เมื่อเห็นฉากอันน่าอับอายปรากฏอยู่ตรงหน้า หยวนจุนที่มีสีหน้าไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ จึงยกมุมปากขึ้น เขาสั่งให้กระบี่หยวนจุนเลี่ยงร่างอรชรของเซียวหานและพุ่งเข้าไปที่กำแพงด้านหลัง ก่อนจะเรียกกระบี่ยาวนั้นกลับคืน
เซียวหานรีบดึงชุดขึ้นมาปกปิดร่างกาย นางค่อยๆ ก้าวออกมาจากมุมกำแพง ก่อนจะเม้มปากอย่างไม่พอใจแล้วกล่าวอย่างโกรธเคืองว่า “ข้าไม่ปล่อยเื่ไปนี้แน่!”
“ฟ้าว”
เซียวหานจากไปด้วยความโมโห ห้องโถงกลางของเจดีย์ชั้นแปดจึงกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง
หยวนจุนเหลือบมองมู่เฟิงที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะออกไป เขากล่าวออกมาเสียงเบาว่า “เหตุใดเ้ายังไม่ออกไปอีก อยากจะลองด้วยอย่างนั้นหรือ?”
มู่เฟิงยิ้มเจื่อน เขารู้ดีว่าตนเองนั้นมิใช่คู่ต่อสู้ของหยวนจุน แต่ก็ยังใจกล้าตอบกลับไปว่า “วิชายุทธ์นี้เป็ถึงระดับเนี่ยผานขั้นสูง มิใช่ว่าผู้ใดเห็นแล้วจะสามารถนำออกไปได้ง่ายๆ”
“ข้ารู้ว่าข้ามิใช่คู่ต่อสู้ของเ้า แต่กระนั้นข้าก็ไม่้าให้เ้าชิงวิชายุทธ์นี้ไปต่อหน้าข้า”
มู่เฟิงสูดลมหายใจเข้า ทำให้ปราณดาราภายในถูกรวมเข้าด้วยกัน จากนั้นเขาจึงทำท่าทางอย่าง้าจะต่อสู้กับหยวนจุน
หากมิใช่เพราะมู่เฟิงสังเกตเห็นเซียวหานทำลายปราณดาราภายในของหยวนจุนไปแล้วครึ่งหนึ่ง เขาคงไม่กล้าเสี่ยงถึงเพียงนี้
เมื่อมีโอกาสแล้วเขาต้องสู้ให้ถึงที่สุด ไม่แน่ว่าสิ่งไม่คาดคิดอาจเกิดขึ้นก็เป็ได้
เมื่อเห็นมู่เฟิงกำลังประหม่า หยวนจุนจึงยิ้มมุมปากและหัวเราะออกมาเบาๆ เขาค่อยๆ ยกเท้ากระแทกพื้น ส่งผลให้ทะเลเพลิงอันทรงพลังแผ่ออกมาจากตัวเขา ซึ่งทำให้อากาศภายในเจดีย์เบาบางลง
เปลวไฟรอบตัวเขาค่อยๆ ก่อตัวเป็ัไฟ กระทั่งเปลวไฟกลุ่มเล็กๆ บนตัวัไฟหายไป มู่เฟิงจึงรู้สึกหายใจติดขัดขึ้นมาทันที
แม้หยวนจุนจะมิได้ใช้วิชายุทธ์ แต่เปลวไฟอี้เสอที่ปรากฏบนร่างกายเขากลับมีพลังรุนแรงมาก จนสามารถทำให้นักยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันไม่กล้าสู้อีกต่อไป!
“ข้าขอยอมแพ้”
ด้วยความที่ใกับพลังรุนแรงนี้ มู่เฟิงที่เดิมทียังพอมีหวังจึงรีบคำนับให้หยวนจุน เขาเหลือบมองทางเดินที่นำไปสู่เจดีย์ชั้นที่เก้า ก่อนจะส่ายหัวแล้วถอนหายใจออกมา
มู่เฟิงคิดว่าหลังจากหยวนจุนผ่านกับดักป้องกันของชั้นที่แปดแล้ว เขาต้องขึ้นไปยังชั้นที่เก้าแน่นอน ซึ่งแทนที่จะไม่พอใจ เขาควรปลงเสียดีกว่า
เมื่อมองด้านหลังของมู่เฟิง หยวนจุนได้แสดงความชื่นชมออกมา เขาฉลาดพอที่จะเอาตัวรอด ไม่แน่ว่ามู่เฟิงอาจมีความรู้มากกว่าผู้ที่หยิ่งผยองบางคนเสียอีก
แน่นอนว่าผู้หยิ่งผยองที่หยวนจุนเอ่ยออกมานั้นได้รวมไปถึงเซียวหานด้วย ซึ่งเขาได้เตือนนางแล้วว่าอย่าโลภนำของในเจดีย์สองชั้นสุดท้ายออกไป
หากเขาไม่สร้างสถานการณ์เช่นนี้เพื่อให้เซียวหานเข้าใจผิด บางทีนางอาจถูกคมกระบี่ปลิดชีวิตไปแล้ว
หยวนจุนหยุดคิดเื่ที่น่าเหนื่อยหน่ายเช่นนี้ เขาหรี่ตาลงเพื่อมิให้ตกอยู่ในกับดักต้องห้าม จากนั้นจึงถอยหลังออกไปเล็กน้อย และดึงม้วนวิชายุทธ์ที่กำลังเปล่งแสงให้ลอยมาอยู่ในมือของเขา
เมื่อม้วนวิชายุทธ์นั้นอยู่ในมือแล้ว หยวนจุนจึงรีบเปิดออก ทำให้ตัวอักษรพวกนั้นส่องประกายในดวงตาทันที
สิ่งนี้คือวิชายุทธ์เนี่ยผานขั้นสูงอย่างแน่นอน แม้มิใช่วิชายุทธ์วิถีกระบี่ แต่ก็เป็วิชายุทธ์วิถีดาบที่หาได้ยาก!
แม้จะเป็เช่นนั้นแต่หยวนจุนก็มิได้รู้สึกผิดหวัง เพราะแต่เดิมวิถีกระบี่คือการเพิ่มพลังของมือทั้งสองข้าง ซึ่งเขาสามารถใช้วิถีดาบสองมือปรับให้เข้ากับมันได้
เพียงแค่นำวิชายุทธ์นี้มาปรับเปลี่ยนเล็กน้อยตามระดับความเข้าใจ เขาก็สามารถสร้างวิชายุทธ์ใหม่ให้แก่วิถีกระบี่ได้!
แม้สิ่งนี้จะแตกต่างจากการสร้างวิชายุทธ์แค่เพียงเล็กน้อย แต่ก็ใช่ว่าทุกคนจะสามารถทำได้
ดังนั้นเมื่อได้ม้วนวิชายุทธ์นี้มาแล้ว หยวนจุนจึงรีบขึ้นไปยังเจดีย์ชั้นที่เก้าทันที
ซึ่งทันทีที่ก้าวขาเข้าไปในเจดีย์ชั้นที่เก้า เขาพบศพของนักยุทธ์ที่ถูกกระบี่ฟันเข้าที่หน้าผากนอนอยู่บนพื้น เหมือนกับที่เขาพบตรงทางเดินในชั้นที่เจ็ดอย่างไรอย่างนั้น
นักยุทธ์สามสิบกว่าคนที่เข้ามาในสุสานโบราณพร้อมกับเขา ตอนนี้เหลือเพียงไม่กี่คนแล้ว!
เมื่อหยวนจุนมองไปรอบๆ เขาพบว่าบนพื้นเต็มไปด้วยซากอาวุธที่แตกหัก ซึ่งถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่นที่หนาทึบ
ดูจากวิธีการกลั่นอาวุธแล้ว พวกนี้มิใช่อาวุธธรรมดา แต่เป็อาวุธระดับิญญาทั้งหมด! อีกทั้งจำนวนของอาวุธยังน่าใด้วยเช่นกัน เพราะมีมากถึงร้อยกว่าชิ้นทีเดียว!
อาวุธทั้งหมดนั้นแตกหัก ทั้งยังถูกนำมากองรวมกันเป็เศษเหล็ก ช่างน่าเสียดายเหลือเกิน
“กริ๊ง”
หยวนจุนได้ยินเสียงคนเดินเหยียบเศษกระบี่และดาบที่แตกหัก เขาจึงเพิ่มความระมัดระวังขึ้น เพราะเจดีย์ชั้นที่เก้านั้นมืดมาก ไม่สว่างเท่ากับเจดีย์ชั้นที่เจ็ดและชั้นที่แปด
หยวนจุนก่อลูกไฟขึ้นบนฝ่ามือแล้วโยนออกไปด้านหน้า เขามองเห็นเพียงแสงวาบผ่านก่อนที่ลูกไฟจะดับลงในทันที
เขาขมวดคิ้วขึ้น รู้ว่าผู้ที่ลงมือน่าจะเป็นักยุทธ์วงแหวนเล็กขั้นเจ็ด ซึ่งนักยุทธ์ที่เข้ามาในสุสานโบราณนี้ เกรงว่าจะมีแต่ตระกูลเจียงเท่านั้นที่บรรลุถึงระดับนี้ได้
“สิ่งที่อยู่ในนี้ มิใช่สิ่งที่เ้าจะสามารถจับต้องได้”
น้ำเสียงเ็าที่แฝงไปด้วยความน่ารำคาญของเจียงย่งดังขึ้นมาจากด้านหน้า เขาชะงักไปเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าเป็หยวนจุน ก่อนดวงตาจะเบิกโพลงขึ้นมาด้วยความใ
“ข้ามาสุสานนี้ในฐานะเจียงย่ง ซึ่งเื่ระหว่างเ้ากับเจียงเฮ่อนั้นข้าไม่้าเข้าไปเกี่ยวข้อง รีบไสหัวไปเสีย เพราะบางทีเ้าอาจมีชีวิตรอดออกไปจากสุสานนี้ได้”
หยวนจุนหัวเราะเยาะ เขานำมือทั้งสองข้างขึ้นมาประสานกันแล้วกล่าวอย่างเรียบเฉยว่า “ผู้คนมากมายที่เคยกล่าวกับข้าเช่นนี้ พวกเขาล้วนถูกปลิดชีวิตกันไปหมดแล้ว”
“ข้าหยวนจุนไม่ไป หากเ้า้าเช่นนั้น เหตุใดจึงไม่มาจัดการข้าเองล่ะ?”
“หึ โอหัง!” เจียงย่งะโเสียงแข็งแล้วปล่อยหมัดออกมา หมัดนั้นถูกหยวนจุนจัดการในทันที ก่อนที่ทั้งสองจะต่อสู้กันหลายครั้งโดยที่ยังไม่ทราบผลแพ้ชนะ
การต่อสู้กับหยวนจุนทำให้เจียงย่งรู้สึกประหลาดใจ เขาเป็ถึงระดับวงแหวนเล็กขั้นเจ็ด แต่กลับเอาชนะระดับวงแหวนเล็กขั้นห้าแค่คนเดียวไม่ได้อย่างนั้นหรือ?
อย่างที่รู้ว่าการบ่มเพาะพลังยุทธ์ระหว่างพวกเขาทั้งสองนั้นมีระยะห่างถึงสองขั้น! หากเป็นักยุทธ์วงแหวนเล็กขั้นห้าผู้อื่นที่เผชิญหน้ากับเจียงย่ง บางทีแค่เพียงหมัดเดียวก็สามารถทำให้นักยุทธ์ผู้นั้นล้มลงได้แล้ว
“ตุ้บ”
หยวนจุนปล่อยหมัดออกไปปะทะกับแขนอีกข้างของเจียงย่ง ทำให้พวกเขากระเด็นห่างออกไปกว่าร้อยจั้ง ส่งผลให้เจดีย์ชั้นที่เก้าเริ่มสั่นะเื
“วงแหวนเล็กขั้นเจ็ดก็ไม่เท่าไรนี่!” การที่ได้สู้กับเจียงย่งเพียงไม่กี่ครั้ง ทำให้ในใจของหยวนจุนรู้สึกฮึกเหิมเป็อย่างมาก เขาเอียงศีรษะแล้วหัวเราะออกมาเบาๆ บ่งบอกว่าเขามิได้มีความสุขเช่นนี้มานานแล้ว
เมื่อเจียงย่งเห็นหยวนจุนมิได้ใส่ใจอะไร ทั้งยังส่งสายตาเหน็บแนมออกมา ปราณดาราในร่างกายเขาจึงเต็มไปด้วยความโหดร้ายทันที
“แม้เ้าจะแข็งแกร่งเป็อย่างมาก แต่การต่อสู้ระดับนี้เพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอที่จะตัดสินแพ้ชนะ! ไม่รู้ว่าเ้ามีพลังมากพอที่จะรับมือกับวิชายุทธ์นี้ของข้าหรือไม่!”
เจียงย่งแสดงพลังฝ่ามือออกไปอย่างรวดเร็ว ทำให้หอกยาวสีเหลืองหม่นขนาดมหึมาปรากฏอยู่ด้านหน้า ซึ่งความหนาของหอกยาวนั้นเทียบได้กับสามเท่าของขนาดร่างกาย!
“หากปะทะเข้ากับวิชายุทธ์เ้าฮั่วขั้นกลางนี้แล้ว เ้ายังจะอวดดีเช่นนี้อีกหรือไม่!? วันนี้ข้าจะแสดงให้เ้าเห็นว่าสิ่งใดที่เรียกว่าวิชายุทธ์ที่แท้จริง!”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้