เมื่ออวิ๋นซีได้ยินคำของจวินเหยียน นางก็ทำเพียงมองเขาด้วยสายตาเรียบเฉย โดยไม่ได้พูดอะไรอีกเลย จากนั้นคนทั้งสองก็กลับมายังจวนอ๋องพร้อมกัน ทว่าทันทีที่นางเปิดประตูห้องออกก็เห็นเพ่ยเอ๋อร์รีบร้อนเข้ามาหา “ในที่สุดพระชายาก็เสด็จกลับมาแล้ว เมื่อครู่นี้สาวใช้ข้างกายจวิ้นจู่น้อยได้มาแจ้งว่า จวิ้นจู่น้อยร้องไห้อยู่นานแล้ว อยากจะให้พระชายาช่วยไปดูนางหน่อยเพคะ”
อวิ๋นซีเลิกคิ้วถาม “เหตุใดหวานหว่านจึงร้องไห้? ”
จวินเหยียนเองที่เพิ่งเดินออกมาถึงกับขมวดคิ้วแน่น สายตาดำทะมึน “พูด! ” เดิมทีหวานหว่านหาใช่เด็กงอแงดื้อรั้น ทั้งยังร้องไห้น้อยมาก หรือต่อให้จะเป็ในตอนที่พิษกำเริบ นางก็ยังทำเพียงมองเขาด้วยแววตาน่าสงสาร โดยไม่แม้แต่จะร้องไห้ออกมา
“เื่นี้หม่อมฉันถามมาแล้วเพคะ ดูเหมือนว่าหวานหว่านจวิ้นจู่จะบังเอิญเจออวี่เสี้ยนจู่เข้า จึงได้ขอให้อีกฝ่ายช่วยอุ้มนางไปดูดอกบัว ทว่าอวี่เสี้ยนจู่ที่อุ้มจนล้าแล้วกลับเผลอปล่อยมือจนเป็เหตุให้จวิ้นจู่น้อยร่วงลงพื้นเพคะ”
เพ่ยเอ๋อร์ที่เพิ่งพูดจบ ยามนี้ไม่เห็นแม้เงาของจวินเหยียนและอวิ๋นซี ทันทีที่นางเห็นเป็เช่นนี้ก็รีบมุ่งหน้าไปยังเรือนของจวิ้นจู่น้อย นอกจากนี้ เมื่อคนในจวนได้ทราบข่าวเื่จวิ้นจู่น้อยพลัดตกลงพื้น ไม่ว่าใครก็พากันสงสาร เพราะเดิมทีจวิ้นจู่น้อยเป็คนน่ารักน่าเอ็นดู ไม่เคยสร้างความลำบากใจให้บ่าวรับใช้เลยสักครั้ง ต่อให้จะเป็แค่ผอจื่ คนก็ยังปฏิบัติต่ออีกฝ่ายอย่างมีมารยาท ยิ่งกว่านั้น เพ่ยเอ๋อร์เองก็ยังได้ยินมาอีกว่า ตอนนี้คนในจวนกำลังถกกันเื่ที่ในวันหน้าจะไม่ไปใกล้ชิดสนิทสนมกับคนในเรือนฉิ่นเยว่ อีกทั้งเื่ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับจวนอ๋องก็จะไม่ปริปากบอก
เมื่ออวิ๋นซีและจวินเหยียนเร่งร้อนไปถึงด้านนอกเรือนของหวานหว่านก็ได้ยินเสียงร้องไห้อันรวดร้าวของเด็กน้อยดังมาแต่ไกล เสียงร้องนั้นฟังดูแหบแห้ง ไม่รู้ว่าคนร้องไห้มานานแค่ไหนแล้ว ชั่วขณะนั้นอวิ๋นซีก็รู้สึกปวดใจยิ่ง นางรีบเดินเข้าไปด้านใน และได้เห็นเด็กน้อยที่กำลังพาดตัวไปบนเตียงพลางร้องไห้ฟูมฟาย “หวานหว่าน เหตุใดจึงร้องหนักเพียงนี้ เจ็บมากใช่หรือไม่? ”
เมื่อหวานหว่านได้ยินเสียงที่คุ้นเคย เด็กน้อยก็รีบโถมกายเข้าใส่อ้อมแขนของอวิ๋นซีแล้วจึงร้องไปพูดไป “ท่านแม่ หยวนอวี่ผู้นั้นเป็คนเลว พวกเราไล่นางไปจากที่นี่ดีหรือไม่เ้าคะ”
จวินเหยียนมองดูบุตรสาวที่กำลังร้องห่มร้องไห้อย่างน่าสงสารก็อดไม่ได้ให้ปวดใจยิ่ง เขาลูบหัวเด็กน้อยแล้วกล่าวแนะ “เด็กดี วันหน้าเ้าแค่ไม่ต้องไปสนใจนางก็เป็พอ เ้าสามารถทำเหมือนว่านางเป็คนแปลกหน้าที่มาอาศัยอยู่ในจวนนี้ได้ ทำเหมือนว่านางไม่มีตัวตนอย่างไรเล่า”
สตรีผู้นั้นรับพระบัญชาให้มาพักผ่อน ไม่ว่าอย่างไรตอนนี้พวกเขาก็ไม่อาจแตะต้องคนได้ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า เขาจะไม่สามารถทำให้คนในเมืองหลวงไม่รับรู้เื่นี้ได้ ไม่ว่าอย่างไรหวานหว่านก็เป็ถึงหลานสาวของคนผู้นั้น จวินเหยียนเองก็อยากรู้เหมือนกันว่า คนผู้นั้นจะไม่สนใจไยดีเด็กคนนี้เลยหรือไม่ ถึงขนาดที่จะยอมปล่อยให้คนอื่นมารังแกหวานหว่านได้ ทว่า หากอีกฝ่ายไม่คิดจะสนใจจริงๆ ละก็ เขาก็จะบังคับให้สนใจให้จงได้
“เชื่อฟังเสด็จพ่อเ้าเถอะ สตรีผู้นั้นเป็เสด็จปู่ของเ้าที่ส่งมา ดังนั้น ไม่ว่าอย่างไรพวกเราก็ไล่นางไปจากที่นี่ไม่ได้ แต่ว่า เราสามารถทำเหมือนนางไม่มีตัวตนก็ได้นี่ นอกจากนี้ อีกสองวันแม่และเสด็จพ่อของเ้าจะพาเ้าไปเที่ยวเล่นนอกเมือง หลังจากนั้น...พวกเราก็ไปพักผ่อนกันที่เรือนส่วนตัวสักสองสามวัน ดีหรือไม่? ”
เมื่อจวินเหยียนได้ยินก็ได้แต่เสมองไปยังนาง อวิ๋นซีมีความคิดเช่นนี้ด้วยหรือ เหตุใดตนจึงไม่รู้เื่มาก่อนเลย? ถึงแม้จะประหลาดใจ แต่ก็รู้ว่านี่หาใช่เวลาจะมาถามไถ่เื่พวกนี้
เมื่อหวานหว่านได้ยินคำว่า ‘เสด็จปู่’ ก็รีบเอ่ยถามด้วยความสงสัย “ท่านแม่ พวกเขาล้วนพูดกันว่า เสด็จปู่เป็คนที่ร้ายกาจที่สุดในแคว้นหนานเย่า แต่เหตุใดข้าจึงยังไม่เคยพบเสด็จปู่เลยเล่าเ้าคะ? ”
ชั่วขณะนั้นอวิ๋นซีไม่รู้ว่าควรจะตอบคำถามของหวานหว่านอย่างไรดี หรือว่านางควรจะบอกหวานหว่านว่า พระอัยกาของอีกฝ่ายเองก็เป็ผู้ขับไล่พระบิดามาอยู่ที่นี่เช่นกัน? ไม่ได้หรอก เด็กน้อยยังไร้เดียงสามาก ทุกถ้อยคำของผู้ใหญ่ล้วนมีอิทธิพลต่อความคิดความอ่านของเด็กน้อยทั้งสิ้น หากจะพูดจะจาอะไร เด็กก็อาจรับไปโดยไม่รู้ตัว
หากให้ยึดตามความคิดของจวินเหยียนและนางก็คือ ไม่ว่าอย่างไรพวกตนก็ต้องได้กลับไปยังเมืองหลวง และมีเพียงได้กลับไปที่นั่น เขาถึงจะได้ในสิ่งที่้า ส่วนตัวนางก็จะได้แก้แค้น ด้วยเื่นี้ฮ่องเต้จะต้องมีประโยชน์สำคัญยิ่ง
นางขบคิด จากนั้นก็มองจวินเหยียนไปทีหนึ่ง แล้วจึงนั่งลงบนเตียงของเด็กน้อย กล่าวตอบเสียงเบา “แม่จะบอกเ้าให้ก็ได้ นั่นก็เพราะเสด็จพ่อเ้าทำให้เสด็จปู่กริ้ว เขาจึงได้ถูกส่งตัวมาที่นี่ เพื่อให้เก็บตัวสำนึกผิด และรอจนกระทั่งเขารู้ตัวว่าผิดแล้ว เสด็จปู่ถึงจะอภัยให้เขา หลังจากนั้นเราถึงจะสามารถไปเยี่ยมเยือนเสด็จปู่ที่เมืองหลวงได้”
“เสด็จพ่อ เป็เื่จริงหรือเพคะ? ท่านทำอะไรผิดหรือ? ” หวานหว่านกะพริบตาใส ยามนี้นางถูกคำพูดของผู้เป็มารดา ทำให้ลืมเลือนเื่ร้องไห้ไปหมดแล้ว จากคำพูดของท่านแม่ เสด็จพ่อทำผิด? เสด็จปู่จึงได้กริ้ว
“เพราะว่าพ่อทำตัวดื้อดึง ไม่ว่าเสด็จปู่เ้าจะพูดอะไร พ่อก็ไม่ฟัง ดังนั้น ท่านจึงกริ้วมาก แต่ยามนี้พ่อรู้ตัวแล้วว่าตนกระทำผิดไป และกำลังพยายามอย่างเต็มที่เพื่อจะเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งด้วยหวังว่าวันหน้าจะยังได้เจอเสด็จปู่ของเ้าอีก เมื่อถึงตอนนั้นพ่อก็จะไปสำนึกผิดต่อหน้าท่าน! ” จวินเหยียนมองไปนอกประตู จากนั้นจึงยิ้มแล้วพูดว่า “หวานหว่านจงจำไว้ ไม่ว่าอย่างไรเ้าต้องเชื่อฟังคำพูดของมารดา และอย่าได้ทำให้นางโกรธเชียว รู้หรือไม่? ”
เมื่อหวานหว่านได้ยินก็ยิ้มพยักหน้า “ถ้าเช่นนั้น หวานหว่านจะต้องเชื่อฟังเสด็จพ่อด้วยหรือไม่เพคะ? ”
เมื่อจวินเหยียนได้ยินก็อดหัวเราะฮ่าฮ่าพลางมองไปยังอวิ๋นซีไม่ได้ “พ่อเองก็เชื่อฟังเพียงมารดาเ้า เพราะไม่ว่านางจะพูดอะไรก็ล้วนถูกต้องทั้งสิ้น”
อวิ๋นซีคิดไม่ถึงว่าเขาจะสอนหวานหว่านเช่นนี้ หากให้พูดตามจริง การที่เด็กคนนี้ติดตนถึงเพียงนี้ก็นับว่าเหนือความคาดหมายของทุกคนไปมาก เพราะนางไม่ใช่มารดาผู้ให้กำเนิดของอีกฝ่าย แต่เด็กน้อยกลับยังคง้านาง และเชื่อใจนางเป็อย่างยิ่ง
“จวินเหยียน...” นางมองเขาไปทีหนึ่ง ด้วยใจที่คิดอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก่อนจะหลุดคำออกไป นางกลับตัดสินใจที่จะไม่พูดออกมา เพราะคำบางคำ หากจะให้พูดในตอนนี้ก็ยังถือว่าเร็วเกินไป สถานการณ์ในตอนนี้ระหว่างพวกเขาอาจเรียกได้ว่ายังมีหนทางอีกยาวไกลให้ต้องเดิน ดังนั้น อนาคตจะเป็เช่นไร ใครจะล่วงรู้ได้
อีกทั้ง เมื่อหวนนึกถึงสิ่งที่เฉียวจี๋พูดในวันนี้ ในใจของนางก็คลับคล้ายมีการเปลี่ยนแปลงแบบพลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน ในตอนนี้นางดีใจนักที่ตนยังมีชีวิตอยู่ ถึงแม้จะเป็ชีวิตในรูปแบบอื่นก็ตาม
คนทั้งสองอยู่เล่นเป็เพื่อนหวานหว่านภายในห้องอีกครู่หนึ่ง จนกระทั่งแม่นมเข้ามาบอกว่า หวานหว่านอาจจะเหนื่อยแล้ว ควรต้องกินอาหาร และเตรียมตัวเข้านอนแล้ว คนทั้งสองจึงได้จากไป แต่เมื่อได้เห็นสายตาตัดใจไม่ลงของเด็กน้อย อวิ๋นซีก็รู้สึกราวกับใจกำลังถูกบีบรัด
“เ้ากับหวานหว่านมีวาสนาต่อกันยิ่ง ในตอนที่เด็กคนนี้ถูกส่งตัวมาที่นี่ นางยังเล็กนัก ข้าจึงต้องอยู่เป็เพื่อนนางบ่อยๆ จนตอนนี้นางถึงได้ใส่ใจในตัวข้า และติดข้าเพียงนี้ ส่วนเ้าที่เพิ่งรู้จักกับนางได้ไม่นานกลับได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจ อีกทั้งนางก็ยังติดเ้าถึงเพียงนี้ หากเป็คนอื่นที่ไม่รู้เท็จจริงคงจะคิดไปว่าพวกเ้าเป็แม่ลูกกันแท้ๆ ” จวินเหยียนมองนางยิ้มๆ แล้วจึงพูดขึ้น
อวิ๋นซียิ้มตอบบางๆ “หวานหว่านเป็เด็กที่น่ารักมาก ข้าเองก็ชอบนางมากจริงๆ ทว่า ข้ามีเื่หนึ่งที่สงสัยมาตลอด จะต้องเป็สหายเช่นใดหรือท่านถึงได้ทุ่มเทแรงกายแรงใจช่วยเขาดูแลนางเพียงนี้”
นางสงสัยในตัวแม่แท้ๆ ของหวานหว่าน เหตุใดคนจึงสามารถให้กำเนิดเด็กที่น่ารักน่าชังถึงเพียงนี้ออกมาได้ แสดงว่าคนจักต้องเป็สตรีงามแห่งยุคเป็แน่ ถึงขนาดที่หลายๆ ครั้งนางกลับเผลอคิดไปว่า แท้จริงแล้วจวินเหยียนเองก็กำลังหลอกนางอยู่ บางทีหวานหว่านอาจเป็บุตรสาวแท้ๆ ของเขา
ดวงตาร้อนแรงของจวินเหยียนมองดูอวิ๋นซี จากนั้นจึงถามเสียงขรึม “เ้าอยากรู้จริงๆ หรือ” เพื่อเป็การยืนยันถึงสิ่งที่เขากำลังขบคิดอยู่ในใจ ยามนี้เขาจึงคิดอยู่ว่า ด้วยเื่นี้เขาควรจะบอกกับนางหรือไม่?
อวิ๋นซีเบนสายตาออก เนื่องจากนางกลัวสายตาเช่นนี้ของจวินเหยียนเป็ที่สุด “หากท่านไม่สะดวกก็ไม่จำเป็ต้องพูดหรอก”
“หาได้ไม่สะดวก ขอเพียงเ้าอยากรู้ ข้าก็จะบอกเ้าทุกเื่” เขาเดินอยู่ด้านหน้า ขณะที่อวิ๋นซีเองก็กำลังเดินตามอยู่เื้ั คนทั้งสองคนหนึ่งนำหน้า คนหนึ่งตามหลัง พวกเขาล้วนมุ่งหน้าไปยังสวนชิงเฟิง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้