บทที่ 42 เลือกศาสตราวุธ กับการท้าทายกระบี่เพลิงสีชาดอีกครั้ง
นอกหน้าต่างรถม้า ทิวทัศน์อันงดงามของเทือกเขาชิงเยวียนกำลังเลือนหายไปเื้ั
“ข้าเองก็ถือเป็จอมกระบี่ได้แล้วสินะ”
“จากขั้นแตกฉานไปสู่ขั้นเข้าถึงแก่นแท้”
“แปดสิบปีเชียว…”
หลี่โม่ผู้กำลังปรีดาเพราะได้ััสิ่งใหม่ พลันนึกคำนวณในใจ “ค่าใช้จ่ายนี้สูงไปหรือไม่หนอ?” เมื่อคำนวณดูแล้ว เขาใช้ความเข้าใจในวิถีแห่งยุทธ์ไปกับการฝึกดาบรวมกว่าหนึ่งร้อยปี หากมิใช่เพราะนางผู้เ็าราวน้ำแข็งคอยชี้แนะอย่างใกล้ชิด เขาคงต้องใช้เวลานานกว่านี้อีก ความรู้สึกนี้คล้ายกับชาติที่แล้วที่เขาใช้เงินเดือนสองเดือนซื้อคอมพิวเตอร์สเปกสูง แต่สุดท้ายก็วางทิ้งไว้เฉย ๆ ไม่มีเวลาเล่น
ทว่า... เื่นี้ก็ไม่ถึงขนาดนั้น วิชาดาบขั้นเข้าถึงแก่นแท้ ย่อมมีพลังอำนาจเหนือกว่าการใช้หมัดของเขามากมายนัก
“ความเข้าใจในวิถีแห่งยุทธ์ของข้า บัดนี้ยังคงเพียงพอ”
“เหลืออีกหนึ่งร้อยสิบปี ก็ไม่กลัวว่าจะคว้าน้ำเหลวแม้จะได้วิชาการต่อสู้ใหม่ ๆ”
หลี่โม่คำนวณคร่าว ๆ แล้วก็ไม่คิดมากอีก
“เมื่อเข้าไปในถ้ำเทพศาสตราวุธ เ้าควรลองกระบี่เพลิงสีชาดดู” อิ๋งปิงกล่างพลางจิบชาเบา ๆ
“ได้” หลี่โม่ตอบรับอย่างว่าง่าย
ความจริงแล้ว เขาก็เตรียมที่จะลองกระบี่เพลิงสีชาดอยู่แล้ว มิใช่ว่าเขาผูกใจเจ็บที่เคยถูกกระบี่เล่มหนึ่งเล่นงานจนพ่ายแพ้ อะไรหรอกนะ กระบี่เพลิงสีชาดมีธาตุไฟ เมื่อใช้คู่กับวิชาจิตเพลิงก่อบัว พลังก็จะเพิ่มขึ้นเป็ทวีคูณ เหมาะกับเขาเป็อย่างยิ่ง การเสริมพลังนี้อาจจะยังไม่ชัดเจนนักในขอบเขตปราณโลหิต แต่เมื่อเข้าสู่ขอบเขตปราณภายใน จะเห็นได้ชัดเจนแน่นอน
ในขณะนั้นเอง นอกหน้าต่างก็เริ่มได้ยินเสียงตีเหล็กดังขึ้น เมื่อลงจากรถม้า จึงได้เห็นผู้คนหนาแน่นเบื้องหน้าถ้ำเทพศาสตราวุธ ทันทีที่อิ๋งปิงก้าวลงมา เสียงสนทนาในลานพลันเงียบสงบลงมาก แววตาเคารพยำเกรงมากมายจับจ้องมาที่นาง รัศมีกดดันของนางช่างแข็งแกร่งนัก บัดนี้นางไม่เพียงเป็ศิษย์สายตรงของเ้าสำนักเท่านั้น หากยังเป็อนาคตของสำนักอีกด้วย ไม่เพียงแต่ในหมู่ศิษย์รุ่นราวคราวเดียวกันเท่านั้น แม้แต่ในประวัติศาสตร์ของสำนักชิงเยวียน นางก็โดดเด่นไม่เหมือนใคร
“ศิษย์พี่หลี่!”
“ศิษย์น้องหลี่!”
ในฝูงชน มีสองคนทักทายพร้อมกัน แล้วก็มองหน้ากันด้วยความประหลาดใจ มู่หรงเซียวและเซียวฉินต่างมองหน้ากัน พลางพยักหน้าเล็กน้อย พวกเขาทำผลงานได้ไม่เลวในการทดสอบสำนัก ถือได้ว่าเคยพบหน้ากันมาก่อน
“ศิษย์พี่หลี่ ท่านได้อันดับหนึ่ง ไม่ทำให้ผิดหวังเลยจริง ๆ” มู่หรงเซียวกล่าวชมเชย
“ตอนที่ข้ารู้ ข้าก็ใเหมือนกัน” เซียวฉินมีปราณที่แข็งแกร่งกว่าเดิมมาก ผ่านการทดสอบแล้ว ตอนนี้เขาก็กลับคืนสู่ศิษย์ชั้นในแล้ว สิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจคือ ปราณของศิษย์น้องหลี่ในตอนนี้ กลับแข็งแกร่งกว่าเขาเสียอีก ทั้งที่เขาเองก็เพิ่งฝึกพลังใหม่และมีอาจารย์คอยช่วยเหลืออยู่ข้าง ๆ ความก้าวหน้าของศิษย์น้องหลี่ผู้นี้ ช่างน่าใจริง ๆ
“ศิษย์น้องหลี่ วันนี้เตรียมจะเลือกศาสตราวุธแบบไหน?”
“วิชาดาบของข้าเพิ่งจะมีความสำเร็จเล็กน้อย”
“อืม ศิษย์น้องหลี่เลือกศาสตราวุธระดับมีคมคงไม่ใช่ปัญหา”
“นี่แหละคือสิ่งที่ศิษย์พี่เซียวไม่เข้าใจศิษย์พี่หลี่เท่าไหร่…”
สนทนาเล็กน้อย ทั้งสองคนจึงเอ่ยถึงสถานการณ์ปัจจุบันของตน มู่หรงเซียวเพิ่งจะฝึกบำเพ็ญกายสำเร็จตามความคาดหวังของผู้าุโหานเฮ่อ และสามารถเริ่มเรียนรู้วิธีการหล่อหลอมอาวุธที่สืบทอดกันมาในสายยอดเขาอัสดงได้แล้ว ส่วนเซียวฉินไม่เพียงแต่กลับมาเป็ศิษย์ชั้นในเท่านั้น แต่ยังได้รับความโปรดปรานจากผู้าุโคนหนึ่ง และมีโอกาสที่จะได้รับการรับเป็ศิษย์สายตรงในอนาคต ทุกคนต่างมีอนาคตที่สดใส เมื่อเห็นคนที่ตนเองเคยช่วยเหลือหรือลงทุนไปกำลังก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว หลี่โม่ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกถึงความสำเร็จในใจ
ปัง ปัง ปัง—
ทันใดนั้น เสียงฆ้องก็ดังขึ้นที่หน้าทางเข้าถ้ำเทพศาสตราวุธ ศิษย์ผู้ดูแลถ้ำเทพศาสตราวุธก้าวออกมา
“ถึงเวลาแล้ว!”
ถ้ำเทพศาสตราวุธจะสงบลงชั่วคราวในทุกปี ก่อนจะะเิพลังออกมาอย่างรุนแรงอีกครั้ง ศิษย์ที่ขอบเขตยังไม่สูงนักมักจะเลือกเข้ามาในถ้ำเพื่อเลือกอาวุธใน่เวลานี้ ศิษย์ทุกคนต่างหลีกทางให้โดยไม่รู้ตัว อิ๋งปิงก้มหน้าเดินเข้าไปในถ้ำเทพศาสตราวุธ ทว่า นางเพิ่งเดินไปถึงกลางชั้นแรกก็หยุดนิ่ง แล้วยกฝ่ามือเรียวสวยขึ้นเบา ๆ
ขณะที่ทุกคนกำลังงงงวย
เคร้ง—
เสียงดาบดังขึ้น ลำแสงสีขาวนับสิบลำพลันพุ่งทะยานสู่ห้วงอากาศ แล้วลอยนิ่งเบื้องหน้าอิ๋งปิง ราวเชื้อเชิญให้นางเลือกสรร ทั้งหมดเป็กระบี่ยาวระดับศาสตราวุธมีคม
“อืมมมมม… จะว่าอย่างไรดีเล่า” หลี่โม่มองดูแล้วรู้สึกราวกับตนเองเป็คนที่มีเสน่ห์ต่อแมวที่เดินเข้าไปในคาเฟ่แมว ความประหลาดใจมีไม่มากนักในใจเขา แต่คนอื่นกลับไม่อาจใจเย็นได้ ต่างพากันอุทานด้วยความใ
“ศาสตราวุธมีคม, ทั้งหมดเป็ศาสตราวุธมีคม!”
“ให้ตายเถอะ! ได้รับการยอมรับจากศาสตราวุธมีคมก็แล้วไปเถอะ แต่นี่ยังบินออกมาจากชั้นสามให้เลือกเลยเหรอ?”
“ไม่ได้บอกว่าศาสตราวุธมีคมมีจิติญญาและหยิ่งยโสมากเหรอ? วันนี้เหตุใดจึงมารวมตัวกันเป็ฝูงเล่า?”
“น่ากลัวเกินไปแล้ว…”
“เดี๋ยวก่อน พวกเ้าดูนั่น?”
ขณะที่เสียงสนทนาดังเซ็งแซ่ ลำแสงสีฟ้าและสีขาวอีกสองลำพุ่งออกมา กระบี่ยาวระดับศาสตราวุธมีคมอื่น ๆ ที่อยู่ตามทางต่างพากันหลบไปด้านข้าง อันหนึ่งร้อนแรงจนแผดเผาอากาศ อีกอันเย็นะเืดุจน้ำแข็ง สำหรับหลี่โม่แล้ว นี่คือกระบี่เก่าแก่ที่คุ้นเคยเป็อย่างดี กระบี่เพลิงสีชาด, กระบี่น้ำค้าง์
ทุกคนรู้สึกราวกับว่าลมหายใจแทบจะหยุดลง ปกติพวกเขาไม่กล้าแม้แต่จะฝันถึงเื่เช่นนี้เลย ศิษย์ของยอดเขาอัสดงก็ยังอดเจ็บใจไม่ได้ หลายคนเข้ามาในสำนักมาหลายปีแล้ว แต่ก็ยังได้ยินเพียงนามของกระบี่ลี้ลับทั้งสองเล่ม ที่ปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งยอดเขาอัสดงรังสรรค์ขึ้น มิเคยได้เห็นด้วยตาตนเองเลย ในบรรดาอาวุธลี้ลับที่ยังอยู่ในยอดเขาอัสดง มีเพียงสองเล่มเท่านั้นที่เป็กระบี่!
“กระบี่น้ำค้าง์”
อิ๋งปิงยื่นมือออกไป คว้ากระบี่ยาวสีขาวดุจันั้นไว้ในมือ ยังคงเป็ความรู้สึกที่คุ้นเคย กระบี่น้ำค้าง์สั่นสะท้านเบา ๆ แสดงออกถึงความยินดีอย่างยิ่ง จากนั้น อิ๋งปิงก็มิได้มองกระบี่เล่มอื่นอีก กอดกระบี่เดินออกไป เมื่อเดินผ่านหลี่โม่ นางก็พยักหน้าเล็กน้อย ถือเป็การให้กำลังใจเล็ก ๆ
หลี่โม่พึมพำในใจ “...นี่มันรวดเร็วเกินไปหรือไม่หนอ?”
พอเขาหันกลับไปมองอีกครั้ง กระบี่เพลิงสีชาดก็หายไปแล้ว เอาล่ะ ดูเหมือนว่าเรายังคงต้องไปตามปกติ นั่นคือยอมรับการทดสอบของกระบี่เพลิงสีชาด
“ศิษย์พี่หลี่ ข้าเชื่อในตัวท่าน ท่านต้องได้รับอาวุธลี้ลับอย่างแน่นอน” มู่หรงเซียวตบไหล่เขาเบา ๆ
“อืม” เซียวฉินก็พยักหน้าเห็นด้วย
“งั้นเราไปกันเถอะ” หลี่โม่ยิ้มเล็กน้อยแล้วก้าวเดิน
ใช่แล้ว ที่ก้นบึ้งของถ้ำเทพศาสตราวุธ ยังมีค้อนเล่มหนึ่งกำลังเรียกหาเขาอยู่ และความรู้สึกเรียกหานั้นก็ยังคงอยู่จนถึงวันนี้ หากเลือกศาสตราวุธได้เพียงชิ้นเดียว เขาควรเลือกค้อนหรือกระบี่กันเล่า? คำถามนี้หลี่โม่ลังเล แต่เพียงสามวินาทีเท่านั้น ก็ตัดสินใจเลือกค้อนทันที…
ล้อเล่นน่า! นั่นคือบิดาแห่งศาสตราวุธลี้ลับทั้งปวงเชียวนะ! แน่นอน หากเขา้าและสามารถนำมันม่ได้ ผู้าุโหานเฮ่ออาจจะไม่เห็นด้วยก็ได้ ค้อนเล่มนั้นคือเส้นเืใหญ่ของยอดเขาอัสดงเชียวนา…
“ไปดูก่อนแล้วกัน”
ขณะที่หลี่โม่กำลังครุ่นคิด ทั้งสามคนก็ลงมาถึงชั้นสามของถ้ำเทพศาสตราวุธแล้ว
“อาจารย์บอกว่า การตัดสินคุณภาพของอาวุธ ต้องดูที่วัสดุ วิธีการหลอม อุณหภูมิที่ควบคุม…” มู่หรงเซียวเริ่มจำแนกอาวุธทีละชิ้นตามความรู้ด้านการหลอมอาวุธ
สายตาของเซียวฉินก็กวาดมองไปบนศาสตราวุธมีคมแต่ละเล่ม ในเวลานั้น เสียงของมหาปราชญ์พันร่างก็ดังขึ้นในใจของเขาอีกครั้ง
“เด็กหญิงที่ชื่ออิ๋งปิงนั้น ช่างเป็ผู้มีโชคชะตาอันยิ่งใหญ่จริง ๆ เหมือนที่ข้าเคยบอกไว้”
“อาจารย์หมายถึงที่นางได้รับการยอมรับจากศาสตราวุธลี้ลับหรือขอรับ?” เซียวฉินถามอย่างไม่ใส่ใจนัก
“การที่นางได้ศาสตราวุธ ถือเป็บุญของศาสตราวุธลี้ลับนั้นต่างหากเล่า”
มหาปราชญ์พันร่างอดหัวร่อมิได้เมื่อได้ยินความเข้าใจอันน่าขันของศิษย์ตน พลางอุทานด้วยความรู้สึกว่า
“ที่อาจารย์บอกคือการสืบทอดที่นางได้รับต่างหากเล่า”
“การสืบทอดหรือขอรับ? ท่านหมายถึงแสงสีรุ้งเมื่อหลายวันก่อน?”
เซียวฉินกล่าวถึงเื่นี้ก็รู้สึกประหลาดใจเช่นกัน เมื่อหลายวันก่อน แสงสีรุ้งปกคลุมไปทั่วหมื่นลี้ ผู้คนในสำนักต่างพากันคาดเดาไปต่าง ๆ นานา มีข่าวลือเื่หนึ่งคือ… อิ๋งปิงศิษย์สายตรงของเ้าสำนัก ได้รับการสืบทอดที่ทรงพลังอย่างยิ่ง บัดนี้ดูเหมือนจะไม่มีอะไรผิดพลาดแล้ว คำพูดของอาจารย์ไม่เคยผิดพลาดเลยแม้แต่ครั้งเดียว
“อืม ข้าเคยเห็นมันในตำราโบราณของเผ่าสัตว์ปีกเล่มหนึ่ง” เสียงชราไม่ปฏิเสธ
“ถ้าอย่างนั้น การสืบทอดนั้นก็ต้องทรงพลังมากสิขอรับ?”
“จะเรียกว่าทรงพลังอย่างเดียวได้อย่างไร”
น้ำเสียงของมหาปราชญ์พันร่างเจือด้วยความทรงจำเล็กน้อย
“หงส์ะเก้าสีมีเก้าแก่นแท้แห่งิญญา แต่ละแก่นแท้ก็มีพลังลึกล้ำไร้สิ้นสุด ผู้ใดได้เพียงหนึ่งแก่นแท้ ก็สามารถท่องไปได้ทั่วทั้งเก้า์สิบดินแดนแล้ว หากรวบรวมได้ทั้งหมด รวมกับกายาพิเศษของเด็กหญิงผู้นั้น ก็จะมีโอกาสก้าวขึ้นสู่ขอบเขตอันเป็ตำนานได้…”
“ขอบเขตอันเป็ตำนานหรือขอรับ?”
เซียวฉินฟังแล้วรู้สึกงงงวย แต่ก็ส่ายหน้า
“ข้ายังคิดว่าศิษย์น้องหลี่ก็ไม่เลวนะขอรับ อนาคตของเขาจะต้องไม่ด้อยไปกว่าศิษย์น้องอิ๋งปิงแน่นอน”
“เ้าเด็กนี่… ทำไมไม่ลองพนันกับข้าดูเล่า?” มหาปราชญ์พันร่างหัวเราะออกมาอย่างขมขื่น ศิษย์ของเขาคนนี้ดีทุกอย่าง ยกเว้นว่าหัวดื้อ การฝึกยุทธ์ต้องมีความมุ่งมั่น แต่การยึดติดมากเกินไปก็ไม่ดี อาจทำให้มองโลกแคบ ไม่รู้อะไรเลย
“ดีขอรับอาจารย์ ท่านว่าพนันอย่างไร?”
“การประลองสำนัก ศิษย์น้องหลี่ของเ้า หากรับการโจมตีจากเด็กหญิงผู้นั้นได้สิบกระบวนท่า ก็ถือว่าข้าแพ้ ตอนนั้นข้าจะมอบของขวัญชิ้นใหญ่ให้เ้า แต่ถ้าข้าชนะ… ค่อยว่ากันอีกที”
มหาปราชญ์พันร่างกล่าวด้วยความสนใจ โดยไม่ได้คิดเลยว่าตัวเองจะแพ้ เซียวฉินพยักหน้ารับคำโดยไม่รู้ตัว แล้วภายใต้การชี้แนะของอาจารย์ เขาก็เริ่มเลือกอาวุธ
…
เกี่ยวกับเื่นี้ หลี่โม่ยังคงไม่รู้เื่อะไรเลย หากเขารู้ เขาคงต้องถามว่า “เสี่ยวเซียว เ้ามีความมั่นใจในตัวข้าถึงเพียงนั้นได้อย่างไรกัน?”
ตอนนี้เขาก็มาถึงชั้นสี่แล้ว เขาจ้องมองกระบี่เพลิงสีชาดอย่างตั้งใจ แล้วก็โค้งคำนับ
วึ่ง—
กระบี่เพลิงสีชาดสั่นสะท้านเบา ๆ เช่นเดียวกับครั้งที่แล้ว แน่นอนว่าความถี่ในการสั่นน้อยกว่าตอนที่บินไปหาอิ๋งปิงมาก ดูเหมือนจะรู้สึกว่าหลี่โม่ไม่ได้น่าสนใจขนาดนั้น
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้