เล่มที่ 9 บทที่ 245 ถือโอกาสจัดการ
“อ้อ จริงสิ...” หลังจากยืนตะลึงอยู่นาน ในที่สุดเวินโหวก็ได้สติขึ้นมา จากนั้นก็รีบเก็บคัมภีร์โครงกระดูกกลับไป และกวักมือให้เ้าปลาั์ให้เข้ามาหา ก่อนจะเอ่ยด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“ฮ่าๆ ศิษย์พี่ฟาง หากข้าใช้อาวุธของศิษย์พี่หลินละก็ จะถือว่ารังแกกันเกินไปหน่อย เอาเช่นนี้แล้วกัน ข้าจะใช้สัตว์อสูรสู้กับท่านเอง...”
“...” บัดนี้ผีดิบอสูรคู่กายของฟางจวิ้นถูกอีกฝ่ายจับไป เ้าตัวจึงมีสีหน้าซีดขาวเป็อย่างมาก พอได้ยินคำพูดของเวินโหวเข้าไปก็โกรธจนแทบกระอักเืออกมา
‘บัดซบนัก ตอนที่ผีดิบอสูรข้ายังไม่ถูกคัมภีร์นั่นดูดไป ทำไมไม่พูดมาล่ะ ว่าจะใช้สัตว์อสูรเ้าสู้กับข้า?’
หลังจากผ่านการต่อสู้อันดุเดือด เ้าปลาั์ก็มีาแเต็มลำตัว เวินโหวจึงมีความรู้สึกโกรธแค้นอัดแน่นอยู่เต็มอก ไม่ง่ายเลยกว่าจะพลิกเป็ฝ่ายได้เปรียบ บัดนี้เขาจึงไม่สนอีกต่อไป ว่าอีกฝ่ายจะยอมรับข้อเสนอนี้หรือไม่ หลังจากหัวเราะออกมาน้อยๆ ก็วาดมือให้เกิดเป็ค่ายกลและบงการเ้าปลาั์ทันที
“ลุย!”
จากนั้นเ้าปลาั์ก็บิดส่ายไปมา ก่อนที่จะสำแดงร่างกายอันใหญ่โตขึ้น ทันใดนั้นหางของมันก็โบกส่ายไปมา บริเวณรอบด้านก็ถูกฟาดพังทลายจนเกิดเสียงดังสนั่น...
“คิดว่าไม่มีผีดิบอสูรแล้วข้าจะทำอะไรเ้าไม่ได้อย่างนั้นหรือ?” ฟางจวิ้นรีบโคจรพลังขึ้น หมายจะปล่อยให้ผีดิบอสูรออกมาต่อสู้กับเ้าปลาั์อีกครั้ง...
เคล็ดวิชาผีดิบอสูรถือเป็เคล็ดวิชาชั้นสูงของสำนักโยวิ ซึ่งมีพลังไม่ด้อยไปกว่าวิชามารกุ่ยหวังแม้แต่น้อย นอกจากจะสำแดงผีดิบอสูรคู่กายออกมาได้แล้ว ยังสามารถสำแดงผีดิบอสูรร่างจริงออกมาได้อีกด้วย บัดนี้ฟางจวิ้นมีขั้นบำเพ็ญมิ่งหุนเคราะห์หก จึงทำให้พลังร่างจริงของผีดิบอสูรไม่น้อยไปกว่าผีดิบอสูรคู่กายเลย...
ทว่าตอนที่ฟางจวิ้นโคจรพลังขึ้นอีกครั้ง จู่ๆก็พบว่าตนเองไม่สามารถเชื่อมโยงกับผีดิบอสูรคู่กายได้อีกต่อไป แถมยังไม่อาจสำแดงผีดิบอสูรร่างจริงได้อีกด้วย ประกายแห่งความตื่นตระหนกฉายชัดขึ้นบนใบหน้าทันที คิดจะหยิบอาวุธออกมาต้านรับก็ไม่ทันเสียแล้ว เพราะเพียงครู่เดียวหางอันใหญ่โตของเ้าปลาั์ก็ฟาดลงมาอย่างหนักหน่วงกระทั่งเกิดเป็เสียงดังสนั่น เสี้ยววินาทีนั้นเอง ฟางจวิ้นก็ราวกับถูกูเาขนาดั์กดทับเอาไว้...
พลังรุนแรงกระหน่ำฟาดลงมาจนฟางจวิ้นกระเด็นออกไปไกล...
ถึงกับกระแทกจนเสาหินหักไปสามถึงสี่ต้นเลยทีเดียว ก่อนที่เ้าตัวจะร่วงกระแทกพื้นอย่างแรง
ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมาฟางจวิ้นบำเพ็ญด้วยสิ่งชั่วร้ายมาตลอด จึงทำให้ตบะพลังส่วนมากล้วนอยู่ที่ผีดิบอสูรคู่กายเกือบเจ็ดในสิบส่วน ดังนั้นพลังที่แท้จริงของตัวเองจึงมีขั้นแค่มิ่งหุนเคราะห์ห้าปลายๆ ไม่ถึงเคราะห์หก บัดนี้เมื่อต้องต้านรับการโจมตีของเ้าปลาั์เต็มๆ จึงไม่ต่างอะไรกับปาไข่กระทบหิน นับว่ามีพลังแตกต่างกันมากทีเดียว เพียงถูกฟาดครั้งเดียวเท่านั้น ฟางจวิ้นก็ไม่อาจลุกขึ้นได้อีกต่อไป...
“เป็อย่างไรบ้างศิษย์พี่ฟาง ข้าบอกแล้วไงว่าจะใช้แค่สัตว์อสูร แต่คิดไม่ถึงว่าศิษย์พี่ฟางจะอ่อนแอได้เพียงนี้...”
“แค่กๆ...” ฟางจวิ้นเอามือกุมอกเอาไว้ ก่อนจะไออย่างรุนแรงพร้อมกับสำลักเืแดงปนออกมา เป็เวลานานกว่าจะเค้นรอยยิ้มฝืดเคืองออกมาได้
“ในเมื่อมาถึงที่นี่ได้ เช่นนั้นไม่รู้หรือว่าใครเป็เ้าของที่แห่งนี้?”
“ได้ยินว่านี่เป็สุสานของอสุรกายกุ่ยหวัง แต่ตอนหลังได้ถูกสำนักโยวิยึดครองไป…”
“หึหึ รู้เยอะไม่เบาเลยนี่ ทว่าน่าเสียดายที่เ้าคงจะไม่รู้ว่าหลังจากสำนักโยวิของข้าบุกเข้ามา ก็ไม่ได้สังหารอสุรกายกุ่ยหวังตนนั้นทิ้งแต่อย่างใด เพียงแต่สะกดมันเอาไว้ใต้สุสานเท่านั้น…”
เวินโหวได้ยินดังนั้นก็ใจนชาไปทั้งตัว
‘หมายความว่าอย่างไร?’
“หมายความว่าอย่างไรงั้นหรือ?” ฟางจวิ้นแค่นหัวเราะเ็าออกมา ก่อนจะลุกยืนขึ้นพิงเสาหินอย่างยากลำบาก สายตาที่จ้องมองมาก็เต็มไปด้วยความสะใจ
“เห็นเสาหินพวกนี้หรือไม่ เสาหินพวกนี้มีทั้งหมดสิบแปดต้น ทั้งหมดล้วนมีมาั้แ่ตอนที่สร้างสุสานแล้ว และเสาทุกต้นต่างก็ผนึกมารปีศาจเอาไว้ตนหนึ่ง เช่นนั้นสุสานแห่งนี้จึงมีไออสูรและกลิ่นซากศพคอยหล่อเลี้ยงอยู่ตลอดเวลา…”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ฟางจวิ้นก็หอบหายใจอย่างเหนื่อยอ่อนออกมา ครู่หนึ่งจึงเอ่ยต่อ
“ตอนที่สำนักโยวิบุกเข้ามา ก็ได้ใช้เคล็ดวิชาลับปรับเปลี่ยนเสาหินทั้งสิบแปดต้นนี้ให้กลายเป็ค่ายกลเซียนิซ่า เพื่อสะกดอสุรกายกุ่ยหวังเอาไว้ แต่น่าเสียดายที่เสาหินนี้ถูกปลาั์ของเ้าพุ่งชนจนโค่นหักไปสามถึงสี่ต้น…”
“หมายความว่า…” เวินโหวกลืนน้ำลายอย่างยากเย็น
“หึหึ อีกไม่นานอสุรกายกุ่ยหวังก็จะหนีรอดออกมา หวังว่าคัมภีร์เ้าจะได้ผลนะ…”
เวินโหวยังไม่ได้เอ่ยตอบ จู่ๆก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมา
“อสุรกายกุ่ยหวังที่ว่าคือเ้านี่น่ะหรือ?”
ชั่วขณะที่เสียงดังขึ้น หลินเฟยก็ยืนถือหยวนเป่าด้วยรอยยิ้มอยู่ที่กลางลาน…
“…” เวินโหวเห็นดังนั้นก็ร้อนใจขึ้นทันที
‘ศิษย์พี่หลินหนอศิษย์พี่หลิน นี่มันเวลาไหนแล้วยังมีใจคิดเอาหยวนเป่าคนอื่นมาอีก หยวนเป่านี้มีค่าแค่กี่หินิญญากันเชียว หากชอบละก็ ข้าจะให้ศิษย์หุบเขาหมื่นอสูรไปหามาให้เป็เกวียนเลย…’
ทว่า…
ฟางจวิ้นที่อยู่ไม่ไกล เมื่อเห็นหยวนเป่านั้นก็ชะงักลงทันที ครู่เดียวก็แตกตื่นขึ้นมา สายตาที่มองหลินเฟยก็ราวกับเห็นผี ชั่วขณะนั้นก็ลืมแม้แต่อาการาเ็ของตนเอง เดินทุลักทุเลมาที่หน้าหลินเฟยก่อนจะฉวยเอาหยวนเป่ากลับไป
“เ้า…สังหารมันงั้นหรือ?”
“ตอนที่ลงไปเมื่อกี้ พอดีบังเอิญเจอเลยจัดการไปน่ะ”
“ไม่…ไม่มีทาง เป็ไปไม่ได้!”
ก่อนหน้านี้ตอนที่ถูกเวินโหวเยาะเย้ย ฟางจวิ้นก็ไม่มีทีท่าเสียกิริยาแม้แต่น้อย ทว่าตอนนี้เพียงแค่เห็นหยวนเป่า ฟางจวิ้นก็หน้าถอดสีทันที สองมือที่กุมหยวนเป่าก็สั่นระริกขึ้น
“เ้า…เ้าสังหารมันจริงหรือ?”
“ก็แค่อสุรกายกุ่ยหวังที่บำเพ็ญด้วยไอหยินตามบ้านเรือนเท่านั้น…”
ทันใดนั้นรอบด้านก็พลันเสียงสงัดลง
ฟางจวิ้นทิ้งตัวอย่างหมดแรงลงกับเสาหิน ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาอีก ทว่าเวินโหวกลับตกตะลึงจนตาค้าง เป็นานกว่าจะได้สติ
“ศิษย์พี่หลินสังหารอสุรกายกุ่ยหวังงั้นหรือ?”
“อื้อ” หลินเฟยพยักหน้าตอบรับ ทว่าจากนั้นก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาอีก
ความจริงั้แ่ก่อนเข้ามา หลินเฟยก็รู้สึกได้แล้วว่าที่ส่วนลึกของสุสานนี้มีไออสูรเข้มข้นถูกสะกดไว้อยู่ ตอนแรกคิดว่าเป็เพราะสุสานนี้มีอายุเก่าแก่หลายพันปี เช่นนั้นจึงมีไออสูรสะสมอยู่มาก ทว่าตอนที่เดินมาถึงที่ใจกลางสุสาน หลินเฟยก็เข้าใจทันที…
เพราะที่ใจกลางสุสานมีเสาหินสิบแปดต้น และนี่ก็คือค่ายกลเซียนิซ่าที่มีชื่อเสียงของสำนักโยวิซึ่งเอาไว้สะกดสิ่งชั่วร้ายตามบ้านเรือน แถมยังสามารถดูดกลืนไออสูรเหล่านี้มาหล่อเลี้ยงตนเองได้ เพียงครุ่นคิดชั่วครู่ หลินเฟยก็รู้ทันทีว่าสะกดอะไรไว้อยู่ เดาได้ไม่ยากว่าหลังจากสำนักโยวิยึดครองสุสานนี้แล้ว ก็คงสะกดอสุรกายกุ่ยหวังที่อาศัยอยู่ที่นี่แน่ๆ
ทันใดนั้นหลินเฟยก็รู้สึกสนใจขึ้นมาทันที
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------