไม่มีทางยอมรับ ก่อนหน้านี้ตระกูลหวนถูกไล่ล่าเหตุเพราะก่อฏ ตระกูลหวังต้องโทษปะาเหตุเพราะพยายามเปลี่ยนราชวงศ์ เื่นี้ล้วนมีบทเรียนจากอดีต ว่ากันตามตรง หากตระกูลเซี่ยมีใจเป็อื่น จุดจบก็คงไม่ต่างไปจากเหตุการณ์ในอดีต”
ในที่สุดอารมณ์คุกรุ่นของเว่ยเสี่ยนก็ทุเลาลงได้
“แม้กษัตริย์ขุนนางปกครองร่วมกัน ถึงกระนั้นกษัตริย์ก็คือผู้นำ เปรียบเสมือนดาวเหนือ ส่วนขุนนางเปรียบเสมือนดาวบริวาร คอยรายล้อมคุ้มกันดาวเหนือเท่านั้นเอง” ิหยวนกล่าวสรุปอย่างใจเย็น จู่ๆ ก็พลันกระจ่างแจ้ง เขาพอจะเดาตัวตนของคนสองคนที่อยู่ตรงหน้าออกแล้ว จึงก้มหัวคารวะลงตรงหน้าเด็กคนนั้น “เป็ไจ้เฉินดวงดาวส่องแสงนำทางของราษฎรนับหมื่นในใต้หล้า”
“ไจ้เฉิน ท่านพี่” เด็กคนนั้นเอ่ยออกมาราวกับเด็กไร้เดียงสาพลางกระตุกแขนเสื้อเว่ยเสี่ยน “ชื่อรองไจ้เฉิน”
เว่ยเสี่ยนเบิกตากว้าง “เ้ารู้หรือว่าชื่อรองคือสิ่งใด?”
“เปี่ยวหู เจียงหู ถังเกา ไจ้เฉิน ไพเราะน่าฟัง ให้เขา อืม...กินแป้งทอดสิ”
ิหยวนใจเต้นเร็วราวกับกลองรัว
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------