ในค่ายพักที่ลุกโหมไปด้วยเพลิงไหม้ กู่เสี่ยวอวี่กับเกาฮ่าวถูกขังอยู่ในกรงเหล็กที่ใช้กักขังสัตว์ิญญา เมื่อกู่เสี่ยวอวี่เห็นภาพสยดสยองของเหล่าสาวใช้ที่ถูกฆ่าตายก็เป็ลมล้มพับไป ส่วนเกาฮ่าวก็เอาแต่เขย่ากรงเหล็กะโขึ้นไปไม่หยุด “เ้าบ้าไปแล้วหรือ! บอกให้มันหยุดเดี๋ยวนี้นะ!”
จู้หลงนั่งไขว่ห้างอยู่บนกรงเหล็ก มองนักรบกระดูกกวัดแกว่งดาบใหญ่ไล่ฆ่าคนในค่ายพักอย่างสนุกสนาน
เพราะฟืนไฟจากในครัวทำให้ไฟลุกลามเผาไหม้กระโจมหลังอื่นๆ เพียงพริบตาเดียวทั้งค่ายพักก็ตกอยู่ในกองเพลิง
เปลวเพลิงที่ลุกโหมเจิดจ้าเผยให้เห็นทุกสิ่งทุกอย่าง เคล็ดวิชาของจางเฟิงจึงไร้ประโยชน์ เขาทำได้เพียงคอยอารักขาจู้หลง ป้องกันไม่ให้ถูกนักรบกระดูกทำร้ายในระหว่างกินอาหาร เพราะเขารู้ดีว่าหากสู้กันแบบตัวต่อตัว เขาไม่มีทางเอาชนะคนที่อยู่ในระดับเดียวกันได้เลย
เคล็ดวิชาราตรีได้กำหนดให้ชะตาชีวิตของเขาอยู่ได้แค่ในความมืดเท่านั้น
“ชะ…ช้าก่อน!” หนึ่งในศิษย์ตระกูลเกาที่นั่งหมดอาลัยตายอยากอยู่บนพื้นร้องขอชีวิตจากนักรบกระดูก
ทว่าสัตว์ิญญาของผู้ควบคุมิญญาส่วนใหญ่แล้ว จะเชื่อฟังคำสั่งเ้าของเท่านั้น ตอนที่พวกมันออกล่าก็ไม่ต่างอะไรกับอาวุธสังหารที่ไร้ความรู้สึก
เมื่อได้ยินเสียงร้องขอชีวิต นักรบกระดูกก็เหวี่ยงดาบในมือปลิดชีพอีกฝ่ายอย่างง่ายดาย จากนั้นก็สูบกลืนิญญาของผู้ตายเข้าไป ทุกครั้งที่กลืนกินิญญา พลังในร่างของมันก็ยิ่งทวีคูณ
“ยอดเยี่ยม! อีกเพียงนิดก็จะเลื่อนระดับเป็สัตว์ิญญาระดับสองดาราแล้ว!” จู้หลงปรบมือด้วยความยินดี “ไม่คิดเลยว่าซุนเหอใช้เวลาเพียงสามเดือนก็ฝึกฝนนักรบกระดูกได้ถึงระดับนี้ หรือว่ามัน้าคำชมจากท่านเ้าสำนักกันนะ”
“น่าเสียดาย ข้าไม่น่าฆ่ามันเร็วเลย” เขาเอ่ยอย่างเสียดาย
ศิษย์ตระกูลเกาห้าคนถือทวนห้อยพู่แดงยืนขวางหน้านักรบกระดูก พวกเขาเล็งปลายทวนไปทางอสูรร้าย ก่อนที่ชายวัยกลางคนซึ่งเป็ผู้นำจะะโขึ้น “พี่น้องทั้งหลาย! โอกาสแสดงฝีมือมาถึงแล้ว! จัดการมัน!”
ศิษย์ตระกูลเกาที่อยู่ด้านหลังทั้งสี่คนขานรับ “รับคำสั่ง!!!!”
“บุก!!!” ชายวัยกลางคนตะเบ็งเสียง ทุกคนต่างพุ่งเข้าไปหานักรบกระดูก ก่อนที่จะมีเสียง “ฉับๆ” ดังขึ้น ปลายทวนที่ทำจากเหล็กกล้าทั้งห้าเล่มปักเข้าที่เกราะส่วนอกที่เต็มไปด้วยรอยร้าวของนักรบกระดูก
หลังจากมันถูกทวนแทงเข้าไปก็ยืนนิ่ง ชายวัยกลางคนคิดว่าได้ผล จึงกำด้ามทวนแน่น แล้วะโขึ้นอีกครั้ง “ดึงออกมา!!!”
อีกสี่คนตอบรับทันที พวกเขาร่วมแรงร่วมใจกันดึงทวนยาวออกมา แสงสีเขียวที่ส่องประกายอยู่ในเบ้าตาของนักรบกระดูกพลันมืดมิดลง
“สำเร็จแล้วใช่หรือไม่” ศิษย์ตระกูลเกาคนหนึ่งมองนักรบกระดูกที่ยืนนิ่งราวกับรูปปั้นพลางเอ่ยถาม
“มันไม่ขยับแล้ว!” ศิษย์ตระกูลเกาอีกคนหนึ่งร้องขึ้นด้วยความดีใจ คิดว่าจัดการมันได้สำเร็จ
ทว่าจู้หลงที่อยู่ไม่ไกลกลับแค่นเสียงเยาะหยัน “น่าเบื่อชะมัด”
ทันใดนั้นเอง นักรบกระดูกที่ยืนนิ่งอยู่ก็ขยับตัวอย่างรวดเร็ว มันเหวี่ยงดาบในมือเพียงครั้งเดียว ศิษย์ตระกูลเกาทั้งห้าคนก็ถูกฟันขาดเป็สองท่อน ก่อนที่ิญญาจะถูกสูบกลืนเข้าไป
เกาฮ่าวที่อยู่ในกรงเหล็กได้แต่มองดูศิษย์ในตระกูลถูกสังหารไปทีละคนโดยที่เขาไม่อาจทำสิ่งใดได้เลย เขาจ้องจู้หลงที่นั่งอยู่บนกรงเหล็กด้วยความเคียดแค้น “เ้าวิปริต! เหตุใดเ้าถึงทำเช่นนี้! ตระกูลเกาไปทำให้เ้าโกรธเคืองที่ใดหรือ!”
“โกรธเคืองหรือ” จู้หลงกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “เื่แค่นี้ไม่นับว่าโกรธเคืองหรอกน่า สัตว์ิญญาของข้ามันหิว ต้องกินิญญาของมนุษย์ถึงจะเลื่อนระดับได้ ข้าก็เลยพามันมากินข้าว ก็แค่นั้นเอง อย่าคิดมากน่า”
กลับกลายเป็เกาฮ่าวเองที่ต้องตกตะลึงกับคำพูดอีกฝ่าย “กินข้าว? หมายความว่าอย่างไร ในสายตาเ้า พวกเราไม่ใช่มนุษย์อย่างนั้นหรือ”
“โธ่” จู้หลงทำสีหน้าระอาใจ ะโลงมา ก่อนจะหันหลังคุยกับเกาฮ่าว “นี่คุณชายน้อย ข้ายังถือว่าพวกเ้าเป็มนุษย์นะ ไม่อย่างนั้นข้าจะพามันมาทำไมเล่า”
เกาฮ่าวเบิกตากว้างจ้องจู้หลงผ่านกรงเหล็กอย่างเหลือเชื่อ “สำหรับเ้าแล้ว ชีวิตคนไม่ต่างอะไรกับอาหารของสัตว์ิญญางั้นหรือ”
“สำหรับข้าแล้ว การได้เป็อาหารของนักรบกระดูก เป็สิ่งเดียวที่พวกเ้าทำได้กระมัง” จู้หลงมองเกาฮ่าวั้แ่หัวจรดเท้าด้วยสายตาประหลาด ราวกับกำลังมองเด็กปัญญาอ่อน “ไม่เช่นนั้นแล้ว ปล่อยให้พวกเ้ามีชีวิตอยู่ ข้าจะได้ประโยชน์อะไรเล่า”
“เ้ามันวิปริต!” เกาฮ่าวะโอย่างเหลืออด เขายื่นมือออกไปนอกกรงเหล็กหมายจะจับตัวจู้หลง แต่อีกฝ่ายกลับหลบได้อย่างง่ายดาย
จู้หลงมองเกาฮ่าวที่อยู่ในกรงเหล็กด้วยแววตาเหยียดหยาม “ผู้แข็งแกร่งเท่านั้นถึงอยู่รอด เป็เื่ปกติไม่ใช่หรือ ตอนที่เ้ากินหมู เ้าเคยถามความสมัครใจของมันบ้างไหมเล่า”
เกาฮ่าวถึงกับพูดไม่ออก จู้หลงมีเพียงรูปลักษณ์ภายนอกที่เป็มนุษย์เท่านั้น ส่วนภายในจิตใจของเขานั้นก็คือปีศาจร้ายผู้โเี้ไร้ความปรานีดีๆ นี่เอง!
ตอนนั้นเองกู่เสี่ยวอวี่ก็รู้สึกตัวขึ้นมา นางปรือตาขึ้นมองภาพเบื้องหน้าที่เลือนราง ก่อนจะต้องใสุดขีดเมื่อเห็นเปลวเพลิงที่โหมกระหน่ำ ในเวลาเดียวกันนางก็เห็นเกาฮ่าวที่กำลังคุยกับจู้หลงอยู่ เมื่อเห็นว่าเขายังปลอดภัยดี กู่เสี่ยวอวี่ก็รีบเข้าไปหาด้วยความดีใจ “เกาฮ่าว! ดียิ่งนักที่เ้าไม่เป็อะไร!”
“ออกไป!” เกาฮ่าวที่กำลังโมโหโทโสผลักกู่เสี่ยวอวี่ออกไปอย่างแรง นางจึงทิ้งตัวนั่งลงที่มุมกรง เอาหน้าซุกหว่างเข่า มิกล้าเปิดปากใดๆ ทั้งยังไม่กล้านั่งข้างๆ เกาฮ่าว ด้วยความที่กลัวว่าการมีตัวตนของนางจะทำให้เขารำคาญ สุดท้ายกู่เสี่ยวอวี่จึงได้แต่นั่งมองอยู่ห่างๆ
จางเฟิงที่อยู่บนกรงเหล็กก็ะโลงมายืนข้างจู้หลงแล้วเอ่ยถามว่า “ที่ไว้ชีวิตสตรี ข้าพอเข้าใจได้ แต่จะเก็บเ้านี่ไว้ทำไมอีก”
“สกุลมันร่ำรวยไม่หยอก” จู้หลงเดินไปที่เก็บเสบียง ซึ่งเปลวเพลิงยังลามไปไม่ถึง เขากำข้าวสารในกระสอบขึ้นมา ก่อนจะปล่อยให้มันไหลผ่านซอกนิ้วลงไป “ดูจากคนรับใช้ พ่อครัว และเสบียงอาหารมากมายขนาดนี้ คงไม่ใช่ยาจกกระมัง”
จากนั้นเขาก็ค้นหาอะไรบางอย่างในกล่องผลไม้แห้ง สุดท้ายก็หยิบลูกพลับดำขึ้นมากัด
“แหวะ!” จู้หลงคายเมล็ดพลับดำออกมาก่อนจะเอ่ย “พามันกลับไปก่อน แล้วค่อยตัดนิ้ว ตัดหู หรืออะไรพวกนั้น แล้วส่งไปไถเงินจากบิดามัน”
ทันใดนั้นก็มีเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ค่ายกลที่ใช้กักขังผู้คนถูกทำลายลงในพริบตา แสงสีแดงบนค่ายกลพลัยแตกกระจายกลายเป็เศษเล็กๆ นับไม่ถ้วน ราวกับถูกบดขยี้จนไม่เหลือชิ้นดี
จู้หลงและพรรคพวกที่ได้ยินเสียงก็รีบเปิดม่านออกไป เห็นเพียงเด็กหนุ่มชุดดำยืนอยู่ตรงทางเข้าค่าย ในมือถือไม้สีดำเปล่งประกายแสงสีทอง
ค่ายกลนี่ใช้กักขังคนทั่วไปเท่านั้น ผู้บำเพ็ญระดับหนึ่งดาราจะทะลวงผ่านได้ก็ไม่ใช่เื่แปลก แต่ทำลายจนแหลกละเอียดได้เช่นนี้ จู้หลงเพิ่งเคยเห็นเป็ครั้งแรก
“ของดีจริงๆ” เขามองไม้สีดำในมือเด็กหนุ่ม ผิวปากพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงชื่นชม “ไม่แปลกใจที่เ้าจางเฟิงจะจำไม่ลืม”
ในร่างของเด็กหนุ่มที่อยู่ไกลออกไปมีเสียงแหบแห้งเตือนเขาไม่ขาดสาย “ลู่เต้า! ฟังข้าก่อน ไปหาหมาข้าอีกฟากหนึ่งก่อน! ไม่อย่างนั้นตอนนี้เ้าสู้พวกมันไม่ได้แน่!”
ลู่เต้ามองค่ายกลที่เต็มไปด้วยซากศพ จิตใจก็พลันปั่นป่วน ไม่ได้ยินที่ไป๋เสียพูดแม้แต่น้อย
“ข้าจากไปเพียงครู่เดียว... แค่ครู่เดียวเท่านั้น...ทำไม...ทำไมถึง…” ลู่เต้าก้าวเข้าไปในค่าย เมื่อกวาดตามอง ล้วนเห็นศพที่ถูกนักรบกระดูกสังหารอย่างโหดร้าย ไม่มีสักร่างที่มีเนื้อสมบูรณ์
“เกินไปแล้ว… ใครเป็คนทำเื่เช่นนี้!” ลู่เต้ากล่าวอย่างโศกเศร้า สถานการณ์เช่นนี้ทำให้เขานึกถึงค่ำคืนนั้น ค่ำคืนที่พรากเอาครอบครัวเพียงคนเดียวในโลกนี้จากเขาไป
หลังจากเสียงดังสนั่น กู่เสี่ยวอวี่ที่อยู่ในกรงเหล็กก็รีบขยับเข้ามา เพื่อจะได้มองเห็นให้ชัดเจนขึ้น เมื่อเห็นว่าเป็ลู่เต้า ในใจก็รู้สึกดีใจและกังวลไปพร้อมๆ กัน
ดีใจที่รู้ว่าอีกฝ่ายปลอดภัย แต่เมื่อเห็นว่าจู้หลงและพรรคพวกเห็นลู่เต้าแล้ว ก็กลัวว่าอีกฝ่ายจะหนีไปไม่พ้น ทว่าอีกฝ่ายยังคงไม่รู้สึกถึงภัยอันตรายที่กำลังคืบคลานเข้ามา
เมื่อเห็นว่าจู้หลงกำลังจะลงมือ กู่เสี่ยวอวี่จึงสูดหายใจเข้าปอดลึกๆ แล้วะโเสียงดัง “ลู่เต้า!!! หนีไปเร็วเข้า!!!”
จู้หลงและจางเฟิงหันขวับ สบถด้วยความโมโห “บัดซบ! ไว้ข้าจะคิดบัญชีกับเ้าทีหลัง!”
ลู่เต้าที่ได้ยินเสียงก็มองตามเสียงไป ในที่สุดก็เห็นกู่เสี่ยวอวี่ที่ถูกขังอยู่ในกรงเหล็ก เมื่อเห็นว่านางยังมีชีวิตอยู่ก็โล่งใจขึ้นมา แต่ถึงแม้เขาจะได้ยินเสียง แต่ก็ไม่ได้ยินสิ่งที่อีกฝ่ายะโมา
พลังิญญาในกายไหลเวียนอย่างรวดเร็ว ลู่เต้าแผดเสียงเสียงดังก้อง “เสี่ยวอวี่!!! ข้ามาช่วยเ้าแล้ว!!!”
