วันนี้อากาศใช้ได้ เมฆก่อนหน้านี้ก็หายไปหมดแล้ว มีแสงแดดปรากฏในหมู่บ้านซึ่งชาวบ้านนั้นรอคอยมาอย่างยาวนาน
หร่านซวี่จือนั่งอยู่ในนา เขายกมือขึ้นบังท้องฟ้าแล้วมัดหญ้าบนฝั่งที่ตัดไว้เข้าด้วยกันเพื่อเอาไว้ใช้ในบ้าน จากนั้นก็ยกไปไว้บนรถเข็นข้างไป๋เหมย
“พี่ ผมไปก่อนนะ” หร่านซวี่จือปลดผ้าขนหนูที่รัดเอวออกมาแล้วใช้เช็ดเหงื่อที่ซึมจากหน้าผาก
ขณะที่กำลังเดินอยู่บนทางที่คดโค้ง เขาก็ได้ยินเสียงเฮของคนที่เล่นไพ่นกระจอกจากที่ไกลๆ ปกติเวลาที่ฝ่ายการเงินไม่มีอะไรทำ เสี่ยวจางก็มักจะเรียกคนกลุ่มหนึ่งไปเล่นไพ่นกกระจอกหรือไพ่อื่นๆ
หร่านซวี่จือล้วงหารายการบัญชีของหวังเฉิงที่จะให้เขาออกมาจากในกระเป๋า แล้วตบหลังของเสี่ยวจางเบาๆ “พี่เสี่ยวจาง…”
ยามปกติเสี่ยวจางจะพูดจาเชื่องช้า แต่ตอนนี้เขากลับโบกแขนทีหนึ่งแล้วเอ่ยเสียงดัง “วางไว้ในบ้านฉันเลย! ” ดูเขากำลังกระตือรือร้นอย่างสุดขีด
หร่านซวี่จือพยักหน้า ดูเหมือนไม่ได้สนใจเขาเท่าไหร่ แล้วเดินเข้าไปบ้านของเสี่ยวจาง
บ้านของเสี่ยวจางนั้นเก่าทรุดโทรม ผนังยังเป็แบบดินเหนียว บนหลังคามีแผ่นไม้เก่าๆ ปูไว้ ส่งกลิ่นเหม็นอับจากน้ำฝน ส่วนบนพื้นมีเปลือกเมล็ดทานตะวันหรือขยะเช่น เปลือกส้มกระจายอยู่ ในอ่างล้างจานก็มีหม้อกับถ้วยจานกองไว้อีกทาง
หร่านซวี่จือเดินไปห้องด้านในของเสี่ยวจางแล้ววางลงบนโต๊ะของเขา คิดไม่ถึงว่าด้านในโต๊ะของเสี่ยวจางก็รก แม้กระทั่งพื้นที่ว่างจะวางของยังไม่มี
หร่านซวี่จือ: “…”
เละเทะได้ขนาดนี้ก็นับว่าเป็ยอดคนจริงๆ
หร่านซวี่จือจัดการวางของบนโต๊ะไปอีกทางเพื่อหาพื้นที่ว่างมาวางรายการบัญชี
ด้านล่างสุดมีเอกสารหนึ่งฉบับซึ่งมันเก่าแก่มาก ตอนที่หร่านซวี่จือดึงออกมาก็ ชำเลืองมองอย่างไม่ตั้งใจ พลันเห็นชื่อของเสี่ยวจางกับจ้าวผิงสองคน
หร่านซวี่จือมองเห็นหัวข้อเอกสาร
ทะเบียนรายชื่อพนักงานบริษัท คั่วปั๋ว จำกัด
หร่านซวี่จือรู้จักชื่อบริษัทคั่วปั๋วนี้ เพราะเป็บริษัทของพ่อของหวังเฉิง
หร่านซวี่จือจึงชะงักเล็กน้อย
หลังจากที่เขาดึงเอกสารออกมา หร่านซวี่จือก็พลิกดูคร่าวๆ เขาก็เจอชื่อของเฉิงจวิ้นเป็ชื่อสุดท้ายที่ระบุไว้ในรายชื่อเมื่อสิบสองปีก่อน
นั่นก็คือเฉิงจวิ้น จ้าวผิงแล้วยังมีจางซวี่ที่เคยทำงานที่บริษัทของพ่อของหวังเฉิงเมื่อนานมาแล้ว
แต่ว่าเฉิงจวิ้นจะไปทำงานข้างนอกได้อย่างไร?
เขาเป็โรคประสาทตั้งนานแล้วไม่ใช่หรือ? ถึงแม้ว่าจะได้รับการรักษาแล้ว แต่บริษัทจะจ้างคนที่มีประวัติโรคประสาทมาทำงานอย่างนั้นหรือ? หรือว่าโรคประสาทของเฉิงจวิ้นจะเริ่มมีอาการหลังจากทำงาน?
ไม่ถูกต้องสิ ั้แ่เริ่มแรกไม่เคยมีใครบอกว่าเฉิงจวิ้นเป็โรคประสาท เพียงแค่บอกว่าสมองมีปัญหาและทุกคนต่างก็เข้าใจว่าเป็โรคประสาท
หร่านซวี่จือกำลังจะจากไป พอหันหลังมาก็เจอกับเสี่ยวจางที่เพิ่งเข้ามาทางประตู
“เสี่ยวหลิง เธอเอาบัญชีมาให้ฉันก็พอ” เสี่ยวจางมีเหงื่อซึมเต็มหน้าผาก ส่วนหน้าตานั้นก็กลับมาดูเป็คนเชื่อฟังว่าง่าย หลังของเขายังคงโก่งเหมือนเดิม
หร่านซวี่จือพยักหน้า พลางเดินไปหยิบบัญชีแล้วยื่นให้เขา
หลังจากที่หยิบไป หร่านซวี่จือก็ล้วงภาพถ่ายใบนั้นออกมาจากแขนเสื้อของตนเอง “อันนี้คือของที่พี่ทำหล่นไว้”
เสี่ยวจางเงยหน้ามองภาพถ่ายใบนั้นพร้อมกับชะงักไป เขาทำตัวไม่ถูก “อันนี้…อา ใช่แล้วๆ ฮ่าๆๆ เสี่ยวหลิงเก็บได้ที่ไหนหรือ…”
เสี่ยวจางยื่นมืออยากไปแย่งภาพถ่ายคืนมา หร่านซวี่จือจึงถอยหลังหนึ่งก้าว แล้วเอ่ยด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก “พี่เสี่ยวจาง พี่จะเล่าเื่ของเซียวหงกับเฉิงจวิ้นให้ผมฟังหน่อยได้ไหมครับ? ”
“เื่นี้” เสี่ยวจางเหงื่อซึมมากกว่าเดิม เขาเผยรอยยิ้มที่ลำบากใจออกมา “ฉันก็ไม่รู้เื่พวกนี้หรอก ภาพถ่ายนั้น ฉันก็บังเอิญไปเจอมา”
“พี่เสี่ยวจาง” หร่านซวี่จือขัดเขาอย่างใจเย็น “พี่หวังเอง่นี้ก็เริ่มอัตคัดขัดสน ยื่นเงินให้พี่ไม่ได้แล้วใช่ไหม? ”
คำพูดนี้พูดได้ชัดเจน เสี่ยวจางถูมือ พลางยิ้มแล้วเอ่ย “ความหมายของเธอคือ…”
“คือแบบนั้นแหละครับ”
สิ่งสำคัญในชีวิตของเสี่ยวจางคือการพนันและการพนันก็ต้องใช้เงิน เริ่มแรกนั้นเขายืมกับจ้าวผิง แต่หลังจากที่จ้าวผิงเสียชีวิต เขาก็พุ่งความหวังไปยังตัวหวังเฉิง แต่ตอนนี้ หลังจากที่หวังเฉิงเริ่มปฏิเสธเขา เงินเก็บของเสี่ยวจางก็เหลือไม่มากนัก
ที่หร่านซวี่จือพูดเช่นนี้ก็เพื่อดึงเขาขึ้นมาจากเหว
“เื่นี้ เฮ้อ…” จู่ๆ เสี่ยวจางก็หันหลังไปปิดประตูแล้วเอ่ยกับหร่านซวี่จือด้วยเสียงต่ำ “เสี่ยวหลิง ฉันจะบอกเธอก็ได้ แต่เธอห้ามบอกคนอื่น ถ้าหากเกิดเื่อะไร ฉันจะไม่รับผิดชอบนะ”
หร่านซวี่จือพยักหน้า
เสี่ยวจางกวาดตามองรอบทิศแล้วเอ่ยกับหร่านซวี่จือด้วยท่าทีลับๆ ล่อๆ “เฉิงจวิ้นน่ะ ตายด้วยฝีมือของเซียวหง”
หร่านซวี่จือรู้สึกอึ้งอยู่ในใจ แต่ใบหน้ายังคงไม่แสดงสีหน้าอะไร “ความหมายของพี่คือ เซียวหงยังไม่ตายงั้นหรือ? ”
“ไม่ใช่ๆ ” เสี่ยวจางเอ่ยต่อ “เฉิงจวิ้นทำให้เซียวหงตาย ิญญาของเซียวหงก็เลยกลับมาหาเขา! ”
เฉิงจวิ้นทำให้เซียวหงตาย?
รูม่านตาของหร่านซวี่จือหดเล็กลงทันใด “ทำไมถึงพูดแบบนี้? ”
“เธอเห็นภาพถ่ายก็น่าจะเข้าใจแล้วนะ ว่าเซียวหงกับเฉิงจวิ้นนั้นเคยเป็คู่รักกันมาก่อน” เสี่ยวจางถอนหายใจ “นั่นคือเื่เมื่อสิบกว่าปีก่อน คนในหมู่บ้านส่วนใหญ่ไม่รู้เื่”
“แต่ก่อนเฉิงจวิ้นทำงานในเมือง เซียวหงก็ตามเขาไปด้วย ต่อมาไม่รู้ว่าทำไม เฉิงจวิ้นกลับมาที่หมู่บ้านก็กลายเป็คนปัญญาอ่อนไปเลย” เฉิงจวิ้นจำเซียวหงไม่ได้ พอเซียวหงไปหาเขา ตอนที่เฉิงจวิ้นเห็นเธอ อารมณ์ของเขาก็ไม่มั่นคงอย่างมาก หลายครั้งที่เกือบจะตีหล่อนให้ตาย ทำให้ในเวลาต่อมาเซียวหงจึงไม่กล้าไปหาเฉิงจวิ้นอีก
เซียวหงชอบคนที่รูปร่างใหญ่ เฉิงจวิ้นกับหวังเฉิงนั้นเหมือนกันตรงจุดนี้
“แต่เื่นี้กระจายในหมู่บ้านไปว่าอย่างไรน่ะหรือ? ก็คือสามีที่อยู่ข้างนอกของเซียวหงไม่ได้กลับมา นานวันเข้าจึงกลายเป็สาวหม้าย”
เสี่ยวจางเอ่ยอีก “หนึ่งเดือนก่อนเซียวหงตายที่หลุมนั้นไม่ใช่หรือ? ฉันดูก็รู้ว่าเป็ฝีมือของเฉิงจวิ้น! ”
“ทำไมล่ะครับ? ” หร่านซวี่จือเอ่ยถาม
“เพราะคืนก่อนที่เซียวหงจะเสียชีวิต เธอได้ไปหาเฉิงจวิ้น! ” เสี่ยวจางเอ่ยด้วยความตื่นเต้น “ฉันบังเอิญไปเห็นเข้า! ”
ห่างจากบ้านเสี่ยวจางเพียงนี้ สมาคมหมู่บ้านก็ไม่ได้อยู่ละแวกนี้ เสี่ยวจางไม่มีธุระอะไรแล้วจะมาถึงที่บ้านเฉิงจวิ้นทำไมกัน?
อีกอย่าง เห็นได้ชัดว่าเสี่ยวจางนั้นปิดบังเื่ที่ตนเอง เฉิงจวิ้นกับจ้าวผิงนั้นเคยทำงานที่เดียวกันมาก่อน แต่ทำไมต้องปิดบังเื่นี้?
นอกเหนือจากนี้ หากว่าเฉิงจวิ้นฆ่าเซียวหงเสียชีวิตจริง จากนั้นเขาจึงค่อยเอาศพไปทิ้งที่หลุมนั้น ถ้าอย่างนั้นร่องรอยข้างหลุมนั้นคืออะไรกัน? เพราะจากเรี่ยวแรงของเฉิงจวิ้น ก็ไม่น่าจะไร้ซึ่งหนทางที่จะแบกเซียวหงไปทิ้งข้างหลุม
“เสี่ยวหลิง เื่ที่ฉันรู้นั้นบอกกับเธอไปหมดแล้ว ถ้าอย่างนั้น…” เสี่ยวจางกระแอมสองที เขาถูมือแล้วหัวเราะ
“อืม” หร่านซวี่จือพยักหน้า
เื่ของโรงงานนั้นไม่ต้องถาม หร่านซวี่จือมีลางสังหรณ์ หากได้กลิ่นเื่นี้ ต่อไปสถานการณ์คงมีแต่จะซับซ้อนมากยิ่งขึ้น
“เฮ้อ หากไม่ใช่เพราะนาของพี่จ้าวถูกมอบเป็ทรัพย์สินไป ฉันคงช่วยเขาจัดการได้” เสี่ยวจางถอนหายใจ
นาที่เสี่ยวจางพูดถึงคือนาของบ้านจ้าวผิง พื้นที่กว้างขวางซึ่งแทบจะครอบคลุมพื้นที่หนึ่งในสี่ส่วนของทิศเหนือในหมู่บ้าน การเก็บเกี่ยวผลผลิตนั้นทุบสถิติทุกปี ตอนนี้จ้าวผิงตายไป จากกฎระเบียบของหมู่บ้าน จ้าวผิงที่เป็หนึ่งในสมาชิกคณะกรรมการหมู่บ้าน ทรัพย์สินส่วนตัวทั้งหมดจึงต้องมอบให้แก่หมู่บ้าน