ค่ำคืนอันเงียบสงัด ข้างกองไฟมีเสียงกระซิบแ่เบา ในป่าลึกเช่นนี้กลิ่นของควันไฟทำให้มึนเมา
ทั้งสองสนทนากันอย่างเปิดอกจนทุกสิ่งรอบตัวดูเหมือนจะเจือไปด้วยความอ่อนโยนและเงียบงัน
อวิ๋นจื่อรู้สึกว่าเื่ราวที่นางเคยได้ยินมาเกี่ยวกับเสด็จอาผู้กลายเป็ตำนานอาจไม่ใช่เื่จริง
เสด็จอาในสายตาของซูเจินคือเสด็จอาที่นางรู้จักจริงๆ น่ะหรือ?
เสด็จอาจากคำบอกเล่าของซูเจินช่างฟังดูอบอุ่นเหลือเกิน
ตอนอวิ๋นจื่อยังเด็กและรู้ว่าตนเองเป็ที่โปรดปรานของเสด็จอา นางก็แอบดีใจมาก ลองคิดว่าถ้าได้รับการเอาอกเอาใจจากคนที่เปรียบได้กับเทพเ้าในสายตาผู้อื่นแบบนั้นย่อมรู้สึกดีจริงหรือไม่?
เสด็จอาคอยดูแลประคบประหงมนางราวกับนางเป็บุตรีของเขา ความรู้สึกนั้นช่างวิเศษจริงๆ
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ดูเหมือนว่าสิ่งที่นางเคยคิดและทำให้นางมีความสุขในอดีตกลับทำให้นางเกิดความรู้สึกแปลกประหลาดในตอนนี้
อวิ๋นจื่อรู้สึกสับสน
ตอนนี้นางต้องรับฟังหญิงสาวอีกคนที่แก่กว่านางไม่กี่ปีพูดถึงความอ่อนโยนของเสด็จอา อีกทั้งยังเล่าถึงตอนที่เขาสอนให้อ่านและเขียน ตอนที่เขาจูงมือพาไปเที่ยวเทศกาลโคมไฟ หรือตอนที่เขาเล่นกู่ฉินให้ฟังในวันเกิด
อาจเป็เพราะเขาไม่เคยสอนวิชากระบี่ให้ซูเจิน เขาจึงสอนสิ่งอื่นๆ ให้แทน
อวิ๋นจื่อไม่รู้ว่าจะอธิบายอารมณ์ของตนเองในตอนนี้อย่างไร
นางกล่าวด้วยน้ำเสียงแปลกๆ ว่า “ปรากฎว่าเสด็จอาเป็คนอ่อนโยนและใจดีมาก”
“เ้าอิจฉาหรือ?” ซูเจินถามด้วยรอยยิ้ม
‘แน่นอนว่าข้าอิจฉา แต่ข้าไม่มีทางบอกเ้าหรอก’
สุดท้ายแล้วเสด็จอาก็จากไปตลอดกาล
ตอนนั้นไม่มีใครรู้ว่านางเป็บุตรีของเขา
‘เขาเป็บิดาผู้ให้กำเนิดของข้า อันที่จริงถ้าเขาได้อยู่เคียงข้างข้า เขาจะต้องพยายามอย่างเต็มที่เพื่อดูแลข้า’ อวิ๋นจื่อคิด
นางกล่าวว่า “ข้าไม่ได้อิจฉา ข้าแค่อยากรู้ว่าทุกครั้งที่เขาเจอเ้า เขานึกถึงข้าหรือไม่”
ถ้านางไม่ได้เป็องค์หญิงเหวินฮวาแต่เป็ท่านหญิงอวิ๋นเมิ่ง บางทีสิ่งที่นางต้องเผชิญในตอนนี้อาจไม่ย่ำแย่เท่าสิ่งที่นางเผชิญในวันนั้น
หรือไม่ก็อาจเลวร้ายกว่า
แต่อย่างน้อยนางก็รู้ว่าใครคือบิดาที่แท้จริงของตนเอง
ซูเจินยิ้ม “อาจเป็ไปได้ ข้าได้ยินมาว่าท่านลุงอวิ๋นเซียวเรียกชื่อเ้าก่อนที่เขาจะสิ้นพระชนม์”
ทันใดนั้นดวงตาของหญิงสาวก็เอ่อไปด้วยน้ำตา นางพึมพำว่า “จริงหรือ?”
นี่คือเื่จริงหรือ?
ก่อนที่เสด็จอาจะสิ้นพระชนม์ เขาคิดถึงนางอยู่เสมอใช่หรือไม่?
ดวงตาของนางเปียกชื้นเล็กน้อย นางกล่าวต่อว่า “แล้วเ้ารู้หรือไม่ว่าเขาสิ้นพระชนม์ได้อย่างไร?”
ซูเจินตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็กล่าวว่า “เ้าแน่ใจหรือว่าอยากรู้? บางทีหากเ้ารู้เื่ในอดีตมากเท่าไหร่ เ้าก็จะยิ่งรู้สึกไม่สบายใจมากเท่านั้น”
“แต่ก็ยังดีกว่าไม่รู้ ซูเจินข้ารับได้”
ราวกับมีม่านน้ำในดวงตาของหญิงสาว แต่ภายใต้แสงไฟสีหน้าของนางดูแน่วแน่เป็พิเศษ
“การสิ้นพระชนม์ของท่านลุงอวิ๋นเซียวเกี่ยวข้องกับไท่จื่อในตอนนั้น”
ซูเจินกล่าวอย่างระมัดระวัง เขาพยายามอย่างมากที่จะเลือกใช้คำพูดที่เข้าใจได้ง่าย
หากพิจารณาจากประโยคนี้ย่อมหมายความว่าบิดาบุญธรรมเป็คนสังหารบิดาผู้ให้กำเนิดของนาง
ช่างเป็ความจริงที่ไร้สาระและน่าเศร้า
อวิ๋นจื่อไม่รู้จะกล่าวอะไร นางหลุบตาลงและเติมกิ่งไม้แห้งเข้าไปในกองไฟ
คำพูดของซูเจินยังแฝงความนัยสำคัญบางอย่าง นั่นคือ การเปลี่ยนตัวรัชทายาทอาจมีการวางแผนไว้นานแล้ว บางทีโจวกุ้ยเฟยอาจไม่ได้เป็อย่างที่อวิ๋นจื่อคิด เื่ทั้งหมดอาจมีผู้อยู่เื้ั
ตอนนั้นเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
นางพึมพำว่า “ตระกูลซูเป็คนของเสด็จอาใช่หรือไม่?”
ซูเจินพยักหน้าด้วยความมั่นใจ “ใช่”
แล้วยังมีอีกกี่คนที่หนุนหลังเสด็จอา?
“แล้วเ้ารู้หรือไม่ว่าเสด็จอาส่งคนเข้าไปแทรกซึมในราชสำนักกี่คน?” หญิงสาวถามต่อ
ซูเจินกล่าวว่า “เชื้อพระวงศ์และข้าราชบริพารมักถูกห้ามไม่ให้ติดต่อกันอย่างออกนอกหน้า มีคนไม่มากนักที่มีความสัมพันธ์กับท่านลุงอวิ๋นเซียว แต่ทั้งหมดล้วนเป็ความสัมพันธ์แบบผิวเผิน เท่าที่ข้ารู้ ในรัชศกเทียนโหย่วมีขุนนางหลายคนที่ติดต่อกับท่านลุงอวิ๋นเซียวอย่างลับๆ ต่อมาหลังจากเขาสิ้นพระชนม์ในสนามรบ คนของเขาก็ถูกกวาดล้างโดยคนของไท่จื่อทั้งในที่ลับและที่แจ้ง ส่วนตอนนี้จะเหลืออยู่กี่คนข้าไม่รู้จริงๆ”
อวิ๋นจื่อก้มหน้าและไม่ได้กล่าวสิ่งใดต่อ
ไม่แน่ว่าตลอดชีวิตนี้นางอาจไม่สามารถคลี่คลายปมที่เป็ต้นกำเนิดของความเกลียดชังระหว่างบิดาผู้ให้กำเนิดและบิดาบุญธรรมของนาง เสด็จพ่อเลี้ยงดูนางมากว่าสิบปีโดยไม่ได้รับผลตอบแทนใดๆ เลย ส่วนเสด็จอาคือผู้ให้ชีวิตนาง ทั้งยังวางแผนต่างๆ ให้นางด้วย
อวิ๋นจื่อสงสัยว่าสิ่งที่ตนเองกำลังเผชิญอยู่ตอนนี้เป็สิ่งที่พวกเขาได้วางแผนเอาไว้หรือไม่?
ถึงอย่างไรทั้งสองล้วนเป็บุคคลที่นางเคารพรัก
เป็คนที่นางถูกกำหนดให้เป็หนี้ชีวิต
พวกเขาใช้แซ่เดียวกัน เป็คนตระกูลอวิ๋นเช่นเดียวกัน
อวิ๋นจื่อรู้สึกโศกเศร้ามาก นางกล่าวว่า “ซูเจิน ให้ข้าเป่าขลุ่ยให้เ้าฟังเถอะ”
ในความทรงจำของนาง เสด็จอาไม่ค่อยเล่นกู่ฉินต่อหน้านาง แต่มีเพลงหนึ่งที่นางได้ยินโดยบังเอิญ นางจึงตัดสินใจเล่นเพลงนั้น
“เซียนหยิบหมากขาวดำหกอัน เผชิญหน้ากันบนไท่ซาน
เทพธิดาเซียวเอ๋อดีดฉินหยก เทพธิดาฉินหนี่ว์เป่าเซิงอวี่
แดน์มีทั้งดนตรี สุรา และอาหารเลิศรส
ทะเลทั้งสี่อยู่ที่ใด? ความสงบสุขอยู่ที่ใด?
หานจงและหวังเฉียว้าให้ข้าอาศัยอยู่ที่เทียนชิว
ระยะทางหลายพันลี้ ข้าอยากขึ้นสู่เทียนชิวด้วยก้าวเดียว
ลอยขึ้นเหนือหมู่เมฆ สายลมสูงพัดมากระทบกายข้า
ย้อนกลับไปมองยังตำหนักจื่อเว่ย ที่ประทับจักรพรรดิแห่ง์
ถือเครื่องรางของขลัง ซึ่งจักรพรรดิแห่ง์เชื่อว่าสามารถทำให้ตนเป็ะได้
ประตูพระราชวังสูงชัน ห้องโถงสูงหนึ่งหมื่นฉื่อ ต้นอวี้ซูเติบโตข้างถนน มีสัตว์ศักดิ์สิทธิ์เฝ้าประตู
อาศัยสายลมเดินทางรอนแรม ผ่านที่ประทับมารดาไปทางตะวันออก
มองลงไปเห็นูเาทั้งห้า ชีวิตเปรียบได้กับการพักแรม
หวังเป็อย่างยิ่งว่าจะได้ใช้ชีวิตอย่างสันโดษและแสวงหาความเป็ะ
ติดปีกขึ้นสู่์หลังจากตรัสรู้
ท่องไปในเก้าโลกกว้าง ข้าต้องได้อยู่กับนาง”
หลังจากเป่าจบอวิ๋นจื่อรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย
ทันใดนั้นสีหน้าของซูเจินก็เปลี่ยนไป เขากล่าวว่า “เ้ารู้จักเพลงนี้ได้อย่างไร?”
อวิ๋นจื่อตอบว่า “ข้าได้ยินเสด็จอาเล่นโดยบังเอิญ เกิดอะไรขึ้นหรือ? เพลงนี้มีปัญหาหรือไม่?”
ซูเจินส่ายหน้า “เ้ารู้ชื่อเพลงหรือไม่?”
อวิ๋นจื่อส่ายหน้า
ซูเจินกล่าวว่า “เพลงนี้ชื่อเซียน มันถือเป็ข้อห้ามในงานชุมนุมกระบี่ที่สำนักฮั่วซาน”
เสด็จอามีส่วนเกี่ยวข้องกับงานชุมนุมกระบี่ที่สำนักฮั่วซานได้อย่างไร?
แล้วเหตุใดมันถึงเป็ข้อห้าม?
“แต่เสด็จอาไม่รู้จักใครจากสำนักฮั่วซานเลยไม่ใช่หรือ? เกิดอะไรขึ้นกันแน่?” หญิงสาวถามออกไปด้วยความสับสน
ซูเจินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “ข้าจำเื่ราวทั้งหมดไม่ได้ อย่างไรก็ตาม ข้าขอเตือนเ้าว่าในอนาคตเ้าไม่ควรเล่นเพลงนี้โดยพร่ำเพรื่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเ้าไปถึงสำนักฮั่วซาน เ้าห้ามพูดถึงเพลงนี้เป็อันขาด”
“เื่ราวรุนแรงขนาดนั้นเลยหรือ?” หญิงสาวยังคงสงสัย
มันเป็เพียงเพลงที่ใช้ในการประกอบพิธีไม่ใช่หรือ? เหตุใดถึงได้กลายเป็ข้อห้ามได้? เพลงเพลงหนึ่งจะอันตรายขนาดนี้ได้อย่างไร?
ในใจของอวิ๋นจื่อเกิดความไม่เชื่อขึ้นมา เพราะเื่นี้ดูเหมือนจะไม่น่าเป็ไปได้
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้