อันเจิงตื่นขึ้นมาอยู่บนรถม้าที่กำลังวิ่งอยู่ หลังจากที่เขาลืมตาก็รู้สึกได้ถึงความเ็ปราวกับโดนคลื่นซัดกระหน่ำไปทั่วร่าง โอ๊ย! เขาร้องออกมาอย่างไม่ได้ตั้งใจทุกส่วนในร่างกาย ไม่มีส่วนไหนที่จะไม่เจ็บเลย ความรู้สึกนี้ราวกับถูกเหล็กแข็งฟาดไปทั้งร่างจนกระดูกแตกละเอียด
“ตื่นสักทีนะ”
ในความสะลึมสะลือ อันเจิงได้ยินเสียงตู้โซ่วโซ่วพูดขึ้น
ดวงตาของอันเจิงในตอนนี้ยังคงพร่ามัวตาของเขาบวมเป่งจนแทบจะมองอะไรไม่เห็น จากนั้นก็ได้ยินเสียงของชวีหลิวซีดังขึ้น “อย่าเพิ่งลืมตาตอนนี้ตาเ้ายังบวมอยู่”
ผู้เฒ่าฮั่วที่นั่งอยู่ข้าง ๆ หัวเราะขึ้น“ข้าบอกแล้ว เ้าเด็กนี่มีโชคชะตาที่แปลกมาก ไร้เหตุผลสิ้นดี ข้าไม่อาจอธิบายด้วยหลักการอะไรได้เลย”
ชวีหลิวซีพูด “ก่อนที่ข้าจะรักษาอันเจิงในร่างกายเขาก็มียาวิเศษกำลังรักษาาแนั้นอยู่แล้ว ข้าเพียงแค่เสริมสมุนไพรบางตัวเข้าไปเท่านั้นเองนี่ไม่ใช่โชคช่วยอย่างแน่นอนแต่เป็เพราะร่างกายเขามียาวิเศษอยู่ในนั้นแล้วต่างหากแต่ก็เป็เื่ที่น่าแปลกมาก เพราะยานั่นมันมีการทำงานที่ละเอียดอ่อนและยังเปลี่ยนแปลงสรรพคุณในการรักษาไปตามสภาพาแของอันเจิงอีกด้วย”
ผู้เฒ่าฮั่วหัวเราะพลางส่ายหัว “โชคช่วยจริงๆ...เ้าไม่เข้าใจ”
ชวีหลิวซีก็ยิ้มเช่นกันเป็เวลาสามวันสามคืนที่นางมีสีหน้าตึงเครียดตลอดเวลา พอนางยิ้มก็ราวกับดอกไม้ที่ผลิบานสะพรั่งเลยทีเดียว
“ข้าไม่เข้าใจ ๆ พอใจหรือไม่ ผู้าุโไปนอนพักสักหน่อยเถอะท่านไม่ได้พักผ่อนมาหลายวันแล้ว”
“เ้านั่นแหละไปนอนเถอะ สามวันสองคืนแล้วยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย”
ชวีหลิวซียกมือขึ้นเก็บผมที่หล่นมาบังหน้าแล้วพูดขึ้นเบาๆ “ไม่เป็ไร ผ้าพันแผลนี้ใช้มาสามวัน ฤทธิ์ยาก็คงจะหมดแล้วอีกประเดี๋ยวข้าจะเปลี่ยนยาให้อันเจิงก่อน”
อันเจิงได้ยินคำพูดพวกนี้ก็ถึงกับน้ำตาจะไหล
เขาอ้าปากคล้าย้าจะพูดบางอย่างแต่กลับไม่มีเสียงใด ๆ ออกมาเลยสักคำ
“อย่าเพิ่งพูด”
ตู้โซ่วโซ่วพูดขึ้น “หลิวซีบอกว่าตอนนี้ร่างกายเ้าได้รับผลกระทบทุกส่วนถึงแม้เ้าจะรับการโจมตีของเจินจวงปี้ได้ แต่พลังมหาศาลได้พุ่งเข้าตัวเ้าอย่างจังร่างกายจึงรับแรงโจมตีนี้ไม่ไหว กระดูกหักไปหลายสิบที่ อวัยวะภายในก็ได้รับความเสียหายไม่น้อยตอนนี้หน้าเ้าใหญ่กว่าหน้าข้าเสียอีก ตาทั้งสองก็บวมเหมือนซาลาเปาไม่มีผิด”
อันเจิงเปิดปากเล็กน้อยดูท่าทางเหมือนกำลังหัวเราะอยู่
“เ้านี่มันบ้าจริง ๆ”
ตู้โซ่วโซ่วก่นด่า “ผู้เฒ่าฮั่วบอกว่าเ้าอาจเป็คนที่มาจากยุคก่อนก็ได้ไม่เคยมีใครที่มีพลังวัตรในขอบเขตจุติ์แล้วท้าประลองกับผู้ที่มีพลังวัตรในขอบเขตสุมารุมาก่อนเขาบอกว่าเ้าโชคดี แต่ข้าก็ไม่เข้าใจว่าโชคดีเป็อย่างไรคิดว่าก็คงเหมือนที่โบราณว่าเหยียบขี้หมาแล้วได้โชคกระมัง? ผู้เฒ่าฮั่วก็นึกไม่ถึงว่าเ้าจะฆ่าเจินจวงปี้ได้แต่เป็แบบนี้ก็ดีแล้วล่ะ เมื่อก่อนเ้าเป็คนโชคร้าย มักถูกคนอื่นรังแกอยู่เรื่อยอยู่มาวันหนึ่งก็กลับตาลปัตรกลายเป็ดีซะทุกเื่...ฮ่า ๆ ๆ”
ตู้โซ่วโซ่วหัวเราะเสียงดัง “เ้าาเ็ขนาดนี้ที่ข้าหัวเราะก็คงดูไม่ดีนัก แต่ข้าอดใจไม่ไหวจริง ๆ…”
ชวีหลิวซีไล่ส่ง “กลับไปนอนในรถม้าของเ้าเลยไป”
ตู้โซ่วโซ่วส่ายหน้ารัว “ไม่ ๆ ๆ ข้าอยู่บนรถม้าคนเดียวน่าเบื่อจะตายเสี่ยวชีเต้าก็เพิ่งนอนหลับ หากข้าเข้าไปเขาต้องตื่นแน่ ข้ารับประกันจะไม่หัวเราะอีกพอใจหรือไม่...”
ผู้เฒ่าฮั่วเงียบไปชั่วขณะจากนั้นก็พูดขึ้น “อันเจิง ข้ามีบางเื่อยากปรึกษาเ้า ข้ารู้ว่าเ้าเสียใจที่ไม่ได้ช่วยเชียวจ่างเฉินแต่ในตอนนั้นเ้าช่วยเขาไม่ได้หรอก...หากเ้าลงมือมีแต่จะทำให้ตัวเองและเพื่อนเดือดร้อนเปล่าๆ เ้าคิดจะไปเมืองฟางกู้แห่งแคว้นเยี่ยนข้าไม่คัดค้าน แต่อยากเตือนเ้าเื่หนึ่ง...ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาหากเ้ายอมฟังคำของข้า พวกเราไปหาที่ที่ปลอดภัยและฝึกพลังวัตรก่อนจะดีกว่า”
“รออีกสามปี หลังเสี่ยวชีเต้าอายุครบแปดขวบด้วยวรยุทธ์ของเขาในตอนนั้นน่าจะเพียงพอต่อการรับมือกับอันตรายแล้ว ส่วนพวกเ้าก็จะมีพลังที่ก้าวหน้าขึ้นถึงตอนนั้นเราค่อยไปเมืองฟางกู้จะดีกว่ามีคนเคยบอกว่าโลกมายาเป็ที่ที่โหดร้ายที่สุด แต่นั่นก็เป็เพียงแค่ภาพลักษณ์ภายนอกเท่านั้นกลับกัน เมืองฟางกู้ซ่อนความโหดร้ายไว้ในมุมมืด พวกเ้าต่างก็ยังเด็ก ทั้งยังมีพลังวัตรไม่มากหากไม่ระวังก็จะตกลงไปในบ่อโคลนแล้วอาจออกมาไม่ได้อีกเลย”
อันเจิงพยักหน้าเล็กน้อยแต่ไม่สามารถพูดได้
หลังจากตื่นขึ้นมาในครั้งนี้เขามีท่าทีที่สงบลงไม่น้อย
อันที่จริงแล้วการที่เขาออกไปฆ่าเจินจวงปี้ ถึงแม้จะเป็เื่ที่จำเป็ต้องทำแต่ก็ไม่ใช่ทางเลือกที่ดีที่สุด อันเจิงรู้ว่าตัวเองมีสมบัติวิเศษอยู่หลายชิ้นแต่ก็มีเพียงกระดิ่งแก้วเท่านั้นที่สามารถแสดงอิทธิฤทธิ์ได้หากเขาตั้งสติให้มากกว่านี้แล้วทำเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น พอฟ้ามืดก็แอบพาคนอื่นๆ หนีออกจากโลกมายาไป เพราะอย่างไรเสียเจินจวงปี้คงต้องฆ่าเขาอย่างแน่นอนแต่อันเจิงกลับฆ่าเจินจวงปี้เสียก่อน
หรือต่อให้พวกเขาแค่หนีไปซ่อนอยู่ในตราประทับท้าทาย์สัก่หนึ่งหากเจินจวงปี้หาตัวพวกเขาไม่เจอ ก็คงปล่อยวางเื่นี้ไปได้เอง
จนถึงตอนนี้ความใจร้อนของอันเจิงก็ยังคงเปลี่ยนไม่ได้หรือมันอาจเป็สิ่งที่ฝังลึกในนิสัยของเขาไปแล้ว โดยเฉพาะหากทำเพื่อเพื่อนเขาจะยิ่งใจร้อนมากกว่าปกติเช่นเมื่อครั้งที่เขาได้ยินมาว่า องค์ชายแห่งราชวงศ์ต้าซีอยู่บนเทือกเขาชางหมานและกำลังได้รับอันตรายเขาไม่มีความลังเลเลยแม้แต่น้อย และเพราะเวลาคับขันจึงไม่ได้พาใครไปด้วย เลือกลุยเดี่ยวเข้าไปอย่างเร่งรีบ
หากไม่ใช่เพราะนิสัยเช่นนี้เขาคงไม่ต้องเผชิญอันตรายบนเทือกเขาชางหมานอย่างโดดเดี่ยว เพื่อน ๆต่างรู้จักนิสัยของอันเจิงเป็อย่างดี แม้กระทั่งศัตรูก็เช่นกันจนบางครั้งไม่อาจแยกแยะระหว่างเพื่อนกับศัตรูได้เลย
หลังจากอันเจิงได้ยินผู้เฒ่าฮั่วพูดแล้วเขาก็บอกกับตัวเองว่าอย่าใจร้อนจนวู่วามอีก ใช่แล้ว ก่อนเจินจวงปี้จะตายเขามีความรู้สึกเสียใจอยู่ไม่น้อย และวิธีเดียวที่จะไม่ต้องรับความรู้สึกเสียใจแบบนั้นอีกก็คือต้องแข็งแกร่งขึ้นมาให้ได้
รถม้าทั้งสี่คันแล่นไปตามทางที่คดเคี้ยวตอนนี้ออกมาไกลจนมองไม่เห็นเทือกเขาชางหมานแล้ว
เข้าสู่วันที่สิบอันเจิงเริ่มลุกขึ้นมาออกกำลังกายเองได้แล้ว สำหรับชวีหลิวซี มันเป็เื่ที่น่าทึ่งมากอาการสาหัสขนาดนี้ ปกติต้องใช้เวลาฟื้นฟูร่างกายอย่างน้อยสามเดือนขึ้นไปจึงจะดีขึ้น
อันเจิงไม่กังวลว่าคนของหอสมุดมายาจะมาแก้แค้น แต่ที่เขากลัวคือในคืนที่ฆ่าเจินจวงปี้เขานำสมบัติวิเศษออกมามากเกินไป จึงกลัวว่าผู้คนในโลกมายาจะโลภมากแล้วคิดอยากแย่งชิงของพวกนั้นผู้เฒ่าฮั่วเลือกเดินทางใน่ค่ำซึ่งเป็เื่ที่ถูกต้องที่สุด แต่ทว่าคนที่สามารถพาทุกคนหนีการไล่ล่ามาได้อย่างปลอดภัยไม่ใช่ผู้เฒ่าฮั่วแต่เป็กู่เชียนเยว่ต่างหาก
กู่เชียนเยว่เด็กสาวที่เป็หัวหน้าเผ่ากู่เลี่ยก็จากเทือกเขาชางหมานมาด้วยเช่นกันออกมาจากชนเผ่าที่นางเติบโตอย่างถาวร ไม่มีใครรู้ว่าทำไมนางถึงตัดสินใจแบบนี้หรืออาจเป็เพราะมีส่วนเกี่ยวข้องกับอันเจิง และอาจเป็ไปได้ว่านางมีจุดประสงค์อื่นๆ ซ่อนอยู่
ผู้เฒ่าฮั่วมีประสบการณ์มากมายแต่ก็ไม่ได้ชำนาญพื้นที่ในเขตเจียงหูมากนักทว่ากู่เชียนเยว่กลับช่ำชองการใช้ชีวิตในป่า นางพาทุกคนเข้าป่าและหนีผู้ที่ตามล่าด้วยการซ่อนอยู่ใต้น้ำจากนั้นก็ไปหลบอยู่ในถ้ำครึ่งค่อนวัน หลังจากนั้น นางจึงส่งคนกลับชนเผ่ากู่เลี่ยเพื่อไปนำรถม้าและจากโลกมายามาในที่สุดแคว้นเยี่ยนอยู่ทิศเหนือ แต่พวกเขากลับเดินทางไปทิศใต้ที่เป็อาณาเขตของแคว้นจ้าว
แคว้นเยี่ยนกับแคว้นจ้าว ทั้งสองแคว้นมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันในเยี่ยนโยวสิบหกแคว้น มีเพียงสองแคว้นนี้ที่ไม่เคยสู้รบกันเลยแม้แต่ครั้งเดียวและฮองเฮาแห่งแคว้นเยี่ยนก็เป็องค์หญิงมาจากแคว้นจ้าวอีกด้วย
พวกเขาเดินทางมาอีกหนึ่งวันเต็ม ๆ และเจอกับอ่าวที่ใหญ่มากๆ คนในพื้นที่เรียกอ่าวนี้ว่าอ่าวเชี่ยวซ่วย มันมีขนาดกว้างใหญ่หลายร้อยกิโลเมตร ริมอ่าวเชี่ยวซ่วยมีชาวประมงตั้งถิ่นฐานอยู่บ้างดูเหมือนผู้คนที่นี่จะมีชีวิตที่เรียบง่าย ไกลออกไปมีเทือกเขาเล็ก ๆ ตั้งอยู่เป็เทือกเขาที่ไม่ได้สูงตระหง่านและมีกลิ่นอายของความสงบสุข
รถม้าทั้งสี่คันจอดพักที่นี่ ขณะนั้นที่ปลายขอบฟ้าพระอาทิตย์กำลังจะตกดิน เป็บรรยากาศที่ชวนหลงใหล น้ำนิ่งใสดั่งกระจก เมื่อมองจากที่ไกลๆ จึงเป็ภาพพระอาทิตย์ตกดินที่งดงามที่สุด ความน่าหลงใหลของมันทำให้ทุกคนที่ผ่านมาที่นี่ไม่อยากจากไปอีกเลย
ตู้โซ่วโซ่วประคองอันเจิงลงมาจากรถม้าจากนั้นก็ไปนั่งบนพื้นหญ้าริมอ่าว
“เสี่ยวช่านยังไม่ตื่นรึ?” อันเจิงถาม
‘อืม’ ตู้โซ่วโซ่วเปล่งเสียงออกมา “นับั้แ่ที่เ้าฆ่าเจินจวงปี้เสี่ยวช่านก็สลบไป จนถึงตอนนี้ก็เป็เวลาครึ่งเดือนแล้ว มันยังไม่มีทีท่าจะตื่นขึ้นมาเลยหลิวซีเคยดูอาการมันแล้ว นางบอกว่าเสี่ยวช่านไม่ได้เป็อะไรมากอาจเป็เพราะใช้พลังมหาศาลอย่างฉับพลันจึงต้องใช้เวลาในการฟื้นฟูนานหน่อยแต่ถึงอย่างนั้น เสี่ยวช่านก็พักฟื้นนานเกินไปแล้วหรือไม่ น่าแปลกสิ้นดี...เ้าเป็คนฆ่าเจินจวงปี้แล้วเสี่ยวช่านจะใช้พลังมหาศาลได้อย่างไร หรือเพราะให้กำลังใจเ้าจนเหนื่อยเช่นนั้นหรือ?”
อันเจิงไม่รู้จะอธิบายอย่างไรกับเื่นี้แต่เขารู้ดี หากไม่มีการโจมตีของเสี่ยวช่านในวันนั้นตัวเขาคงตายด้วยน้ำมือเจินจวงปี้ไปแล้ว
ที่จริงแล้วไม่ใช่แค่เพียงเสี่ยวช่านเท่านั้นอันเจิงยังสังเกตได้ว่าสร้อยลูกประคำโลหิตของเขาก็เหมือนหลับใหลไปด้วย
อาจเป็เพราะมันได้รับาเ็สาหัสสร้อยลูกประคำโลหิตไม่สามารถดูดเืในตัวอันเจิงไปได้ มิหนำซ้ำยังคอยใช้สมุนไพรเติมพลังให้อันเจิงอีกฉะนั้นจึงเป็ไปได้ว่ามันอาจจะพักฟื้นอยู่เหมือนกัน และโดยเฉพาะลูกประคำเม็ดที่สี่ตัวอักษรบนลูกประคำช่างดูเลือนราง เลือนรางจนแทบจะสลายหายไป
แม้กระทั่งผ้าฟู่หมัวที่อยู่ข้างเสี่ยวช่านจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีการเคลื่อนไหวเลยแม้แต่น้อย
ก่อนอันเจิงจะสลบไสลเขาหันไปเห็นผ้าฟู่หมัวเปิดกางแล้วฆ่าคนบริเวณนั้นหากไม่ใช่เพราะผ้าผืนนี้ช่วยเขาไว้ ศิษย์ในหอสมุดมายาคงจะจัดการอันเจิงและขโมยสมบัติวิเศษไปทั้งหมดแล้วก็ได้
“ราวกับเป็ความฝัน”
ตู้โซ่วโซ่วทิ้งตัวไปด้านหลังเขานอนบนพื้นหญ้าและจ้องดูพระอาทิตย์ตกดิน “ข้าเคยคิดจะออกจากโลกมายาและเทือกเขาชางหมานนับครั้งไม่ถ้วนไม่คิดเลยว่าจะได้จากมาเร็วขนาดนี้ เมื่อคิดถึงชีวิตที่นั่นก็ยังรู้สึกเสียดายอยู่ไม่น้อยแต่ข้าก็รู้ดี หากยังไม่มีอำนาจมากพอที่จะเปลี่ยนแปลงโลกมายาได้ข้าจะไม่มีวันกลับไปเด็ดขาด”
“ที่นั่นเป็เมืองที่เต็มไปด้วยความโหดร้ายถ้าข้ามีอำนาจมากพอ ข้าจะต้องกลับไปที่นั่นอีกครั้ง แล้วเปลี่ยนรูปแบบของโลกมายาใหม่ทั้งหมด”
เขาหันหน้าไปมองอันเจิง “จะว่าไปแล้วที่นั่นมีป่าเขาเขียวขจีและมีน้ำที่ใสสะอาด หากผู้คนมีความเมตตาและคุณธรรมละก็คงเป็เมืองที่น่าอยู่ไม่น้อย”
“เช่นนั้นก็รอให้เ้าประสบความสำเร็จแล้วกลับไปเป็เ้าเมืองสิ”
ตู้โซ่วโซ่วพยักหน้า “ได้ ข้าสัญญา”
อันเจิงมองไปที่ริมอ่าวกู่เชียนเยว่ยืนกอดอกมองดูความงดงามเบื้องหน้า ร่างนางราวกับหนาวสั่นเล็กน้อยทันใดนั้น ชวีหลิวซีก็นำเสื้อเดินออกไปคลุมให้นาง หญิงสาวที่มีจิตใจเมตตาปรานีอย่างชวีหลิวซีเมื่อได้ใช้ชีวิตร่วมกับกู่เชียนเยว่นานเข้า ทั้งสองก็ไม่มีเื่บาดหมางกันอีกหรือคงเป็เพราะชวีหลิวซีมีพระซ่อนอยู่ในใจ ที่ไม่ว่าจะผ่านไปนานเท่าไหร่ก็ไม่สามารถเปลี่ยนใจที่ใสสะอาดของนางได้
กู่เชียนเยว่หันไปส่งยิ้มให้ชวีหลิวซีจากนั้นก็เอื้อมไปจับมือของนางไว้ ทั้งสองยืนชมความงดงามอยู่ริมน้ำ แต่ในสายตาพวกเขานางสองคนกลับดูงดงามยิ่งกว่าพระอาทิตย์ตกดินเสียอีก
“หัวหน้าเผ่านั่นตามเรามาทำไมกัน” ตู้โซ่วโซ่วถามด้วยความสงสัย
อันเจิงส่ายหน้า “คงเป็เพราะเกล็ดมัจฉานั่นกระมัง”
ตู้โซ่วโซ่วพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “แต่นางมองเ้าด้วยสายตาแปลกๆ ข้าไม่รู้จะพูดอย่างไรดี...”
“ไสหัวไป...” อันเจิงไล่ส่ง
“จริงด้วย”
ตู้โซ่วโซ่วถามขึ้นทันที “ตอนนี้จงจิ่วเกอไปอยู่ที่ไหนเสียแล้วเ้าให้เขาไปหาของกลับมาจนถึงตอนนี้ก็นานมากแล้ว หากเขากลับโลกมายาแล้วไม่เจอพวกเราเล่าเขาอาจถูกคนอื่นเล่นงานก็ได้”
อันเจิงส่ายหน้า “ไม่ถูกจับง่าย ๆ หรอกเขาเข้าใจวิถีชีวิตในเจียงหูดีที่สุด คนในสำนักเชียนเหมินถึงแม้จะไม่มีวิชาที่เก่งกาจแต่พวกเขามีไหวพริบที่เป็เลิศ”
“เ้าให้เขาไปที่ไหนกัน?” ตู้โซ่วโซ่วถาม
“จักรวรรดิต้าซี”
ตู้โซ่วโซ่วถามอีกครั้ง “เขาไปช่วยเ้าหาอะไรหรือ?”
อันเจิงเงียบไปครู่หนึ่งจากนั้นก็ตอบกลับ “หาความหวัง”
ตู้โซ่วโซ่วฟังไม่เข้าใจและคงไม่มีทางเข้าใจ
“แล้วตอนนี้เราจะไปไหนกัน?”ตู้โซ่วโซ่วถามคำถามสุดท้าย
“เมืองตูชวีแห่งแคว้นเยี่ยน ที่นั่นไม่ใหญ่มากและมีประชากรน้อยแต่ถึงกระนั้น ที่นั่นก็มีทหารชายแดนที่ดีและแข็งแกร่งเฝ้าอยู่ ต่อให้คนในโลกมายาจะโหดร้ายแค่ไหนก็ตามพวกเขาก็ยังไม่กล้าเข้ามาวุ่นวายที่เมืองนั้น พวกเราไปอยู่เมืองตูชวีสักสามปีจากนั้นค่อยไปตามหามารดาของเสี่ยวชีเต้ากัน”
หลังจากที่อันเจิงพูดจบก็พึมพำกับตัวเอง “ไม่รู้ว่าตอนนี้แม่นางเยว่จะเป็อย่างไรบ้าง”
ตู้โซ่วโซ่วออกความเห็น “คงสบายดีแหละเท่าที่ดูมู่ฉางเยียนเป็คนดีแล้วเขาก็รักแม่นางเยว่ด้วยฉะนั้นคงไม่ทำให้นางลำบากหรอก”
ขณะเดียวกัน ห่างออกไปหลายพันกิโลเมตร ที่เมืองฟางกู้แห่งแคว้นเยี่ยนแม่นางเยว่ถูกคนอื่นใส่ร้าย ตอนนี้นางถูกล่ามโซ่และขังอยู่ในคุกใต้ดิน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้