ณ สุสานร้าง ในเหวลึก
ระหว่างฟ้าดิน พลังมรณะที่เข้มข้นปกคลุมไปทั่วทั้งผืนดินราวกับเมฆดำ ฟ้าดินมืดมิด ราวกับมีอสูรร้ายจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังจ้องมองอยู่ไม่ไกล
เมื่อมองไปเพียงพริบตาเดียว จะเห็นว่าหลุมศพเหล่านี้ก็เหมือนตั้งอยู่บนแผ่นดินที่รกร้างและเคว้งคว้าง ท่ามกลางความมืดมิด หลุมศพเหล่านี้เป็เหมือนซากศพ มองดูแล้วทั้งแปลกประหลาดและน่ากลัว
เมื่อสายลมพัดผ่าน ฝุ่นบนพื้นดินก็ถูกพัดพา โชยเข้ามาอย่างเยือกเย็น ราวกับภูตผีกำลังปรากฏตัว
ฉินอวี่อยู่ในแดนหลุมศพแห่งนี้มาเป็เวลากว่าสิบวันแล้ว เมื่อถูกโยนเข้ามายังเหวลึก ฉินอวี่ก็ล้มลงจนเกิดรอยฟกช้ำทั่วร่างกาย เมื่อขุดหลุมแห่งหนึ่งขึ้นมาแล้ว เขาก็ลงไปนั่งรวบรวมพลังฟื้นฟูร่างกาย เมื่อผ่านไปเป็เวลาสิบวัน อาการาเ็ของเขาก็ฟื้นฟูไปกว่าเจ็ดถึงแปดส่วนแล้ว และไม่รู้เช่นกันว่าหยางเต้าถูกโยนไปตกอยู่ที่ใด หลังจากฉินอวี่ตกลงมาเขาก็ไม่พบร่องรอยใดๆ เลย
ในถ้ำมืดสนิทที่มองไม่เห็นแม้มือของตนเอง ฉินอวี่ได้ลืมตาขึ้น พลังปราณในร่างกายถูกยับยั้งไว้ทั้งหมด ดวงตาของเขาเปล่งประกายแสงสีม่วง มโนจิตได้สาดส่องออกไปอย่างเงียบๆ
นี่เป็ครั้งแรกที่เขาได้เข้ามายังเหวลึกแห่งนี้ ฉินอวี่ก็ไม่กล้าประมาท แม้แต่ผู้แข็งแกร่งอย่างปู่ของเสี่ยหยวน เมื่อเข้ามายังสถานที่แห่งนี้แล้วก็ยังไม่ได้กลับออกไป หากตนเองเกิดอ่อนแอลงแม้แต่น้อย ก็อาจต้องตายอย่างอนาถ
ฉินอวี่ไม่กล้าส่องมโนจิตไปไกลมากนัก ครอบคลุมพื้นที่เพียงสิบลี้เท่านั้น แต่สิ่งที่ทำให้ฉินอวี่ต้องหวาดกลัวก็คือ ในรอบรัศมีสิบลี้นี้ไม่มีต้นไม้ใบหญ้าขึ้นอยู่เลยแม้แต่ต้นเดียว ทั่วทั้งพื้นที่เต็มไปด้วยหลุมฝังศพ อีกทั้งหลุมฝังศพเหล่านี้ล้วนว่างเปล่าทั้งสิ้น อย่างน้อยที่สุด มโนจิตของฉินอวี่ก็ยังไม่พบซากศพอยู่ในหลุมศพใดเลย
“นี่มันเื่อะไรกัน? จะเป็ไปได้หรือไม่ว่าคนที่ตายอยู่ในเหวลึกแห่งนี้ล้วนแต่ขุดหลุมเปล่าเอาไว้?” ฉินอวี่ใ แต่ก็โล่งใจ การตกลงมายังสถานที่แห่งนี้นับว่ายังดี อย่างน้อยที่สุดก็มีเวลามากพอที่จะสร้างความคุ้นเคยให้กับตนเอง
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง ฉินอวี่ก็ยกมือขวาขึ้น มองไปยังฝ่ามือ และพูดขึ้นเบาๆ “เสี่ยวหลิง?” แต่สิ่งที่ตอบกลับฉินอวี่เป็เพียงความเงียบงัน
ในตอนที่ได้พบกับอันดับหนึ่งในแดนมรณะ เสี่ยวหลิงได้ปรากฏขึ้นมาพร้อมโอบแผ่นศิลาแผ่นหนึ่งเอาไว้ และลอยเข้าสู่รอยผนึกฝ่ามือที่อยู่บนมือข้างขวา ซึ่งยังคงไม่ส่งเสียงอะไรออกมาจนถึงตอนนี้
หลังจากส่งเสียงเรียกไปหลายครั้ง เขาก็ยังไม่ได้รับคำตอบรับจากเสี่ยวหลิง ฉินอวี่จึงได้แต่ปล่อยผ่านไป เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นจึงะเิพื้นดินอย่างระมัดระวัง พยายามอย่างดีที่สุดเพื่อไม่ให้เกิดเสียงดังและค่อยๆ ลอยตัวขึ้นในอากาศ และทันทีที่ศีรษะโผล่พ้นจากหลุม ฉินอวี่ก็กวาดสายตามองไปโดยรอบ เมื่อพบว่าไม่มีใครอยู่ เขาจึงถอนหายใจอย่างโล่งอก
ในขณะที่ฉินอวี่กำลังลอยขึ้นจากหลุมบนพื้น ก็มีเสียงคร่ำครวญดังขึ้น ฉินอวี่จึงใ แม้เสียงคร่ำครวญนี้จะเบามาก แต่กลับให้ความรู้สึกไม่ต่างไปจากเสียงฟ้าผ่าฟ้าคำราม ร่างกายตกกลับลงไปในหลุม สีหน้าเริ่มเอาแน่นอนไม่ได้ ั้แ่ต้นจนถึงตอนนี้ มโนจิตของเขาไม่รู้สึกถึงใครเลย ราวกับว่าเสียงคร่ำครวญที่ได้ยินนั้นกำเนิดขึ้นมาจากอากาศ
บรรยากาศเช่นนี้ทำให้ฉินอวี่ต้องกลั้นหายใจ เหงื่อไหลออกมาจากทั่วร่างกาย เสียงคร่ำครวญนั้นยิ่งดังใกล้เข้ามา ราวกับว่ามีใครบางคนกำลังเดินเข้าใกล้ขึ้นมาเรื่อยๆ
“ทำอย่างไรดี?” ฉินอวี่ระงับความหวาดกลัวเอาไว้ สามารถทำให้มโนจิตของเขาตรวจจับไม่พบได้ อย่างน้อยที่สุดก็ต้องมีระดับการฝึกฝนขั้นกายจุติ และหากต้องเผชิญหน้ากัน ต่อให้มีพลังจากวิชาปีศาจคลั่งก็ช่วยอะไรไม่ได้
แต่สิ่งที่ทำให้ฉินอวี่ต้องมึนงงคือ เสี่ยงคร่ำครวญที่ได้ยินนี้ค่อยๆ จางหายไป ฉินอวี่ทิ้งความประหลาดใจไว้ จากนั้นจึงค่อยๆ โผล่ศีรษะขึ้นไปอีกครั้ง กลับพบเงาร่างที่เลือนรางอยู่ห่างออกไปในชั่วพริบตา ขึ้นๆ ลงๆ อย่างรวดเร็วก่อนหายไปอย่างไร้ร่องรอย
“มองไม่เห็นข้าหรือ?” ฉินอวี่ขมวดคิ้วและลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขารีบพุ่งตัวขึ้นมาจากหลุม ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังทิศทางที่เงาร่างอันพร่ามัวได้ลอยจากไป
คนผู้นั้นจะต้องพบตนเองแล้วแน่นอน แต่กลับไม่โจมตี เมื่อเห็นว่าเขาไม่มีเจตนาร้าย ฉินอวี่จึงรีบตามไป เพื่อลองดูว่าพอจะได้ข้อมูลอะไรเกี่ยวกับเหวลึกแห่งนี้จากคนคนนั้นบ้าง
หลายปีมานี้ บรรดาเผ่าหยาจื้อที่เข้ามายังเหวลึกล้วนแต่ไม่ได้กลับออกไป ดังนั้น เผ่าหยาจื้อจึงแทบจะไม่มีความรู้อะไรเกี่ยวกับเหวลึกแห่งนี้เลย เช่นนั้นแล้ว ฉินอวี่จึงไม่เคยได้รับรู้อะไรเกี่ยวกับเหวลึกแห่งนี้จากเสี่ยหยวนหรืออันดับสองเลย
แต่สิ่งที่ทำให้ฉินอวี่แปลกใจคือความเร็วของเงาร่างนั้นที่มีความรวดเร็วมาก แม้ฉินอวี่จะใช้พลังทั้งหมดเร่งเหาะตามไป เพียงไม่นาน เงาร่างนั้นและเสียงคร่ำครวญก็หายไปแล้ว
ฉินอวี่ยืนอยู่กลางอากาศและกวาดสายตาไปโดยรอบ พลางขมวดคิ้วขึ้นมา ที่แห่งนี้ไม่พบหลุมศพอยู่เลย แผ่นดินตรงหน้าเต็มไปด้วยรูพรุน ดูเหมือนจะเพิ่งผ่านการต่อสู้ที่แสนสาหัสมา
สิ่งที่ทำให้ฉินอวี่มึนงงเป็อย่างมากคือ มีเส้นสีดำเส้นหนึ่งที่มีลักษณะเหมือนงูวิเศษลอยพาดผ่านพื้นที่ซึ่งอยู่ตรงหน้า
“นั่นรอยวิถีทำลายล้างใช่หรือไม่? ไม่สิ หากเป็รอยวิถีทำลายล้าง แล้วรอยวิถีเช่นนี้เคลื่อนไหวได้หรือ?” ฉินอวี่เงียบอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงวาดมือขวาออกไป ใช้พลังยกหินก้อนหนึ่งขึ้นมาจากพื้น จากนั้นจึงโยนมันตรงเข้าไปยังเส้นสีดำที่เห็นอยู่เบื้องหน้า
“ซืด!” ฉินอวี่สูดลมหายใจอย่างทันที
ก่อนที่ก้อนหินจะัักับเส้นสีดำ มันกลับแตกกระจายเป็ฝุ่นผงไปในทันที
“รอยวิถีทำลายล้างจริงหรือ? เป็ไปได้อย่างไร?” ม่านตาของฉินอวี่หดตัวลงด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อทันที ที่แห่งนี้ปรากฏเส้นสีดำอยู่มากมาย หากทั้งหมดนี้ล้วนเป็รอยวิถีทำลายล้างละก็ การต่อสู้ในอดีตที่เคยเกิดขึ้นที่นี่จะมีความน่ากลัวมากขนาดไหน?
เป็ไปได้หรือไม่ว่านี่เป็สถานที่ต่อสู้ระหว่างจอมอสูรกับบรรพชนหยาจื้อในอดีต?
“ช้าก่อน เงาร่างนั่นหายไปจากตรงนี้ หรือจะหายเข้าไปข้างหน้า? เป็ไปได้อย่างไรกัน? ด้วยรอยวิถีทำลายล้างที่มีอยู่มากมายเช่นนี้ ต่อให้เป็ผู้แข็งแกร่งระดับเขตแดนเต๋าก็ยังไม่อยากจะข้ามมันไป”
“เป็ไปได้หรือไม่ว่า คนผู้นั้นเป็ผู้แข็งแกร่งระดับเขตแดนเต๋า? หรือจะเป็เพราะระดับฝึกฝนของข้ายังต่ำเกินไป คนผู้นั้นจึงไม่คิดจะลงมือ? ช่างเถอะ จะอยู่ที่แห่งนี้นานไม่ได้” สายตาของฉินอวี่กะพริบเล็กน้อย ก่อนจะหันเตรียมหลังกลับไปยังสุสานร้างแห่งนั้น
แต่ในขณะที่เขากำลังหันกลับมานั้น เขาก็ขนลุกไปทั่วร่าง มองไปยังคนที่อยู่เบื้องหน้าซึ่งไม่รู้โผล่ออกมาตอนไหนด้วยความหวาดกลัว
คนผู้นี้เป็ชายชรา มีความสูงเพียงหกฉื่อ ร่างกายผอมโซ ใบหน้าของเขาเกือบจะเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก ดวงตาเป็หลุมลึก กระดูกปูดโปนอย่างเห็นได้ชัด มีหนวดเคราบางๆ กระจายอยู่ใต้คางไม่กี่เส้น สวมชุดโบราณสีเทา เสื้อผ้าดูเก่าโทรม เหมือนผ่านวันเวลามานานหลายปี
“เ้ารู้หรือไม่ว่าใครเป็คนทำให้เกิดที่แห่งนี้? เ้ารู้หรือไม่ว่าใครคือผู้ทำลายจูเทียนเต้า? ฮือ ฮือ...” ชายชราที่ผอมโซเหมือนโครงกระดูกมองดูฉินอวี่ด้วยสายตาพร่ามัว และถามอย่างสะอึกสะอื้น
ฉินอวี่รู้สึกขนลุกไปทั้งตัว รู้สึกปั่นป่วนราวกับเกิดพายุพัดกระหน่ำในจิตใจ
สำนักจูเทียนเต้า!
สำนักจูเทียนเต้าจัดเป็สำนักระดับชั้นนำของแดนเซียนอู่ในยุคสมัยไท่ชู ได้รับการสืบทอดมาจากยุคหงหวง มีพละกำลังที่แข็งแกร่งมาก ร่ำลือกันว่าสำนักจูเทียนเต้ามียอดผู้แข็งแกร่งอยู่หกคน เรียกว่า หกธรรมบาล เมื่อทั้งหกธรรมบาลร่วมมือกัน แม้แต่เทพ์ก็ต้องถอยหนี จึงกล่าวได้ว่ามีพละกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดในยุคไท่ชู
แต่สำนักใหญ่ชั้นนำนี้กลับถูกทำลายลงเพียงชั่วข้ามคืน ศิษย์จำนวนกว่าร้อยคนต่างต้องตายอย่างอนาถ ไม่มีใครรอดชีวิตแม้แต่คนเดียว จนกลายเป็ปริศนาที่ไร้การคลี่คลายแห่งยุคไท่ชู
ฉินอวี่ในอดีตก็อยากรู้เช่นกัน เขาพลิกอ่านตำราโบราณเป็จำนวนมาก แต่เื่ที่เกี่ยวกับสำนักจูเทียนเต้าต่างถูกทำลายไปก่อนหน้านี้จนหมดสิ้น ใครคือคนทำลายก็แทบไม่มีผู้ใดล่วงรู้เลย ราวกับได้หายไปอย่างไร้ร่องรอยเพียงชั่วข้ามคืน
สิ่งที่ทำให้ฉินอวี่นึกไม่ถึงเลยคือ ชายชราที่น่ากลัวคนนี้ได้เอ่ยถึงสำนักจูเทียนเต้าขึ้นมา ยิ่งไปกว่านั้น... เมื่อพิจารณาดูจากน้ำเสียงแล้ว ดูเหมือนเขาจะเป็ศิษย์ของสำนักจูเทียนเต้า
เดี๋ยวสิ
หรือที่แห่งนี้คือสถานที่ตั้งของสำนักจูเทียนเต้าในอดีต? ส่วนรอยวิถีทำลายล้างที่เคลื่อนที่ได้อยู่ตรงหน้านั้น ก็คงเป็สิ่งที่เหลือไว้จากการถูกทำลายของสำนักจูเทียนเต้า?
ฉินอวี่พบว่า ความลับในเหวลึกแห่งนี้ช่างลี้ลับและน่ากลัวกว่าที่คิดไว้ยิ่งนัก
“เ้ารู้หรือไม่? เ้ารู้หรือไม่ว่าใครทำลายสำนักจูเทียนเต้า?” ชายชรามองฉินอวี่และถามขึ้นอย่างสะอึกสะอื้นอีกครั้ง
ฉินอวี่ระงับความใเอาไว้ ส่ายหน้าพลางพูดออกไป “ผู้าุโ ข้าไม่รู้”
ดวงตาเว้าลึกคู่นั้นของชายชราชุดเทาเผยความเคียดแค้นออกมาทันที ก่อนจะะโอย่างโกรธเกรี้ยว “ไม่รู้หรือ? ไม่รู้แล้วเ้ามาที่นี่ทำไม เ้าคิดจะมาแย่งชิงของวิเศษของสำนักจูเทียนเต้าใช่หรือไม่ เช่นนั้นเ้าก็ตายเสียเถอะ”
พลังอันกดดันที่ทำลายโลกปกคลุมไปทั่วร่างกาย ฉินอวี่ใอย่างมาก และรีบพูดอย่างรวดเร็ว “ผู้าุโ ช้าก่อน ข้ารู้”
ฝ่ามือขวาของชายชราชุดเทาหยุดค้างอยู่เหนือศีรษะของฉินอวี่ ลมแรงพัดเส้นผมของฉินอวี่อย่างรุนแรง หัวใจของฉินอวี่แทบจะะโร้องออกมา เขากลืนน้ำลายลงคอไปทันที ระงับความตื่นตระหนกไว้ และพูดขึ้น “ผู้... ผู้าุโ แม้ว่าข้าจะไม่รู้ว่าเป็ผู้ใด แต่ข้าคาดว่า คนที่ทำลายสำนักจูเทียนเต้าจะต้องเป็ศิษย์ของสำนักจูเทียนเต้าเอง...”
“คนของสำนักจูเทียนเต้าเป็คนทำ ไม่... เป็ไปไม่ได้...” ชายชราชุดเทากุมศีรษะ และคำรามอย่างเ็ป
ฉินอวี่ไม่ได้พูดจาเหลวไหล ในตอนนั้นเขาพบเบาะแสจากตำราโบราณ หากว่าโดยหลักการแล้วสำนักจูเทียนเต้าแข็งแกร่งถึงที่สุดได้ถึงเพียงนี้ จะต้องมีดินแดนหรือโลกเล็กๆ ในสำนักอย่างแน่นอน แต่มันกลับไม่หลงเหลืออยู่เลย
จึงเห็นได้ชัดว่าคนที่ทำลายสำนักจูเทียนเต้านั้นจะต้องรู้จักสำนักจูเทียนเต้าเป็อย่างดี จึงมีความเป็ไปได้ว่าคนลงมือจะต้องเป็ศิษย์ในสำนัก
ฉินอวี่สูดลมหายใจเข้าลึกๆ และกำลังครุ่นคิดว่าควรพูดเช่นไรไม่ให้ชายชราผู้นี้เกิดความขุ่นเคือง ชายชราชุดเทาใช้มือกุมศีรษะร้องไห้ไปพลางหัวเราะไปพลาง และพูดพึมพำ
“ทำลายลงแล้ว ไม่มีอีกแล้ว ไม่มีอะไรเหลือแล้ว”
“สำนักจูเทียนเต้าถูกทำลายไปหมดแล้ว... ฮ่าๆ...”
“ข้ารู้... ข้ารู้แล้ว... ว่าใครทำลายสำนักจูเทียนเต้า ฮ่าๆๆ ข้ารู้ว่าใครทำลายสำนักจูเทียนเต้า... แต่แล้วจะทำอย่างไรล่ะ? ฮือๆ...” น้ำเสียงที่ดูโศกเศร้าและเ็ปราวกับผีสางที่สุดน่ากลัวดังขึ้นอีกครั้ง จากนั้นชายชราชุดเทาก็เดินตรงไปยังจุดที่รอยวิถีทำลายล้างอยู่หนาแน่นอย่างเสียสติ...
สิ่งที่ทำให้ฉินอวี่ต้องใคือ ชายชราชุดเทากลายเป็เงาร่างอันไร้ตัวตนที่มุ่งตรงเข้าไปยังรอยวิถีทำลายล้าง
ดวงตาทั้งสองของฉินอวี่เบิกโพลง กลืนน้ำลายอย่างรุนแรง และพึมพำอย่างหวาดกลัว “เงาร่างธรรมบาล หนึ่งในเก้าวิชาลับแห่งจูเทียน...!”
