ไท่ไท่สามเป็คนเช่นนี้ หากไท่ไท่รองด่าตนเอง ไม่ว่าอย่างไรนางก็ทนได้ แต่หากรังแกมาถึงบุตรสาว นางกลับไม่ถอยแม้แต่ก้าวเดียว
ไท่ไท่สามออกจากประตูมา ยามนี้ไท่ไท่รองบุกมาถึงลานบ้านแล้ว นางยืนอยู่กลางลานท่าทางเดือดจัด
"พี่สะใภ้รอง นี่ท่านจะทำอันใด เช้าขนาดนี้ก็มารังควานเฉียวเยว่ของพวกเราแล้วหรือ? ถึงนางจะเป็ผู้เยาว์ ไม่ว่าพี่สะใภ้รองจะพูดอย่างไรก็ถูกเสมอ แต่ท่านก็ไม่ควรรังแกกันขนาดนี้ เด็กยังเล็ก จะปล่อยวางไม่ได้เลยเชียวหรือ" ไท่ไท่สามเอ่ย
ไท่ไท่รองตวาดกลับ "อะไรนะ พวกเ้าทำผิดก่อน แต่กลับไม่ยอมให้ข้าพูดงั้นหรือ ข้าว่าพวกเ้าเห็นหรงเยว่ของเรามีคู่หมายที่ดี ก็เลยอิจฉาริษยามากกว่า ถึงจงใจขัดขวาง หากมิใช่เฉียวเยว่ไปพูดให้ไขว้เขว หรงเยว่จะเปลี่ยนใจได้อย่างไร"
กล่าวมาถึงตรงนี้ ไท่ไท่สามก็หัวเราะเยาะออกมา แล้วถามว่า "พี่สะใภ้รองมีหลักฐานหรือไม่? หากไม่มีอันใดสักอย่าง ข้าคงต้องถกกับท่านให้รู้เื่สักหน่อย ท่านถือสิทธิ์อันใดมากล่าวหาเฉียวเยว่ของเราอย่างไร้เหตุผล และเหตุใดนางต้องไปขัดขวางการแต่งงานของหรงเยว่? ข้าว่าท่านกลับไปถามหรงเยว่ให้กระจ่างก่อนดีกว่า แล้วค่อยออกมาหาเื่ผู้อื่น"
ไท่ไท่สามยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าไท่ไท่รองเป็คนไม่มีสมองจริงๆ เฉียวเยว่ของนางจำเป็ต้องเสี่ยงทำเช่นนั้นด้วยหรือ?
นางไม่ให้โอกาสไท่ไท่รองได้โต้ตอบ ก็พูดขึ้นมาอีก "ใครพูดอะไรกับหรงเยว่ ใจนางย่อมรู้ดีที่สุด พี่สะใภ้รองกลับไปถามให้รู้เื่ก่อนจะดีกว่า เื่ของบุตรสาวตนเองยังไม่ทันถามให้รู้แจ้ง ก็แล่นออกมากัดชาวบ้าน เฉียวเยว่ของพวกเราคำนึงถึงส่วนรวมก่อนเสมอ รู้ว่าท่านคือผู้าุโ ไม่กล้าที่จะพูดอะไรมากมาย แต่คนเป็แม่อย่างข้ายอมไม่ได้ หากท่านจะมายัดเยียดข้อหาส่งเดชเช่นนี้ ก็อย่าโทษว่าน้องสะใภ้เช่นข้าไม่ไว้หน้าแล้วกัน"
ไท่ไท่สามเอือมระอากับความไร้หัวคิดของไท่ไท่รองเต็มทน หลายปีมานี้นางทำตัวงี่เง่าไม่จบไม่สิ้น มีเื่อะไรหน่อยก็มาอาละวาดราวกับหมาบ้า ไม่มีการศึกษาแม้แต่น้อย เมื่อก่อนนางล้วนอดกลั้น แต่ครานี้กลับยอมไม่ได้ หากไม่ให้นางเห็นดีเสียบ้าง ไม่แน่ว่าอาจจะมีครั้งหน้าอีก
ยิ่งไปกว่านั้น... ไท่ไท่สามนึกถึงข่าวลือจากภายนอก่นี้ อารมณ์ก็ยิ่งหงุดหงิด "เมื่อพี่สะใภ้รองตัดสินว่าเฉียวเยว่ของเราไปพูดอะไรกับหรงเยว่ เช่นนั้นข้าก็จะไปถามหรงเยว่เหมือนกัน ั้แ่เล็กจนโต น้องสาวปฏิบัติต่อนางอย่างไร ไม่ว่าเมื่อไรเวลาไหน เฉียวเยว่ล้วนปกป้องหรงเยว่ตลอดเวลามิใช่หรือ? ตอนนี้พวกเ้ากลับมารังแกกันเกินไปแล้ว"
บัดนี้ไท่ไท่สามดูราวกับประทัดที่จุดเพียงครั้งเดียวก็ะเิเปรี้ยงปร้าง
อันที่จริงไท่ไท่รองก็ไม่แน่ใจมาั้แ่ต้น แต่นางชิงชังเรือนสามอยู่เป็ทุนเดิม พอคิดว่าต้องเป็คนในครอบครัวนี้แน่ ก็ออกมาหาเื่ทันที
ต่อให้มีปัญหาขึ้นมาจริงๆ ก็จะสักแค่ไหนกันเชียว
ถึงอย่างไรชื่อเสียงของซูเฉียวเยว่ก็ไม่ได้ดีอยู่แล้ว หากจะปรักปรำคน แค่แต่งเื่เล็กน้อยก็ใช้ได้แล้ว ถึงอย่างไรตนเองก็เป็ผู้าุโ นางจึงไม่สนใจอะไรมากมาย แต่นึกไม่ถึงเลยว่าฉีอิ่งซินจะโจมตีนางอย่างบ้าคลั่ง
นางหาใช่คนมีวาทศิลป์ ชั่วขณะนั้นจึงหาถ้อยคำมาหักล้างไม่ได้
หลังจากสงบอารมณ์อยู่สักพักก็เอ่ยว่า "ไม่ใช่เฉียวเยว่ของพวกเ้า แล้วจะเป็ใครไปได้"
ไท่ไท่สามหัวเราะเยาะ "เช่นนั้นท่านก็กลับไปถามน้องสาวคนดีของท่านดูสิ"
ไท่ไท่สามไม่ยอมให้เฉียวเยว่แบกหม้อดำแทนผู้อื่น ไม่ว่าใครล้วนไม่ได้ทั้งสิ้น
"หากไม่อยากให้คนรู้ก็จงอย่ากระทำ ข้าว่าพี่สะใภ้รองกลับไปทบทวนดูดีๆ ว่าตนเองเคยล่วงเกินน้องสาวคนดีผู้นั้นอย่างไรไว้บ้าง ดูท่าเื่แท้งบุตรคราก่อนจะยังไม่จบสินะ"
ไท่ไท่รองตะลึงงัน นางไม่เคยนึกถึงจุดนี้เลย
พอเห็นฉีอิ่งซินจริงจังขึ้นมา นางก็ไม่รู้จะพูดอะไรแล้ว
"พวกเ้าเข้ามานี่ นายท่านสามกำชับไว้มิใช่หรือ ว่าห้ามใครบางคนเข้ามาในเรือนนี้ ข้าเลี้ยงพวกเ้าไว้มีประโยชน์อันใด?"
ไท่ไท่สามแสดงอำนาจบาตรใหญ่ขึ้นมากะทันหัน บ่าวไพร่สองสามคนต่างคุกเข่าทันที
สีหน้าของไท่ไท่รองยามนี้ยิ่งบิดเบี้ยวดูไม่ได้ "ฉีอิ่งซิน เ้าจะแสดงอำนาจชี้หม่อนด่าไหว [2] ไปไย เ้า..."
"เชิญพี่สะใภ้รองกลับไปเถอะ ข้าทางนี้ยังมีเื่ต้องจัดการ เกรงว่าจะไม่สามารถอยู่ต้อนรับท่านได้ แต่หวังว่าท่านกลับไปแล้วจะไปสอบถามให้ชัดแจ้งก่อนค่อยกลับมาโวยวาย แล้วก็..." นางเว้นจังหวะเล็กน้อย ก่อนที่จะเอ่ยอย่างเ็า "พี่สะใภ้รองคำนึงถึงหน้าตาไว้บ้างก็จะดี"
พูดจบ ก็หมุนตัวเดินกลับเข้าเรือนโดยไม่แยแสสิ่งใด
ไท่ไท่รองโกรธจนแทบเป็ลม นางขึ้นมาขี่หลังเสือแล้วยากจะลงจริงๆ แต่พอเห็นคนเข้ามาเกลี้ยกล่อมให้กลับ ก็จำต้องจากไปอย่างเดือดดาล
ไท่ไท่สามเข้ามาในเรือนแล้ว เห็นเฉียวเยว่มองนางตาค้างก็ถามว่า "ทำให้เ้าใหรือ?"
เฉียวเยว่ส่ายหน้า "ไม่เลยเ้าค่ะ แต่ข้าไม่เคยเห็นท่านแม่แข็งกร้าวดุดันเช่นนี้มาก่อน"
"ข้าแค่รำคาญนางที่ท้าทายไม่จบไม่สิ้นเสียที" ไท่ไท่สามตอบ แต่น้ำเสียงกลับเนิบเบา
"ไม่รู้ว่าพี่หญิงสามจะเป็อย่างไรบ้าง" เฉียวเยว่ทอดถอนใจ
"นางจะเป็เช่นไรก็ใช่เื่ที่เ้าต้องมาเป็กังวล เมื่อก่อนข้าชอบหรงเยว่เด็กคนนี้มาก รู้สึกว่านางไม่เหมือนพี่สะใภ้รองแม้แต่น้อย แต่ดูจากตอนนี้ เห็นทีนางก็เป็คนไม่รู้ความเช่นกัน"
เฉียวเยว่เงยหน้าขึ้นมอง
อาจเป็เพราะรู้สึกได้ว่าบุตรสาวมีท่าทีไม่เห็นด้วย ไท่ไท่สามถึงพูดต่อไปว่า "เ้าลองตรึกตรองดูดีๆ เื่ที่นางทำวันนี้ถูกต้องหรือไม่? หากก่อนหน้านี้ยังไม่รับปากผู้อื่นก็แล้วไปเถอะ แต่เมื่อตอบตกลงไปแล้ว จะมาบอกว่าตนเองชอบอีกคน มันสมด้วยเหตุผลแล้วหรือ หากไม่ใช่เื่ของนาง ป้าสะใภ้รองของเ้าจะมาหาเื่ถึงที่ได้อย่างไร ต้องเป็นางพูดอะไรบางอย่างทำให้คนเข้าใจผิด"
เฉียวเยว่เม้มปาก ก้มศีรษะ
"เ้าจำไว้เลย ถึงแม่จะอ่อนปวกเปียกแค่ไหน แต่ก็รู้จักแยกแยะ ตราบใดที่ล่วงล้ำมาถึงพวกเ้า แม่ไม่มีวันยอม"
เฉียวเยว่เงยหน้ายิ้มแป้น "ท่านแม่ร้ายกาจถึงเพียงนี้ ข้ามีความสุขมาก"
ไท่ไท่สามอึ้งงัน
"ท่านแม่จะก้าวร้าวเอาแต่ใจบ้างไม่เป็อันใดเลยสักนิด สิ่งที่ข้ากลัวที่สุดก็คือหลังจากพวกเราแต่งงานกันไปหมดแล้ว ท่านแม่จะถูกผู้อื่นรังแก ป้าสะใภ้ใหญ่มากเล่ห์เ้าแผนการ ป้าสะใภ้รองก็มักทำตัวไร้เหตุผลไม่เกรงกลัวสิ่งใด ข้าย่อมเป็ห่วงท่านแม่มากที่สุด"
เดิมทีไท่ไท่สามนึกว่าเฉียวเยว่จะรู้สึกไม่ดีกับเื่นี้ แต่ไม่นึกว่านางกลับคิดตรงกันข้าม เห็นเช่นนี้แล้ว ก็ไม่รู้ว่าควรจะเอ่ยอย่างไรดี
เฉียวเยว่ทอยิ้มน้อยๆ "ท่านแม่ของข้าดีที่สุด"
เื่ที่ไท่ไท่สามเกรี้ยวกราดใส่ไท่ไท่รองแพร่งพรายออกไปอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นก็มีข่าวออกมาอีกว่าไท่ไท่รองไปโวยวายกับหวังหรูเมิ่งอีกยกใหญ่ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เื่นี้ก็แพร่กระจายไปทั่วจวนอย่างไม่อาจปิดบัง
เคราะห์ดีที่เื่นี้ถูกฮูหยินผู้เฒ่าระงับเอาไว้ได้
นางคุกเข่าสวดมนต์อยู่ในห้องพระ หลังจากเสร็จสิ้นก็ลุกขึ้น หมัวมัวด้านข้างรีบเข้ามาประคองนางขึ้นมา
"ข้าอายุมากแล้วจริงๆ ตอนนี้หากไม่มีคนประคองก็คงจะกินแรงไม่น้อย" ฮูหยินผู้เฒ่าเปรยเสียงเบา
"คุณหนูเจ็ดรออยู่ที่เรือนหลักเ้าค่ะ" หมัวมัวกระซิบบอก
ฮูหยินผู้เฒ่ายกยิ้มน้อยๆ "ข้านึกแล้วว่ายายหนูคนนี้ก็น่าจะมา"
เื่บานปลายขนาดนี้ ไม่มีเหตุผลที่นางจะไม่มาปรากฏตัว
ฮูหยินผู้เฒ่าออกจากห้องพระกลับมายังเรือนหลัก เฉียวเยว่รีบเข้าไปประคองท่านย่าของตนเอง
"เหตุใดไม่ไปอ่านตำราที่ห้องหนังสือเล่า?" ฮูหยินผู้เฒ่าถามด้วยรอยยิ้ม
"อ่านตำราไหนเลยจะสำคัญกว่าท่านย่าล่ะเ้าคะ?" เฉียวเยว่พูดติดตลก
"ในใจของข้า ท่านย่าถึงจะสำคัญที่สุด"
นางประคองฮูหยินผู้เฒ่านั่งลง หลังจากนั้นก็ไปรินน้ำชามาให้ ฮูหยินผู้เฒ่ารู้สึกคอแห้งเล็กน้อย จิบเข้าไปสองคำ ก็เอ่ยว่า "มารดาเ้าสบายดีหรือไม่?"
ดวงตากลมโตระยิบระยับดุจหยาดน้ำโค้งลงมาเป็รูปจันทร์เสี้ยว "ท่านแม่ย่อมไม่สบายอยู่แล้วเ้าค่ะ" นางเอ่ยเสียงเบา
สายตาของฮูหยินผู้เฒ่าฉายแววประหลาดใจ
เฉียวเยว่รีบพูดต่อ "ท่านแม่รู้สึกว่าเมื่อเช้าตนเองหุนหันพลันแล่นเกินไป หากไม่เพราะนาง ทุกอย่างตอนนี้ก็คงจะไม่เกิดขึ้น ตอนนี้กำลังเสียใจภายหลังอยู่เลยเ้าค่ะ ท่านย่า ท่านอย่าถือสาหาความกับท่านแม่ของข้าเลยนะเ้าคะ"
เฉียวเยว่ดึงแขนของฮูหยินผู้เฒ่าแล้วส่ายไปมา ฮูหยินผู้เฒ่าหัวเราะเอ่ยว่า "ใครบอกว่าข้าโกรธมารดาของเ้า อีกอย่างต่อให้เป็เช่นนั้น เ้าก็มาอ้อนวอนข้าแล้วมิใช่หรือ"
เฉียวเยว่พยักหน้า เอ่ยด้วยน้ำใจใจจริง "นั่นสิเ้าคะ ข้าน่ารักเพียงนี้ ไม่มีเหตุผลที่จะควบคุมไม่อยู่"
ฮูหยินผู้เฒ่าขำพรืดออกมา ก่อนที่จะถอนหายใจ "ยายหนูคนนี้ หน้าหนาเสียไม่มี"
"ท่านย่า แล้วพี่หญิงสาม...?" เฉียวเยว่ใจเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ
"ข้าคุยกับนางไปแล้ว สกุลิ่ไม่เคยสนใจนางมาแต่ไหนแต่ไร หากวันนี้นางคลาดจากคุณชายสกุลเฉิง วันหน้าข้าจะไม่สนใจนางอีกแล้ว"
พอเห็นความวิตกกังวลผ่านแววตาของเฉียวเยว่ ฮูหยินผู้เฒ่าก็เอ่ยอีกว่า "เ้าอย่าเป็ห่วงนางนักเลย ทุกคนควรรับผิดชอบการกระทำของตนเอง ไม่ว่าใครก็มิใช่เด็กสามขวบแล้ว นึกว่าตนเองอยากทำอะไรก็ทำได้กระนั้นหรือ?"
เฉียวเยว่เม้มปาก ไม่เปล่งเสียงสักแอะ
ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นสีหน้าของเฉียวเยว่ดูเหมือนจะไม่นำพา ก็เอ่ยว่า "ย่ารู้ เ้ากับพี่หญิงสามของเ้ามีความสัมพันธ์ที่ดีมาก แต่เื่นี้เ้าอย่ายุ่งดีกว่า"
เฉียวเยว่ตอบอื้อ แต่ในใจยังรู้สึกคับข้อง
"ข้าคุยกับนางแล้ว ให้เวลานางไตร่ตรองหนึ่งวัน พรุ่งนี้ค่อยมาให้คำตอบข้า ข้าทุ่มเทจิตใจวางแผนเพื่อนาง หากนางไม่รู้ความ กู่ไม่กลับ ข้าก็หมดหนทางช่วยเหลือ"
"ท่านย่า แท้จริงแล้วพี่หญิงสาม นาง..." เฉียวเยว่เอ่ยเสียงเบา แต่ฮูหยินผู้เฒ่าไม่อนุญาตให้นางพูดต่อ
"นางคิดว่าเมื่อเ้าไม่แต่งเข้าสกุลิ่ นางเองก็น่าจะมีโอกาส แต่นางไม่คิดบ้างว่าจ่างกงจู่ทรงต้องตานางหรือไม่ ฮูหยินสกุลิ่ต้องตานางหรือไม่ ข้ามิได้บอกว่านางไม่ดี ลูกหลานตนเองอย่างไรก็ดีอยู่แล้ว แต่นางถูกบิดามารดาของตนเองดึงความน่าประทับใจลงมาเท่าไร สกุลิ่สายตาสูงส่งถึงเพียงนั้นจะต้องตานางได้อย่างไร"
เฉียวเยว่ทำปากยื่น "นั่นก็บุตรชายบุตรสะใภ้ของท่านนะเ้าคะ"
ฮูหยินผู้เฒ่าหัวเราะ "เ้ารู้ทั้งรู้ยังมาพูดเยี่ยงนี้"
เฉียวเยว่อับจนถ้อยคำจะตอบโต้
"ย่าเหนื่อยแล้ว และรู้ว่าเ้าเองก็ร้อนใจ แต่เฉียวเยว่เอ๋ย เ้ายังไม่ออกเรือน หากเข้ามายุ่งเกี่ยวก็มีแต่จะทำให้เื่ยิ่งวุ่นวาย ย่าไม่ปิดบังเ้า แท้จริงแล้วที่สกุลิ่ยังโอ้เอ้ไม่ตัดสินใจเื่คู่หมายของิ่จื้อรุ่ยเสียที ก็เพราะจ่างกงจู่ และคนที่นางหมายตาก็คือเ้า"
เฉียวเยว่มิได้มีสีหน้าประหลาดใจ เพราะรู้แก่ใจดีอยู่แล้ว
"แต่ข้าไม่อยากแต่งเข้าสกุลของพวกเขา" นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง
"แล้วเ้านึกว่าย่า้าเยี่ยงนั้นหรือ? ย่าไม่อยากให้แม่นางน้อยอย่างพวกเ้าต้องมารับภาระอันใดเพื่อครอบครัว แค่เ้าใช้ชีวิตอย่างราบรื่นมีความสุข ย่ากับท่านปู่ของเ้าก็ได้สมความปรารถนาแล้ว"
เฉียวเยว่ยิ้มหวาน พยักหน้าอย่างหนักแน่น "ข้ารู้ ข้ารู้ว่าท่านปู่กับท่านย่ารักข้าที่สุด"
ฮูหยินผู้เฒ่าลูบศีรษะของเฉียวเยว่ "เ้าเข้าใจความคิดของย่าก็ใช้ได้แล้ว อันที่จริงในใจย่า เด็กๆ อย่างพวกเ้าล้วนเหมือนกันหมด แค่ใครบางคนไม่เข้าใจเท่านั้น พวกเ้าทุกคนล้วนแต่เป็หลานสาวแท้ๆ ของข้า ข้าจะลำเอียงเข้าข้างคนหนึ่งละเลยคนหนึ่งได้อย่างไร"
เฉียวเยว่พยักหน้า แล้วกอดแขนของฮูหยินผู้เฒ่า "พี่หญิงสามต้องเข้าใจเ้าค่ะ"
"เื่นี้ ข้าจะไม่ละเว้นหวังหรูเมิ่งเป็อันขาด" สีหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าเ็าขึ้นมา "นางปิศาจตัวการทำลายครอบครัว"
...
[1] ชี้หม่อนด่าไหว หมายถึง แสร้งด่าคนหนึ่งแต่ไปกระทบกับอีกคน คล้ายกับสำนวนตีวัวกระทบคราดของไทย
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้