ข่าวการกลับมาของหลัวเลี่ยแพร่กระจายไปถึงในวังหลวงของแคว้นเหยียนหลงทันที
าาแห่งแคว้นเหยียนหลงลุกขึ้นจากบัลลังก์ทันทีที่ได้ยินข่าวนี้ พระองค์คำรามออกมาว่า “ทำเกินไปแล้ว” อย่างโกรธเกรี้ยว ขุนนางบางคนก็แสดงท่าทีกรุ่นโกรธเช่นกัน พวกเขาอยากจะออกไปสังหารและฉีกร่างฆาตกรหลัวเลี่ยออกเป็ชิ้นๆ
ศิษย์จากสำนักอูอวิ๋นเซียนบางคนโห่ร้องขึ้นเพื่อแสดงถึงจุดยืนว่าอย่าคิดว่าหลัวเลี่ยจะกลั่นแกล้งพวกเขาได้ง่ายๆ
ในขณะเดียวกัน ศิษย์จากสำนักอื่นๆ ก็ร่วมโห่ร้องเช่นเดียวกัน ไม่ใช่ว่าพวกเขาจะกลั่นแกล้งหลัวเลี่ย แต่เป็เพราะหลัวเลี่ยกล้ากลับมายังสถานที่เกิดของไก้อู๋ซวง ทำให้พวกเขาเกิดความสนใจในเื่นี้มาก
ดังนั้นพวกเขาทั้งหมดจึงมารวมตัวกันในเมืองหลวงของแคว้นเหยียนหลง บางคนก็มาจากเมืองไกลเพื่อมาชมเื่ที่น่าตื่นเต้นนี้
ในหมู่พวกเขามีหลายคนที่มีชื่อเสียง พวกเขาต่างมาดูเื่ที่น่าสนุกนี้
เมื่อเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ ผู้ที่ทำตัวนิ่วสงบที่สุดก็คือเกาอวิ๋นเหลิ่งผู้แข็งแกร่งที่สุดในหมู่เยาวชนของสำนักอูอวิ๋นเซียน!
สำนักอูอวิ๋นเซียนมีศิษย์ทั้งหมดประมาณแปดหมื่นถึงหนึ่งแสนคน ด้วยจำนวนคนที่มากมายเช่นนี้ทำให้สำนักอูอวิ๋นเซียถือได้ว่าเป็กองกำลังที่น่ากลัวมาก หากสุ่มศิษย์มาสองคน ไม่แน่ว่าพวกเขาอาจเป็คนที่มีพลังแข็งแกร่งระดับต้นๆ ของแปดร้อยแคว้นหรือกระทั่งสองอาณาจักรใหญ่เลยก็เป็ได้
ไม่ใช่เื่ง่ายสำหรับเกาอวิ๋นเหลิ่งเลยที่จะโดดเด่นขึ้นมาท่ามกลางกลุ่มคนรุ่นใหม่และกลายเป็ผู้มากฝีมืออันดับหนึ่งที่ได้รับการยอมรับ
ในเวลาเดียวกัน จากเหตุการณ์นี้ อูอวิ๋นเซียนจึงได้ให้คนส่งข้อความไปถึงเกาอวิ๋นเหลิ่ง เพื่อให้เกาอวิ๋นเหลิ่งจัดการกับเื่นี้ เพราะเขาไม่ใช่ผู้มีอำนาจที่มีชื่อเสียงอยู่แล้ว ดังนั้นเขาจึงเป็ผู้นำในการทำเื่นี้
“ศิษย์ทุกท่าน ทั้งอาจารย์ลุงและพี่น้องทั้งหลาย โปรดฟังอวิ๋นเหลิ่ง” เกาอวิ๋นเหลิ่งพูดอย่างใจเย็น
จากนั้นผู้คนที่โกรธแค้นก็เงียบเสียงลง
เกาอวิ๋นเหลิ่งพูดว่า “หลัวเลี่ยผู้นั้น ถึงอย่างไรก็ต้องตาย ต่อให้ไม่ตายด้วยน้ำมือของเรา ก็ต้องตายด้วยน้ำมือของคนอื่นอยู่ดี”
ในตอนแรกบางคนไม่เข้าใจประโยคนี้ ดังนั้นคนที่อยู่ข้างๆ จึงอธิบายให้เขาเข้าใจ หลังจากนั้นทุกคนจึงรู้ว่าใครคือคนที่้าฆ่าลั่หลัวเลี่ยบ้าง
เมื่อเป็เช่นนนี้พวกเขาที่ส่งเสียงดังในตอนแรกก็เงียบสงบลงแล้วในตอนนี้
เกาอวิ๋นเหลิ่งถอยหลังออกมาและตรงไปที่จตุรัสเหยียนหลงทันที
เขาก็อยากจะเห็นหน้าหลัวเลี่ยซึ่งได้ชื่อว่าเป็อ๋องเซี่ยที่สามารถสังหารไก้อู๋ซวงได้
เมื่อเกาอวิ๋นเหลิ่งมาถึงจัตุรัสเหยียนหลง สถานที่นี้ก็แออัดเต็มไปด้วยผู้คนไปแล้ว
ในฐานะที่เป็จัตุรัสที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวงแห่งแคว้นเหยียนหลง ปกติสถานที่นี้ก็มีคนมากมายอยู่แล้ว พอมีเื่สมบัติรูปัที่ผิดปกติก็ยิ่งดึงดูดผู้คนให้เข้ามาจำนวนมากกว่าเดิมเสียอีก และตอนนี้หลัวเลี่ยก็อยู่ที่นี่ เป็ไปได้ว่าจะมีผู้คนจำนวนมากให้ความสนใจเขา
หลัวเลี่ยยืนอยู่หน้าแท่นเหยียนซิน
แท่นเหยียนซินเป็แท่นที่มีรูปร่างเหมือนหัวใจที่มีเปลวไฟลุกโชน
แท่นเหยียนซินนี้มีความสูงสิบจั้ง และเปล่งแสงออกมาจางๆ ราวกับว่ามันมีความเกี่ยวข้องกับสมบัติรูปั
หลัวเลี่ยเงยหน้าขึ้นมอง
ในอดีตหลัวเลี่ยเคยต่อสู้ห้ำหั่นกับไก้อูซวงอย่างรุนแรงมาแล้ว ดังนั้นเขาจึงคุ้นเคยกับไอพลังของไก้อู๋ซวงเป็อย่างดี ทำให้ตอนนี้เมื่อเขามองไปแท่นจู่ๆ ก็มีความรู้สึกคุ้นเคยเกิดขึ้นมาในใจของเขา
“ที่แท้เ้าก็ยังไม่ตายจริงๆ”
หลัวเลี่ยอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจกับความลึกลับของดินแดนเหยียนหวง
คนคนหนึ่งที่ถูกตัดหัวไปแล้วดันไม่ตาย ไม่เพียงเท่านั้นเขายังเกิดขึ้นมาใหม่ได้
จริงอยู่ว่าเื่นี้เป็เื่ที่เกี่ยวกับเคล็ดวิชาที่ฝึกฝนมา แต่เพราะการดำรงอยู่ที่มีความพิเศษของไก้อู๋ซวง มันยังคงทำให้ผู้คนรู้สึกเหลือเชื่อ
“เ้าคิดว่าผู้ที่จะขึ้นเป็เทพในอนาคตจะเป็ผู้ที่เ้าสามารถสังหารได้ง่ายๆ หรือ” น้ำเสียงเ็าที่แฝงไปด้วยความภาคภูมิใจดังมาจากด้านหลังหลัวเลี่ย
หลัวเลี่ยเหลียวกลับมา "เ้าเป็ใคร"
“ข้าคือเกาอวิ๋นเหลิ่งเป็ศิษย์จากสำนักอู๋อวิ๋นเซียน” เกาอวิ๋นเหลิ่งแนะนำตัวท่ามกลางฝูงชน
หลัวเลี่ยเคยได้ยินชื่อของเกาอวิ๋นเหลิ่งมาก่อน และที่เขาเคยได้ยินมาก็คือคนคนนี้เป็เยาวชนที่มีฝีมือโดดเด่นของสำนัก
“เทพในอนาคต? ถึงอย่างไรนางก็เคยถูกข้าสังหารไปแล้สรอบหนึ่งมิใช่หรือ” หลัวเลี่ยไม่ได้บอกเจตนาที่แท้จริงของตนออกมา “ข้าเคยสังหารนางมาได้แล้วหนึ่งครั้ง เช่นนั้นข้าก็สามารถสังหารนางเป็ครั้งที่สองได้อีก”
“บังอาจ!”
แม้ว่าเกาอวิ๋นเหลิ่งจะลอบชื่นชมหลัวเลี่ยอยู่ในใจที่คนคนนี้กล้าสังหารไก้อู๋ซวง แต่เมื่อเขาได้ยินคำพูดที่แสนมั่นใจในตัวเองประโยคนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะโมโห
หลัวเลี่ยพูดอย่างใจเย็น “ข้าก็ไม่ได้ขี้ขลาดอยู่แล้ว”
“เ้าไม่กลัวว่าการที่เ้าทำเช่นนี้จะเป็การลบหลู่สำนักอูอวิ๋นเซียนหรือ” เกาอวิ๋นเหลิ่งพูดอย่างเ็า
หลัวเลี่ยเบ้ปาก เขาี้เีตอบแล้ว
กลัว?
ถ้าเขากลัว เขาจะสังหารไก้อู๋ซวงหรือ?
และถ้าเขากลัว เขาจะกล้ากลับมาสังหารไก้อู๋ซวงต่อเป็ครั้งที่สองหรือ
“เ้าเป็บ้าไปแล้ว หากนาง้าฆ่าเ้าด้วยมือของตัวเองเพื่อล้างแค้น ข้าก็จะทำตามที่นาง้า” เกาอวิ๋นเหลิ่งยกดาบของตัวเองขึ้นมาราวกับว่า้าจะแทงหลัวเลี่ย
หลัวเลี่ยเงยหน้าขึ้นมองสมบัติัลึกลับ มุมปากของเขายกสูงขึ้นปรากฏเป็รอยยิ้มเย็น “ไก้อู๋ซวง หากเ้าไม่ตาย ข่งเยวี่ยเจินจะจากไปอย่างสงบได้อย่างไร”
เกาอวิ๋นเหลิ่งได้ยินเหตุผลในการสังหารไก้อู๋ซวงของหลัวเลี่ยแล้ว
ทันใดนั้นหลัวเลี่ยก็หันหน้ามาทางเกาอวิ๋นเหลิ่งแล้วถามว่า “อีกนานแค่ไหนนางถึงจะเกิดใหม่เป็ครั้งที่สองได้อย่างสมบูรณ์?”
“หลังจากนี้อีกสี่สิบวัน” เกาอวิ๋นเหลิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะให้คำตอบ
มุมปากของหลัวเลี่ยโค้งขึ้นเล็กน้อย “ดี อีกสี่สิบวันหลังจากนี้ข้าจะมาเอาชีวิตของนางอีกครั้ง!”
หลังจากที่หลัวเลี่ยพูดจบ เขาก็หันหลังกลับและจากไปโดยไม่เปิดโอกาสให้เกาอวิ๋นเหลิ่งพูดแทรก
แม้ว่าเสียงของหลัวเลี่ยจะไม่ได้ดังมาก แต่ผู้าุโวัยกลางคนจำนวนไม่น้อยที่คอยมองเหตุการณ์อยู่จากที่ไกลๆ หลายหมื่นลี้ล้วนได้ยินคำพูดของเขา และต่อให้ไม่ได้อยู่ไกล หลัวเลี่ยก็ไม่ได้ตั้งใจที่จะลดเสียงลงอยู่แล้ว
ทุกคนได้ยินคำพูดที่บ้าคลั่งของหลัวเลี่ย
หลังจากนี้อีกสี่สิบวัน เขาจะสังหารไก้อู๋ซวงอีกครั้ง!
ไก้อู๋ซวง หากเ้าสามารถฟื้นคืนชีพได้อีกครั้ง ข้าก็จะฆ่าเ้าอีก
หากเ้าไม่ตาย แล้วข่งเยวี่ยเจินที่ถูกฝังอยู่จะจากไปอย่างสงบได้อย่างไร
หลัวเลี่ย บ้าไปแล้ว!
ตอนนี้แม้แต่ปรมาจารย์ผู้าุโก็ยังใกับทีท่าของหลัวเลี่ย
“หลัวเลี่ยช่างแข็งแกร่งอะไรอย่างนี้”
“ไม่แปลกใจเลยที่เขาจะถูกขนานนามว่าเป็อ๋องแห่งความบ้าคลั่ง เพราะเขาเป็บ้าไปแล้วจริงๆ แค่การช่วยเหลือเล็กน้อยเพียงหนึ่งครั้ง เขากลับกล้าต่อกรกับสำนักที่ทรงพลัง”
“ข้าจำได้ว่าตอนที่หลัวเลี่ยเผชิญหน้ากับการกดขี่ของหอการค้าฟ้านเทียน เขาก็กล้าใช้ตราข่งเชวี่ยอย่างเด็ดเดี่ยวและเถรตรง คนที่ทั้งซื่อตรงและมุ่งมั่นเช่นเขานั้นหาได้ยากยิ่งนัก”
“สิ่งนี้คือบุญคุณและหนี้แค้นที่แท้จริง!”
หลายคนใกับท่าทางของหลัวเลี่ย
และแน่นอนว่ายังมีอีกหลายคนที่คิดว่าหลัวเลี่ยโง่มากที่กล้าพูดประโยคบ้าคลั่งเช่นนี้อย่างไม่กลัวตาย
และบางคนก็คิดว่าถ้าหลัวเลี่ยกล้าทำเช่นนี้โดยไม่กลัวอูอวิ๋นเซียน ก็แปลว่าเื้ัเขาจะต้องได้รับการสนับสนุนจากคนที่ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน มิเช่นนั้นเขาจะกล้าต่อกรกับสำนักอูอวิ๋นเซียนได้อย่างไร
ผู้คนต่างคาดเดากัยไปต่างๆ นานา
ในทางตรงกันข้าม หลัวเลี่ยกลับเดินออกไปอย่างใจเย็น
ฝูงชนหลีกทางให้หลัวเลี่ยในทันที
แต่หลังจากที่หลัวเลี่ยเดินออกไปได้ไม่กี่ก้าว เขาก็ถูกเด็กที่ดูเหมือนจะอายุห้าถึงหกขวบขวางทางเอาไว้
“เ้าคืออ๋องเซี่ย หลัวเลี่ย?” เด็กคนนั้นกล่าว
“ใช่ ข้าเอง” เมื่อหลัวเลี่ยมองไปที่ใบหน้าสีชมพูของเด็กน้อยและดวงตากลมขนาดเท่าเม็ดองุ่น เขาก็รู้สึกถูกชะตากับเด็กคนนี้ “เ้าเป็ใคร”
ั์ตาของเด็กชายตัวเล็กเปล่งประกาย “ข้ารู้เื่ที่เ้าสังหารไก้อู๋ซวงผู้เป็ศิษย์ที่ได้รับการยอมรับจากอูอวิ๋นเซียน เพียงเพื่อคนที่ไม่ค่อยเกี่ยวข้องกับเ้ามากนักอย่างข่งเยวี่ยเจินแล้ว ความจริงใจของเ้า ข้าขอชื่นชมจากใจจริง”
ฟังดูตลกมากเมื่อเด็กคนหนึ่งพูดจาราวกับเป็ผู้ที่สูงอายุมากแล้ว
ผู้คนที่อยู่รอบข้างก็หัวเราะและคิดว่ามันตลก
“เช่นนั้นข้าก็ขอขอบคุณมากที่เ้าชื่นชมข้า” หลัวเลี่ยหยิกแก้มเด็กน้อยคนนั้น
“ไม่ต้องขอบคุณหรอก” เด็กน้อยกล่าว “ถ้าเ้าสามารถสังหารไก้อู๋ซวงได้อย่างกล้าหาญอีกครั้ง เช่นนั้นเ้าก็จะถือว่าเป็ชายชาติทหารอย่างแท้จริง และข้าก็จะนับถือเ้าเป็อาจารย์เลย”
หลัวเลี่ยหัวเราะและพูดว่า “เ้ารู้จักคำว่าชายชาติทหารด้วยหรือ แล้วยังจะมานับถือข้าเป็อาจารย์อีก”
เด็กน้อยะโ “อย่ามาทำเหมือนข้าเป็เด็กนะ ข้าจะบอกให้ว่าข้าไม่ใช่คนธรรมดา คนที่จะทำให้ข้านับถือเป็อาจารย์ได้มีไม่กี่คนหรอกนะ เ้าก็พยายามเข้าล่ะ”
หลังจากเด็กคนนั้นพูดจบ เขาก็หันหลังกลับและเดินจากไปโดยไม่ได้ตื่นกลัวกับสถานการณ์ต่างๆ เลย
หลัวเลี่ยมองไปยังแผ่นหลังเล็กๆ ของเด็กคนนั้น จากนั้นเขาก็ยิ้มและถามว่า “เ้ายังไม่ได้บอกข้าเลยว่าเ้าชื่ออะไร”
เด็กน้อยหันกลับมามองหลัวเลี่ย จากนั้นเขาก็ยื่นมือออกมาแล้วคว้าเข้าที่ชายผ้าโพกหัวของตัวเองและออกแรงฉีกผ้าที่พันรอบหน้าผากออก เผยให้เห็นดวงตาดวงที่สามที่อยู่บนหน้าผากของเขา “ข้าคือหยางเจี้ยน ผู้มีตาสามดวงเป็สัญลักษณ์!”