“ท่านหญิง พาข้าไปด้วยได้หรือไม่เ้าคะ?”
ยังไม่ทันที่เวินซีจะออกไปได้ไกล จู่ๆ ก็มีเสียงสตรีนางหนึ่งดังขึ้นข้างนอกรถม้า
เวินซีขมวดคิ้วแล้วเปิดม่านออกเพื่อมองหาต้นเสียง เมื่อเห็นว่าเป็สตรีที่นางช่วยเหลือเมื่อคืนจึงหยุดรถม้า
เวินซีลงมาจากรถ เดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าสตรีผู้นั้น มองดูนางแล้วถามว่า “เ้ามิใช่คนในเมืองหรือ?”
“มิใช่เ้าค่ะ ท่านหญิง ข้าชื่อหรานอิ่งชุน เป็คนตระกูลหรานจากเมืองซู่เหอ ข้ามาที่เมืองนี้ได้เพราะเป็เื่บังเอิญเ้าค่ะ เดิมทีข้าคิดจะไปหาท่านปู่ที่ซู่อวี่กวน แต่ไม่คิดเลยว่าระหว่างทางจะได้เจอกับโจรป่า ข้ากับคนรับใช้จึงพลัดแยกจากกันเ้าค่ะ”
“เพราะความกลัว ข้าจึงพาเสี่ยวเยว่สตรีรับใช้ของข้าเดินทางตามคณะพ่อค้าเข้าเมืองมาเ้าค่ะ”
“ข้าคิดจะติดต่อครอบครัวข้า แต่ก็ถูกไอ้สารเลวนั่นจับตา เขาไม่เพียงฆ่าเสี่ยวเยว่ ทั้งยังฆ่าคณะพ่อค้าทิ้งทั้งหมด หากมิใช่เพราะท่านหญิง จุดจบของข้าก็คงน่าอนาถพอกัน”
“ท่านหญิง พาข้าไปด้วยเถิดเ้าค่ะ ระหว่างทางมีโจรป่า ข้ากลับไปคนเดียวมิได้”
ขณะที่หรานอิ่งชุนพูดก็ก้มหน้าด้วยความเศร้าโศก พลางเบี่ยงตัวไปเช็ดน้ำตาที่ปลายหางตา
“ตระกูลหราน? ท่านปู่ของเ้าคือหรานเฉียนอานหรือ?”
ยังไม่ทันที่เวินซีจะได้เอ่ยปาก จ้าวต้านที่อยู่บนรถก็เอ่ยถามขึ้น
เขานั่งที่ริมหน้าต่าง สายตาคู่นั้นสังเกตไปที่หรานอิ่งชุน
เมื่อได้ยินชื่อของท่านปู่ หรานอิ่งชุนก็มีดวงตาที่เป็ประกายขึ้นมา นางพยักหน้าอย่างรวดเร็ว แล้วมองจ้าวต้านอย่างกระตือรือร้น “คุณชายรู้จักท่านปู่หรือเ้าคะ?”
เมื่อได้ยินดังนั้น เวินซีก็มองไปที่เขา
“รู้จัก ขึ้นรถเถิด” จ้าวต้านตัดสินใจเอง เขาให้หรานอิ่งชุนขึ้นรถม้า
เวินซีเห็นจ้าวต้านเอื้อมมือไปพยุงหรานอิ่งชุนขึ้นรถม้า ในใจก็เกิดความหงุดหงิด แต่นางก็ยังระงับอารมณ์ไว้ได้และกลับขึ้นรถม้าไป
รถม้าเริ่มเคลื่อนตัวอีกครั้งไปทางประตูเมือง เสียงความโกลาหลที่ตระกูลเหลียงค่อยๆ หายไป
หรานอิ่งชุนอยู่ในอารมณ์ที่หวาดวิตกอยู่หลายวัน เมื่อรู้สึกปลอดภัยแล้ว หลังจากที่ขึ้นรถได้ไม่นาน นางก็หลับสนิท
เวินซีมองดูก็รู้สึกได้ว่านางเกร็งไปทั้งตัว จึงจุดธูปหอมช่วยให้นางผ่อนคลาย จนกระทั่งได้ยินเสียงหายใจที่สงบนั้น นางถึงได้เงยหน้ามองจ้าวต้าน
“หรานเฉียนอานเป็ผู้ใดกันเ้าคะ?” นางเอ่ยถามเสียงนิ่ง
“หรานเฉียนอานเป็ลูกน้องของข้า เขาสู้รบกับข้ามานาน หลังจากที่ข้าหายตัวไป เขาก็ได้เลื่อนตำแหน่งเป็แม่ทัพ ได้รับคำสั่งให้ไปปราบปรามความวุ่นวายของชาวบ้านซู่อวี่กวน” จ้าวต้านอธิบาย
เวินซีพยักหน้าเข้าใจ สายตาของนางมองออกไปที่นอกหน้าต่างอีกครา
ในรถม้า ทั้งสองต่างมีความคิดในใจ ทำให้บรรยากาศเงียบสงัด
แปดชั่วยามต่อมา รถม้าได้เข้าไปในป่า เพราะว่าท้องฟ้ามืดสนิทแล้วทำให้มองไม่เห็นทางข้างหน้า และเกรงว่าม้าจะวิ่งไปผิดทาง ทุกคนจึงตัดสินใจหยุดพักคืนหนึ่ง
เปลวไฟจากกองไฟกำลังลุกโชนส่องสว่างไปทั่วบริเวณ ทุกคนนั่งรอบกองไฟ แต่กลับไม่มีผู้ใดเอ่ยปาก
เวินซีเอนกายลงบนกองไม้อย่างเกียจคร้าน พลางมองดูฟืนที่ลุกไหม้
ยังเหลืออีกสองวันกว่าจะเดินทางถึงเมืองซู่เหอ ทว่ายิ่งเข้าใกล้มากเท่าใด ในใจของนางก็ยิ่งยุ่งเหยิง ราวกับว่าที่นั่นมีเื่ที่กำลังรอคอยนางอยู่
นางถอนหายใจด้วยความรำคาญและหลับตาลงพักผ่อน
จ้าวต้านมองดูนางอยู่เสมอ เมื่อเห็นว่านางหลับตาลง เขาก็หยิบเสื้อคลุมไปคลุมร่างให้
เขาเหลือบไปมองหรานอิ่งชุนที่นิ่งเงียบมาโดยตลอด เมื่อเห็นว่านางดีขึ้นมากจึงขยับริมฝีปากเอ่ยถาม
“ที่ตระกูลหรานเวลานี้เป็เช่นไรบ้าง? เมื่อใดแม่ทัพหรานจะยกพลกลับมาได้?”
“มิได้แตกต่างจากในอดีตมากเ้าค่ะ เพียงแค่ฮูหยินใหญ่ได้เสียชีวิตไปแล้ว ยามนี้เอ้อร์อี๋เหนียงได้ดูแลภายในตระกูลก็เท่านั้น ส่วนท่านปู่ ข้าไม่รู้หรอกเ้าค่ะว่าเขาจะกลับมาได้เมื่อใด”
“ที่ข้าจะไปหาเขาครานี้ก็เพราะเขามิได้กลับตระกูลเกือบหนึ่งปีแล้ว ข้าคิดถึงเขาเหลือเกินจนตัดสินใจออกเดินทางเองโดยมิได้บอกผู้ใด”
“แค่ปราบปรามประชาชนมิใช่หรือ? เหตุใดจวนจะปีหนึ่งแล้วยังจัดการมิได้” จ้าวต้านรู้สึกว่าเื่นี้ต้องมีเบื้องลึกเื้ั เขาพลันขมวดคิ้ว
“เื่ปราบปรามประชาชนทำได้สำเร็จแล้วเ้าค่ะ แต่ความวุ่นวายภายในซู่อวี่กวนยามนี้ยังหาสาเหตุมิได้ ท่านปู่จึงต้องตรวจสอบให้แน่ชัด” หรานอิ่งชุนตอบ
“ทราบแล้ว คุณหนูหรานพักผ่อนเถิด” เมื่อได้ทราบเื่ราวทั้งหมดแล้ว จ้าวต้านก็ไม่คิดจะสนทนากับนางต่อ
หรานอิ่งชุนพยักหน้า เดินไปหาเวินซีแล้วนอนลงข้างนาง
เวลานี้เวินซีเป็ราวกับที่พึ่งทางใจของนาง
เมื่อเห็นจ้าวต้านถือไม้มัดใหญ่ พวกเขาก็รู้ว่าเขาจะเป็คนเฝ้ายามให้ สืออีและต้วนจิงเย่จึงพากันนอนพักผ่อน
ในวันที่สอง ทุกคนตื่นขึ้นด้วยเสียงร้องของนกพิราบ
ทันทีที่เวินซีลืมตาก็เห็นนกพิราบบินวนอยู่ในอากาศ นางลุกขึ้นยืนผิวปาก นกพิราบตัวนั้นก็บินลงมาหยุดอยู่ตรงหน้า
นางนั่งยองลงและหยิบจดหมายออกจากเท้าของนกพิราบ
จดหมายส่งมาจากโจวอวี่ชาง เนื้อความเขียนถึงสถานการณ์ใน่นี้ของพวกเขา
ร้านหม้อไฟเป็ที่นิยมมากในเมืองซู่เหอ เขาจึงเปิดร้านชานมเพิ่มขึ้น ทุกวันมีลูกค้ามากมายเต็มร้าน รายได้ใน่นี้มีมากถึงรายได้ที่เกิดขึ้นใน่สองปี
ในตอนท้ายของจดหมาย พวกเขาได้บอกถึงความคิดถึงที่มีต่อนาง คิดอยากจะให้นางไปอาศัยอยู่ที่เมืองซู่เหอ
เวินซีอ่านจบก็รู้สึกสบายใจเป็อย่างยิ่ง นางอยากจะทำให้พวกเขาแปลกใจจึงมิได้ตอบจดหมายกลับ
เมื่อทุกคนทำกิจกรรมของตนเสร็จก็กลับขึ้นรถม้า จากนั้นมุ่งหน้าเดินทางต่อ
ตลอดทางมีูเาแห้งแล้งอยู่โดยรอบ ไม่มีผู้ใดผ่านไปมา หรานอิ่งชุนได้เห็นสภาพแวดล้อมดังนั้น คิ้วก็ขมวดแน่นขึ้นเรื่อยๆ
สุดท้ายนางก็ลดม่านลงพลันไปนั่งข้างเวินซี
“คุณหนูเวิน เรากำลังจะเข้าเขตของพวกโจรป่าแล้วเ้าค่ะ พวกนั้นอาศัยอยู่บนเขา มีคนคอยสอดส่องทางทุกวัน พวกเขาน่าจะเห็นพวกเราแล้ว คงจะทำการซุ่มโจมตีเราแล้วเ้าค่ะ”
“ทราบแล้ว หากโจรป่าโจมตี เ้าหลบอยู่บนรถก็พอ อย่าให้พวกเขาเจอเ้า ส่วนที่เหลือให้พวกเราจัดการก็พอ”
เวินซีพูดจบ หรานอิ่งชุนก็พยักหน้า สายตาของนางยังคงมองไปรอบๆ แต่ความไม่สบายใจที่แสดงออกผ่านสีหน้าก็ยังไม่หายไป
รถม้าเดินทางต่อ สภาพแวดล้อมโดยรอบเงียบลงเรื่อยๆ นอกจากเสียงใบไม้แห้งที่ปลิวไปตามสายลมก็ไม่มีเสียงอื่นใด
เวินซีหลับตาและเพ่งสมาธิไปที่ด้านนอกรถ จ้าวต้านลดสายตาลง จับดาบไว้ในมือ
หนึ่งชั่วยามต่อมา เสียงฝีเท้าพลันดังก้องขึ้นในป่า
นางรู้ว่าโจรป่ามาแล้ว เวินซีลืมตาขึ้นอย่างเ็าแล้วกำผงพิษไว้ในมือ หรานอิ่งชุนก็เข้าไปหลบอยู่ที่มุมรถ
คนในรถเตรียมการรับมือไว้แล้ว แต่เมื่อมองจากภายนอก รถทั้งห้าคันไม่มีความผิดปกติใดๆ
โจรหลายสิบคนที่ซุ่มโจมตีอยู่รอบๆ ถือดาบและมองดูรถม้าด้วยความอดกลั้น ดวงตาของพวกเขาเป็ประกาย
“หัวหน้าใหญ่ รถห้าคันนี้ขอรับที่ข้าเห็นอยู่ในเมืองเมื่อวันก่อน ด้านในมีสตรีงามปานล่มเมืองผู้หนึ่ง เป็สตรีที่หายากโดยแท้ หัวหน้ายังไม่เคยมีคู่ครอง ข้าว่าสตรีผู้นี้เหมาะสมกับท่านยิ่งนัก”
“เ้าสนใจแต่เพียงสตรีงามหรือ หัวหน้าใหญ่ไม่ต้องไปสนใจเขาหรอกขอรับ ดูม้าพวกนั้นสิขอรับ ล้วนเป็ม้าชั้นดีที่หายาก ล้ำค่าโดยแท้ คนในรถจะต้องเป็คนร่ำรวยแน่ หากปล้นพวกเขาแล้ว ไม่แน่ว่าเราอาจจะมีใช้ไปครึ่งปีเลยก็เป็ได้”
“หัวหน้าใหญ่ หากท่านมิชอบสตรี มอบนางให้ข้าก็ได้ขอรับ ข้าชอบ”
“อย่าหนักมือไปล่ะ ห้ามฆ่าม้ากับสตรี ข้าจะเอาทั้งสองอย่าง”
“หัวหน้าใหญ่...”
“หัวหน้าใหญ่...”
......
เหล่าโจรป่าสนทนากันเบาๆ ส่วนผู้ที่ถูกเรียกว่าหัวหน้าใหญ่มิได้สนใจพวกเขา สายตาของเขาเอาแต่จับจ้องไปที่รถม้าที่เคลื่อนตัวอยู่
เมื่อเห็นว่ารถม้ากำลังก้าวเข้าสู่กับดัก สีหน้าเขาก็เป็ประกาย กำดาบในมือแน่นขึ้น
ทันใดนั้นเสียงม้าร้องก็ดังขึ้น เมื่อเห็นรถม้าคันแรกล้มตึงลงไปกับพื้น ผู้เป็หัวหน้าก็รีบพุ่งตรงไป โดยมีโจรป่าคนอื่นๆ ตามไปด้วย