“ทำอย่างไรดี?”
เย่ชิงหานตกตะลึงจนทำอะไรไม่ถูก ไม่ใช่ท่านปรมาจารย์บรรพบุรุษพูดว่าหุ่นเชิดที่อยู่ด้านหน้าปากทางเชื่อมสามารถผ่านได้ง่ายๆ มิใช่รึ? ไม่ใช่พูดว่าหุ่นเชิดที่ปรากฏออกมาจะอิงตามพลังฝีมือของผู้ที่จะทะลวงผ่านไปมิใช่รึ?
ตอนที่เขาได้ยินคำนี้ยังแอบนึกยินดีอยู่ในใจ คิดว่าน่าจะผ่านหุ่นเชิดูเาพวกนี้ไปได้อย่างง่ายดาย แม้ภายนอกพลังฝีมือจะอยู่แค่ระดับแรกขอบเขตจ้าวนักรบบวกอสูรศักดิ์สิทธิ์อีกหนึ่งตัวก็แค่ระดับชั้นสูงสุดขอบเขตจ้าวนักรบ แต่ว่าเ้าพวกสัตว์ประหลาดจระเข้เหล่านี้อย่างน้อยก็ต้องมีพลังฝีมือโดยรวมอยู่ในระดับขอบเขตาาจักรพรรดิถึงจะสามารถทะลวงผ่านไปได้...
ความจริงแล้วเย่ชิงหานคำนวณผิดไปอย่างหนึ่ง ตัวเขาเองไม่ได้มีพลังโจมตีและพลังป้องกันที่แข็งแกร่ง ถ้าหากเป็ผู้มีพลังฝีมือระดับขั้นสูงสุดขอบเขตจ้าวนักรบคนอื่นๆ ย่อมต้องสามารถอาศัยพลังโจมตีที่แข็งแกร่งดุดันทำการโจมตีกวาดล้างออกไปได้อย่างสบายๆ และถ้าหากพลังป้องกันแข็งแกร่งมากพอละก็สัตว์ประหลาดจระเข้พวกนี้แทบจะทำอันตรายใดๆ ไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
เพียงแต่...คาดว่าแม้แต่ท่านเทพผู้ยิ่งใหญ่ที่สร้างูเาสุสานทวยเทพขึ้นมาก็คงคิดไม่ถึงว่าผู้ที่มีพลังฝีมือบรรลุถึงระดับขั้นสูงสุดขอบเขตจ้าวนักรบคนหนึ่งจะใช้เป็แค่เคล็ดวิชาต่อสู้ระดับพื้นๆ ธรรมดาทั่วไปอย่าง “เจ็ดกระบวนท่าเย่หวง” และท่าเท้าที่ฝึกฝนยังไม่ถึงไหนอย่าง “ท่าเท้าเคลื่อนย้ายไร้รูปลักษณ์”...
เย่รั่วสุ่ยเองก็คิดว่าเย่ชิงหานที่มีพร์โดดเด่นของตระกูลถึงเพียงนี้พวกผู้าุโของตระกูลคงจะมอบเคล็ดวิชาต่อสู้ระดับสูงต่างๆ ให้เขาฝึกฝนแล้ว...
ในสถานที่เช่นนี้วิชาต่อสู้ร่างอสูรใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้ เคล็ดวิชาต่อสู้เพียงหนึ่งเดียวที่มีในตอนนี้คือ “วิชาเจ็ดกระบวนท่าเย่หวง” เพียงเท่านั้น แต่ขณะนี้ต้องเผชิญหน้ากับสัตว์ประหลาดที่มากมายมหาศาลเช่นนี้จึงทำได้แค่ยืนมองตาปริบๆ
เขารู้สึกเสียใจภายหลังเป็อย่างมากที่ไม่ได้ถามเอาเคล็ดวิชาต่อสู้ระดับสูงมาสักหลายๆ เล่ม และนึกเสียใจที่หลังจากเหตุการณ์ที่ตีนเขายอดเขาขาดบนเกาะแห่งความมืดมิดจบลง เย่ชิงอู่้าให้เขาฝึกฝนเคล็ดวิชาต่อสู้อื่นๆ แต่เขากลับปฏิเสธไป
เพราะเมื่อตอนอยู่บนเกาะในตอนนั้นแค่เขาใช้กระบวนท่าพลังหลอนสั่นคลอนิญญาออกไปก็สามารถสังหารล้างบางได้ทุกคนจึงทำให้เขาี้เีจะเรียน ประกอบทั้งใน่นั้นกำลังเริ่มปลูกต้นรักใกล้ชิดสนิทเนื้อกันกับเยว่ชิงเฉิงอยู่ทั้งวัน แล้วจะให้เอาเวลาและกะจิตกะใจที่ไหนมาฝึกฝนเล่า...
.................................
ด้วยความอับจนปัญญาเย่ชิงหานจึงจำต้องถอยหลบออกมาด้วยความจำใจ
เขารู้ดีถึงพลังฝีมือของตนเอง แม้จะมีแหวนวิเศษมหัศจรรย์ที่สามารถรักษาเยียวยาอาการาเ็ให้กลับมาหายดีได้ แต่สัตว์ประหลาดที่อยู่ตรงหน้ามากมายจนเกินไป แค่พวกมันทั้งหมดยื่นกรงเล็บออกมาข่วนใส่เขาพร้อมๆ กัน ถึงตอนนั้นคงได้เืไหลออกมาหมดตัวตายไปก่อนที่แหวนจะทำการรักษาได้ทันอย่างแน่นอน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสัตว์ประหลาดจำนวนมหาศาลถึงเพียงนี้ ไม่แน่ว่าเกิดมือเท้าถูกฉีกขาดหลุดออกไป ต่อให้เป็แหวนทองเหลืองก็คงไม่สามารถรักษาให้งอกขึ้นมาใหม่ได้แน่...
ถอยห่างกลับออกมาประมาณหนึ่งร้อยเมตรจนกระทั่งมองไม่เห็นบันไดและปากทางเชื่อมต่อสีดำเย่ชิงหานถึงค่อยปล่อยลมหายใจยาวออกมาพร้อมกับนั่งลงบนพื้นทราย
“ทำอย่างไรดี?”
“ทำอย่างไรดี?”
เย่ชิงหานเริ่มเกาหัวแกรกๆ ขึ้นมาอีกครั้ง แม้ตนเองจะไม่รู้สึกหิวกระหายเพราะกินผลไม้ทั้งเจ็ดอารมณ์ลงไป และขอเพียงไม่เข้าไปใกล้พวกสัตว์ประหลาดที่อยู่ด้านหน้า อาศัยพลังการรักษาเยียวยาที่วิเศษมหัศจรรย์จากแหวนทองเหลืองที่มี นอกเหนือจากนี้ล้วนไม่มีอันตรายใดๆ ต้องเป็กังวล
แต่ว่าเป็คนก็จำเป็ที่จะต้องพักผ่อนมิใช่รึ?
ระดับพลังฝีมือของเขาในตอนนี้สามารถอดหลับอดนอนได้เป็หลายสิบวันพร้อมกับอาศัยการนั่งสมาธิฟื้นฟูพลังกาย พลังจิต และพลังปราณรบให้กลับคืนมาได้! เพียงแต่...การกระทำเช่นนี้ไม่ใช่แผนรับมือในระยะยาว หากอยู่ในสภาพเช่นนั้นอย่างต่อเนื่องยาวนานพลังกายและพลังจิตย่อมต้องถูกใช้ไปอย่างมหาศาล ท้ายที่สุดร่างกายอ่อนล้าจิตใจห่อเหี่ยวไร้พลัง ถึงตอนนั้นจะยิ่งตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายมากกว่าเดิมหลายเท่าตัว
ไม่ต่างจากวัยรุ่นที่กลางคืนไม่หลับไม่นอนแต่มานอนตอนกลางวัน แน่นอนว่าสุขภาพร่างกายยังทนรับไหวเพราะยังหนุ่มยังแน่นโต้รุ่งสามวันห้าวันไม่เป็อะไร แต่เมื่อปฏิบัติตัวเช่นนี้ติดต่อกันหลายเดือนลองดูว่าถ้าไม่ใช่สภาพจิตใจที่เกิดปัญหาก่อนก็ต้องเป็ร่างกายที่จะพังไปก่อนอย่างแน่นอน!
แม้จะสามารถอดทนอยู่ในสถานการณ์ในตอนนี้ได้จริงๆ แต่ที่แห่งนี้ก็ไม่ปลอดภัยทั้งร้อยส่วน อีกอย่างอดทนอยู่แบบนี้ได้เป็เวลาสามปีจากนั้นก็ต้องตายเพราะความหิวและกลายเป็เศษกองกระดูกใต้ผืนทราย? ฉะนั้นมีเพียงทางเดียวคือต้องรีบทะลวงผ่านสัตว์ประหลาดพวกนี้เพื่อไปให้ถึงม่านพลังโปร่งแสงและเข้าไปภายในปากทางเชื่อมให้ได้เท่านั้น...
คิดหาหนทาง คิดหาหนทาง!
เย่ชิงหานเอามือถูใบหน้าไปมาเพื่อทำให้ตนเองสมองปลอดโปร่งขึ้นมาสักหน่อยจิตใจจะได้มีกำลังวังชาเพื่อคิดหาหนทางจัดการกับสถานการณ์ยากลำบากที่อยู่ตรงหน้า เพียงแต่ยิ่งคิดยิ่งสับสนวุ่นวาย ยิ่งคิดยิ่งเลอะเลือนมั่วซั่วขึ้นเรื่อยๆ
“ลูกพี่...อย่าเพิ่งร้อนรน ใจเย็นๆ ก่อน ร้อนรนไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรขึ้นมา!”
ในเวลานี้เองเสี่ยวเฮยส่งกระแสเสียงมาหาเขาฟังดูจากน้ำเสียงของมันมีความร้อนรนและเป็ห่วงกังวลอยู่เล็กน้อยเช่นเดียวกัน แต่ก็ทำให้เย่ชิงหานเริ่มใจเย็นลงบ้างเล็กน้อยพร้อมกับรีบพูดขึ้น “เสี่ยวเฮย เ้าพอมีหนทางบ้างไหม? ูเาสุสานทวยเทพบ้าๆ นี้ ไม่รู้ไอ้คนไหนเป็คนสร้างขึ้นมา ข้าล่ะอยากจะเห็นหน้ามันจริงๆ ให้ตายสิ!”
“หนทางข้าไม่มี เพียงแต่ข้ารู้ว่าถ้าหากท่านยังจิตใจลนลานอยู่เช่นนี้พวกเราคงได้ตายอยู่ภายในนี้แน่!” เสี่ยวเฮยยังคงส่งกระแสเสียงพูดขึ้นต่อ “สถานการณ์เมื่อสักครู่ข้าก็รับรู้ได้เช่นกัน ข้าคิดว่าลูกพี่ท่านจะต้องฝึกฝนเพิ่มเติมเพื่อเสริมส่วนที่ยังไม่มีให้เกิดขึ้นมา เื่แรกคือพลังโจมตี ท่านมีพลังปราณรบที่แข็งแกร่งแต่กลับไม่รู้ว่าจะใช้อย่างไร? เื่ที่สองคือพลังป้องกัน เกราะหนังตัวนี้ไม่พอดีตัวทำให้พลังป้องกันไม่ครอบคลุม มีเพียงต้องเสริมพลังโจมตีหรือพลังป้องกันให้แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นกว่าที่เป็อยู่ในขณะนี้เพียงเท่านั้นถึงจะทะลวงผ่านออกไปได้”
“พลังโจมตี? พลังป้องกัน?”
เย่ชิงหานได้ฟังสิ่งที่เสี่ยวเฮยพูดออกมาจึงสงบจิตใจลงเริ่มทำการครุ่นคิดขึ้น
เขารู้ว่าระดับขั้นพลังปราณรบของเขาในตอนนี้สูงมากแล้วแต่ไม่มีเคล็ดวิชาต่อสู้ระดับสูงเมื่อต่อสู้จึงแสดงศักยภาพของพลังออกมาได้เพียงร้อยละห้าสิบเพียงเท่านั้น แต่ถ้าหากมีเคล็ดวิชาต่อสู้ระดับสูงใช้ควบคู่กันเมื่อทำการต่อสู้ละก็ ศักยภาพของพลังที่มีอยู่ก็จะสามารถใช้ออกมาได้อย่างเต็มร้อย หรืออาจจะสองร้อยหรือสามร้อยเลยก็เป็ได้
ในส่วนของพลังป้องกัน นอกเสียจากว่าตนเองจะสามารถฝึกฝนการปลดปล่อยสนามพลังออกมาให้ได้ภายในระยะเวลาอันสั้นในตอนนี้ หาไม่แล้วละก็ไม่มีหนทางอื่นอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาศัยเพียงแค่สนามพลังจะต้านทานสัตว์ประหลาดจระเข้ได้สักกี่ตัวกันเชียว? แค่มองเห็นพวกมันที่ยืนสองขาเบียดเสียดยัดเยียดกันอยู่อย่างมืดฟ้ามัวดิน เย่ชิงหานก็รู้สึกขนลุกขึ้นมาทันที หากจะอาศัยแค่สนามพลังแต่พลังการโจมตีไม่รุนแรงคิดว่าอย่างไรก็คงเข้าไปไม่ถึงม่านพลังครอบโปร่งแสงนั้นอยู่ดี...
หลังจากใช้ความคิดอย่างหนักอยู่เนิ่นนาน รู้สึกว่านอกจากการฝึกฝนสนามพลังและเพิ่มพลังโจมตีให้รุนแรงขึ้นมาแล้วหนทางอื่นไม่มีให้เลือกเดินเลยสักทาง สนามพลังสามารถป้องกันการโจมตีที่โจมตีเข้ามาจากโดยรอบทั้งสี่ทิศได้ชั่วคราว ดังนั้นตอนนี้จึงต้องฝึกฝนเคล็ดวิชาที่มีพลังโจมตีที่ดุดันรุนแรงขึ้น สามารถโจมตีกวาดล้างศัตรูได้เป็กลุ่มเพื่อให้สนามพลังมีเวลาฟื้นตัวกลับมาทำการป้องกันต่อได้เรื่อยๆ ทั้งการป้องกันและการโจมตีต้องสอดประสานกันถึงจะสามารถทะลวงผ่านฝูงสัตว์ประหลาดจระเข้จำนวนมหาศาลเหล่านี้ไปได้ เพื่อเดินไปให้ถึงม่านพลังครอบโปร่งแสง
.................................
หลักการปลดปล่อยสนามพลังเขารู้ดี
สนามพลังความจริงแล้วคือโล่พลังปราณรบที่พัฒนาขึ้นมาอีกระดับขั้นหนึ่ง โล่พลังปราณรบสามารถป้องกันการโจมตีที่รุนแรงได้ ส่วนสนามพลังเป็การพัฒนาการปลดปล่อยพลังปราณรบออกมาอีกรูปแบบหนึ่งโดยสร้างเป็เกราะป้องกันที่มีขนาดใหญ่กว่าโล่พลังปราณรบโอบล้อมทั่วทั้งร่างของตนเองเอาไว้ มีทั้งขนาดและพลังป้องกันแข็งแกร่งกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งสนามพลังสามารถหักเหเปลี่ยนทิศทางการโจมตีของศัตรูที่โจมตีเข้ามาภายในอาณาเขตสนามพลังได้อีกด้วย
หลักการพูดออกมาดูง่ายดายแต่เมื่อเริ่มทำจริงนั้นยุ่งยากซับซ้อนเป็อย่างมาก อีกทั้งสนามพลังที่เพิ่งเริ่มก่อรูปขึ้นนั้นไม่ค่อยมีความมั่นคงแข็งแรงแตกสลายได้ง่ายไม่เหมือนกับการสร้างโล่พลังปราณรบ ดังนั้นการจะทำให้สำเร็จได้ต้องอาศัยการฝึกฝนบ่อยๆ อย่างต่อเนื่องจนชำนาญ
ส่วนเคล็ดวิชาต่อสู้ประเภทโจมตีเย่ชิงหานคิดไปคิดมา พูดแล้วก็เป็เื่ที่น่าเศร้านอกจากเคล็ดวิชาเจ็ดกระบวนท่าเย่หวงแล้ววิชาอื่นๆ ล้วนไม่เคยฝึกฝนเรียนรู้มาเลย ดังนั้นจึงต้องจำใจทำการฝึกฝนเคล็ดวิชาเจ็ดกระบวนท่าเย่หวงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้...
เคล็ดวิชาเจ็ดกระบวนท่าเย่หวงเป็สุดยอดเคล็ดวิชาที่มีชื่อเสียงโด่งดังของปฐมาจารย์บรรพบุรุษเย่หวงผู้ก่อตั้งตระกูลเย่ เล่าสืบต่อกันมาว่าฝึกฝนจนถึงระดับสูงสุดสามารถผ่าูเาแยกปฐีได้ เพียงแต่ไม่รู้ว่าเป็เพราะสติปัญญาของลูกหลานตระกูลเย่รุ่นหลังเริ่มตกต่ำลงหรือเป็เพราะเคล็ดวิชาเจ็ดกระบวนท่าเย่หวงที่มีอยู่ในตอนนี้เป็ของทำเลียนแบบขึ้นมา
เพราะนับั้แ่เย่หวงเป็ต้นมาก็ยังไม่มีใครฝึกฝนสำเร็จได้แม้เพียงสักคนเดียว ในเมื่อวิชานี้เป็สิ่งที่ปฐมาจารย์บรรพบุรุษผู้ก่อตั้งตระกูลคิดค้นขึ้นมาดังนั้นจึงต้องสืบทอดต่อมาเรื่อยๆ ครั้นแล้วลูกหลานของตระกูลเย่ไม่ว่าจะมีตำแหน่งฐานะอะไรเคล็ดวิชาต่อสู้แรกที่ต้องทำการฝึกฝนคือเจ็ดกระบวนท่าเย่หวง ซึ่งแม้กระทั่งคนทำความสะอาดของตระกูลยังใช้ได้หนึ่งถึงสองกระบวนท่า
ตอนที่เย่ชิงหานอยู่บนถนนหนิวในเมืองชางเห็นเสว่อู๋เหินคุกคามน้องสาวของตนเอง เขาเปลี่ยนฝ่ามือเป็มีดฟันลงไปใส่เสว่อู๋เหินกระบวนท่านั้นก็คือท่าตัดแยกปฐีหนึ่งในเจ็ดกระบวนท่าเย่หวง ดังนั้นพวกเย่ซานหู่ที่ออกตรวจตราอยู่โดยรอบใกล้เคียงถึงได้รู้ว่าเด็กหนุ่มที่ถูกเสว่อู๋เหินซัดกระเด็นลอยปลิวออกไปนั้นคือลูกหลานของตระกูลเย่...
“ท่าตัดแยกท้องนภา ท่าตัดแยกปฐี ท่าตัดแยกัคะนอง...”
วันต่อๆ มาเย่ชิงหานทั้งทำการฝึกฝนเคล็ดวิชาเจ็ดกระบวนท่าเย่หวงทั้งฝึกฝนการปลดปล่อยสนามพลัง คาดหวังให้ฝึกฝนสำเร็จในเร็ววันเพื่อที่จะทะลวงผ่านฝูงสัตว์ประหลาดไปยังปากทางเชื่อมโดยเร็วที่สุด หากยิ่งชักช้ากลัวว่าจะต้องหมดแรงอ่อนล้าและอดตายอยู่ภายในทะเลทรายที่เต็มไปด้วยทรายสีเหลืองที่ลอยปลิวว่อนอยู่เต็มท้องฟ้าแห่งนี้...
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้