อวิ๋นซีและจวินเหยียนใช้เวลาและแรงใจอยู่เป็นานถึงได้โน้มน้าวอวิ๋นซานผู้ไม่ยินยอมให้พวกเขาสามีภรรยาเข้าไปในเขตโรคระบาดได้ นอกจากนี้ เดิมทีสองสามีภรรยาคิดจะรอจนหวานหว่านกลับมาถึงค่อยออกเดินทาง ทว่า ในห้องนอนตอนนี้อวิ๋นซีกำลังเตรียมสิ่งของที่จำเป็ต้องใช้อยู่ โดยมีจวินเหยียนเฝ้ามองอยู่ข้างๆ
นางมองท่าทางที่สามีจับจ้องตนราวกับกำลังมองผู้ต้องสงสัยหลบหนีจนอดไม่ได้ที่จะยิ้มน้อยๆ แล้วถามขึ้น “ท่านกังวลว่าข้าจะหนีไปหรือไร”
จวินเหยียนลากคนเข้ามาในอ้อมแขน ก่อนจะประทับจูบลงไปอย่างหนักหน่วง และเป็นานถึงได้ยอมปล่อย “อาซี อาซีของข้า...” ชั่วขณะนั้นมือของอวิ๋นซีที่กำลังกอดคอสามีอยู่พลันปรากฏเข็มเงินเล่มหนึ่ง
กว่าจวินเหยียนจะดึงสติกลับมาได้ ทั้งร่างของเขาก็มึนงง ก่อนจะสลบไสลไปบนไหล่ของอวิ๋นซี นางมองเขา พูดเสียงเบา “โง่จริง ข้าจะทนให้ท่านไปเผชิญอันตรายกับข้าได้อย่างไร ลูกชายและลูกสาวของเราล้วน้าท่าน”
อวิ๋นซีเปิดประตูลับพร้อมกับพาจวินเหยียนเดินเข้าไปในทางลับ นางเดินไปได้ไม่นานก็พบกับบุรุษสองคนที่สวมชุดดำ สองคนนี้เองก็เป็คนสนิทของจวินเหยียน อวิ๋นซีส่งตัวเขาให้หนึ่งในสองที่มีร่างกายกำยำ ก่อนจะพูด “รอจนเขาฟื้นขึ้นมาค่อยมอบจดหมายฉบับนี้ให้เขา”
เว่ยอิงมองอวิ๋นซี พูดอย่างนอบน้อม “กระหม่อมรับบัญชาพ่ะย่ะค่ะ และขอพระชายาดูแลพระวรกายของพระองค์เองให้ดีด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
อวิ๋นซีพยักหน้า “วางใจเถอะ เปิ่นเฟยดวงแข็งนัก ยมบาลไม่้าข้า” นางเคยตายมาแล้วถึงสองครั้งจนเผลอคิดไปว่า ดวงของตนคงจะแข็งเกินไปกระมัง แม้แต่ยมบาลก็ยังไม่กล้ารับตัวไปง่ายๆ ดังนั้น นางจึงเชื่อว่า ในเหตุการณ์โรคระบาดครั้งนี้ คนเยี่ยงนางไม่มีทางมาตายง่ายๆ เป็แน่ และจะไม่มีทางยอมตายอย่างเด็ดขาด
อย่างไรเสีย นางยังมีแค้นที่ยังไม่ได้รับการชำระ ทั้งยังเคยลั่นวาจาไว้ว่า จักต้องได้ดูคนเ่าั้ตายไปกับตาตน จักต้องส่งบรรดาคนที่ทำร้ายตระกูลของนางไปขอขมาต่อบิดาเฉียวด้วยตนเอง
เมื่อเว่ยอิงได้รับคำรับรองจากปากอวิ๋นซีก็ถอนใจด้วยความโล่งอก ครั้งนี้พระชายาคิดแผนการอันตรายเช่นนี้ออกมา ทั้งยังถึงกับกล้าทำให้นายท่านสลบ จากนั้นก็เว่ยซานที่แปลงกายเป็นายท่านติดตามนางไปยังอำเภออานอวิ๋น เขาไม่กล้าคิดเื่ราวหลังจากนั้นเลยจริงๆ หากนายท่านฟื้นขึ้นมา และได้ค้นพบความจริงเื่นี้ คนจะถึงขั้นสังหารตนทิ้งเลยหรือไม่
ไม่ว่าอย่างไรเขาเองก็จะให้นายท่านไปเสี่ยงอันตรายไม่ได้ เพราะความน่ากลัวของโรคระบาดนี้ ในใจพวกเขาล้วนรู้ดี ส่วนการที่พระชายายืนหยัดจะไป พวกเขาเองก็ขวางไว้ไม่ได้ จึงได้แต่หวังว่าพระชายาจะเป็คนดีที่์คุ้มครอง
เว่ยอิงมองไปยังชายเ็าที่มีรูปร่างคล้ายจวินเหยียน จากนั้นจึงพูดว่า “เว่ยซาน ปกป้องพระชายาด้วย”
เว่ยซานพูดเรียบๆ “มีเว่ยซาน พระชายาปลอดภัย”
นี่คือคำสัญญาที่เว่ยซานมีต่อบรรดาองครักษ์ัทุกคน เขาจะใช้ชีวิตของตน เพื่อปกป้องพระชายา ชั่วขณะนั้นอวิ๋นซีถึงกับเม้มปาก นางยิ้ม พูดขึ้น “ข้าไม่ได้้าให้เ้าใช้ชีวิตตนมาปกป้องข้า”
เว่ยซานทำเป็ไม่ได้ยินคำพูดของอวิ๋นซี และติดตามอยู่เื้ันางอย่างดื้อดึง เมื่อไปถึงห้อง อวิ๋นซีก็ให้เว่ยซานปลอมตัวเป็สามีตน และด้วยกังวลว่าบุรุษใจแคบผู้นั้นจะฟื้นขึ้นมาเสียก่อน นางจึงไม่ได้รอหวานหว่าน พาเว่ยซานจากไปอย่างเงียบเชียบ
ทว่า สิ่งที่อวิ๋นซีคิดไม่ถึงก็คือ พวกนางที่เพิ่งไปถึงนอกเมืองกลับเห็นแม่นางน้อยผู้หนึ่งนั่งอยู่บนหลังม้า ดวงตาของนางหรี่ลงน้อยๆ จากนั้นจึงพูดกับแม่นางบนหลังม้า “เยว่หัว เ้ามาทำอันใด? ”
เยว่หัวที่อายุสิบขวบพลิกตัวลงจากหลังม้า นางคุกเข่าลงตรงหน้าอวิ๋นซี พูดว่า “ท่านอาจารย์ ข้าจะเข้าไปในเขตโรคระบาดกับท่าน”
อวิ๋นซีขมวดคิ้วพูด “เหลวไหล”
“ศิษย์มิได้เหลวไหล ศิษย์ติดตามอยู่ข้างกายท่านอาจารย์ ร่ำเรียนวิชาแพทย์มาเกือบสี่ปี เื่อื่น ศิษย์คงไม่กล้าพูด แต่ว่าการจัดยา ต้มยา และดูแลผู้ป่วย เื่เหล่านี้ ศิษย์สามารถทำได้” สายตาของเยว่หัวแน่วแน่ “หากว่าอาจารย์ไม่ยินดีจะพาศิษย์ไปด้วย เช่นนั้นศิษย์ก็ไม่มีทางเลือกอื่น ได้แต่ต้องให้อาจารย์เข้าไปในเขตโรคระบาดก่อน จากนั้นศิษย์ค่อยไปยังอวี่โจว หรือไม่ก็เมืองเฟิง”
อวิ๋นซีรู้มาตลอดว่า ลูกศิษย์ของนางเป็คนมีความคิดเป็ของตนเอง เพียงแต่เมื่อต้องเห็นท่าทีของคนในตอนนี้ นางกลับรู้สึกไม่พอใจ “เ้ากำลังข่มขู่อาจารย์อยู่หรือ? ” เยว่หัวมีพร์ในวิชาแพทย์ นางมีความรู้สึกเช่นนี้มาั้แ่ครั้งแรกที่ได้พบหน้าเด็กน้อย หลายปีมานี้คนไม่เคยทำให้นางผิดหวังเลยสักครั้ง หากเป็การรักษาโรคทั่วไป การจะพาอีกฝ่ายไปเปิดหูเปิดตา หาความรู้จากสถานที่จริงสักหน่อยก็ไม่นับเป็อะไร แต่ครั้งนี้ต่างออกไป เพราะนี่เป็การเข้าไปในเขตโรคระบาด
เยว่หัวคุกเข่าลงบนพื้น นางรีบพูด “ศิษย์ไม่กล้า ศิษย์รู้เพียงว่า อาจารย์อยู่ที่ใด ศิษย์ก็จะขออยู่ที่นั่นด้วย ตอนนี้ไม่ว่าใครต่างก็หวาดกลัวเขตโรคระบาดกันทั้งนั้น คนที่กล้าเข้าไปจริงๆ มีน้อยยิ่ง หากศิษย์เป็เช่นเดียวกับคนเ่าั้ คนที่ตอนนี้ยังมีชีวิตอยู่ในน้ำลึกไฟร้อนก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เหลือทางรอดของชีวิตแม้เพียงนิดแล้วหรือเ้าคะ”
นางมองไปยังอวิ๋นซีอย่างสงบนิ่ง ในใจชัดเจนดี วันนี้ไม่ว่าอย่างไรตนก็ต้องตามอาจารย์เข้าไปในเขตโรคระบาดให้ได้
อวิ๋นซีมองลูกศิษย์ตน รู้สึกปวดหัวเล็กน้อย หลายปีผ่านไปในใจนางที่มีต่อเยว่หัวไม่ใช่แค่ลูกศิษย์ของตน คนเป็ดังครอบครัวคนสำคัญของนาง ถึงกระนั้นนางก็รู้ดีว่าเยว่หัวเป็คนดื้อรั้น หากนางไม่พาไปด้วย ไม่แน่เ้าเด็กคนนี้อาจเก็บของแล้วออกเดินทางไปอวี่โจวด้วยตัวเองจริงๆ ก็เป็ได้
นางไกวๆ มือ พูดอย่างปลงๆ ด้วยท่าทีวิงเวียนปวดหัว “ขึ้นม้าเถอะ อาจารย์ขอพูดไว้ตรงนี้ หากเกิดเื่ใดขึ้น เป็ตาย เ้าต้องรับผิดชอบเอง”
ใบหน้าเรียบเฉยของเยว่หัวมีรอยยิ้มบางๆ ผุดขึ้น “อาจารย์วางใจ ศิษย์ไม่มีทางตายหรอกเ้าค่ะ” นางยังต้องติดตามเรียนวิชาแพทย์กับอาจารย์ ยังต้องกตัญญูอยู่ข้างกายอาจารย์ และยังต้องถ่ายทอดวิชาความรู้ของอาจารย์ต่อไป ดังนั้น ไม่ว่าอย่างไรก็จะเป็อะไรไปไม่ได้เด็ดขาด
อวิ๋นซีเพียงยิ้ม ไม่ได้พูดอะไรต่ออีก
เมืองหลวงอยู่ห่างจากเมืองเฟิงไม่ไกลนัก หรืออาจเรียกได้ว่าเมืองเฟิงอยู่ใกล้กับเมืองหลวงที่สุดเมื่อเทียบกับบรรดาเมืองต่างๆ อวิ๋นซีจึงตัดสินใจพาเว่ยซานและเยว่หัวออกเดินทางมุ่งหน้าไปยังเมืองเฟิงก่อน และได้พบเหล่าพี่น้องจากหอรุ่งอรุณที่นอกเมือง พวกเขาต่างเตรียมยาสมุนไพร เกลือบริโภค น้ำตาลทราย และหินเหล็กไฟทั้งหลายเอาไว้พร้อมสรรพ
นางนำของทั้งหมดนี้เข้าไปในเมืองเฟิง และเพราะนางมีป้ายคำสั่ง จึงสามารถเดินทางเข้าเขตโรคระบาดได้อย่างรวดเร็ว
สิ่งที่นางคิดไม่ถึงก็คือ ระยะเวลาจากที่หอรุ่งอรุณได้รับข่าวมาแค่เพียงสองวัน แต่เมืองเฟิงแห่งนี้กลับเขยิบเข้าใกล้ความอ้างว้างร้างผู้คนจากการเจ็บป่วยล้มตายแล้ว อวิ๋นซีเร่งเข้าพบผู้ดูแลเมืองเฟิง เขาเป็ชายที่มีอายุราวยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปด อย่างไรก็ดี ข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับเขาล้วนอยู่ในมือของอวิ๋นซีนานแล้วนับแต่ที่ยังไม่ได้ออกเดินทาง
นายอำเภอเมืองเฟิงมีนามว่า หลี่หรงเฉียว คนเป็ถึงทั่นฮวา [1] ของการสอบเข้ารับราชการเมื่อเจ็ดปีก่อน ในตอนหลังถูกส่งให้ไปอยู่ประจำเมืองเล็กๆ ทางตะวันตก แม้เขาจะทำผลงานได้บ้างเล็กน้อย แต่เพราะไม่มีคนหนุนหลัง คนในกรมขุนนางจึงไม่แลเห็นเขาอยู่ในสายตาเลยสักนิด ทำให้คนได้รับตำแหน่งเป็เพียงนายอำเภอในเขตเล็กๆ ของภาคตะวันตกอยู่หกปี จนกระทั่งจวินเหยียนได้เข้ามาดูแลกรมขุนนาง เขาถึงได้มีโอกาสโยกย้ายมาอยู่เมืองเฟิงแห่งนี้
ถึงแม้ตำแหน่งที่ได้รับจะเป็นายอำเภอเหมือนกัน แต่เมื่อเทียบกับผู้ดูแลเขตเล็กๆ ในภาคตะวันตกกับการเป็ผู้ดูแลเมืองเฟิงนั้นต่างกันลิบลับ อำเภอภายใต้เขตการดูแลของเมืองเฟิงมีอยู่กว่ายี่สิบแห่ง ทั้งยังนับเป็เมืองหนึ่งในแคว้นหนานเย่าที่ค่อนข้างใหญ่ และหากเดินทางมาเมืองหลวงโดยทางทะเล เมืองเฟิงนี้ก็เป็หนึ่งในสถานที่ที่ดีที่มักจะถูกใช้ในการแวะขึ้นฝั่ง ที่นี่ถือเป็สถานที่ที่ไม่ว่าจะขึ้นเหนือลงใต้ก็ล้วนต้องผ่านทั้งสิ้น
ทว่า สถานที่เช่นนี้เองกลับกลายเป็ดังนรกที่ใครๆ ต่างก็หวาดกลัวและคิดอยากจะหลบหนี
เมื่อหลี่หรงเฉียวได้รู้สถานะของอวิ๋นซีและ ‘จวินเหยียน’ เขาก็คิดจะคุกเข่าคารวะ แต่เว่ยซานในร่างจวินเหยียนกลับประคองหลี่หรงเฉียวขึ้นภายใต้การส่งสัญญาณของอวิ๋นซี ก่อนจะพูดขึ้นเรียบๆ “เรามาพูดถึงเื่ในเมืองเฟิงนี้ดีกว่า”
ด้วยเหตุนี้เอง หลี่หรงเฉียวถึงได้เริ่มพูดเื่ของเมืองเฟิง...
————————————————————————————————
เชิงอรรถ
[1] ทั่นฮวา(探花)หมายถึง ลำดับสามในการสอบเข้ารับราชการในสมัยโบราณของจีนที่ใช้มาั้แ่่ราชวงศ์สุ่ยถังจนถึงราชวงศ์ชิง หรือที่เรียกว่าเคอจวี่ สามลำดับแรกจะถูกเรียกว่า จ้วงหยวน (จอหงวน) ปั๋งเหยี่ยน และทั่นฮวา ตามลำดับ