ผู้คนที่อยู่ด้านในห้องโถงต่างก็พากันมองมาทางอวี้ฉู่จาว หลินหร่านและซูชิงเฟิงที่กำลังเดินเข้ามา แต่ละคนมีหน้าที่แตกต่างกันออกไป
ฮ่องเต้ฉงเต๋ออยู่ในท่าทีสงบ ทว่าพระสนมลี่มีท่าทีร้อนใจและจ้องมองมายังพวกเขาทั้งสาม ส่วนคนอื่นๆ ต่างก็มองมาด้วยความเคารพ
สำหรับสถานะของอวี้ฉู่จาวกับหลินหร่านนั้น คงไม่ต้องบอกว่าพวกเขาทั้งคู่ช่างสูงส่งเพียงใด
ถึงอย่างนั้น ซูชิงเฟิงในสายตาของคนอื่น เขานั้นช่างเต็มไปด้วยความลึกลับ ไม่ว่าใครต่างก็รู้ว่าซูชิงเฟิงเป็คนใต้บังคับบัญชาของาาแห่งา
นอกจากคำสั่งของอวี้ฉู่จาวแล้ว เขาก็ไม่ฟังใครหน้าไหนทั้งนั้น
ซูชิงเฟิงเป็ศิษย์ของสำนักหมอเทวดาเป่ยเทียน ซึ่งถือเป็สำนักหมอพเนจรที่มีชื่อเสียงในต้าอวี้ และยังเป็สำนักที่มีความลึกลับเป็อย่างมาก
หลังจากที่ซูชิงเฟิงก้าวออกมาจากสำนักก็ได้พเนจรไปทั่วแผ่นดินพร้อมช่วยเหลือชีวิตผู้คน เขาจึงนับว่าเป็ผู้มีตัวตนราวกับพระผู้เป็เ้าผู้เมตตา ลึกลับและยิ่งใหญ่
นอกจากนี้ อาจเป็เพราะฮ่องเต้ฉงเต๋อให้ความเคารพต่อเขาและไม่เคยใช้ความเป็ราชวงศ์ไปกดดันด้วยก็เป็ได้ พระองค์ทำได้แต่ขอร้องให้อวี้ฉู่จาวเป็ผู้เอ่ยปาก
ด้วยสถานะของพระบิดากับพระราชโอรสที่มี อวี้ฉู่จาวย่อมไม่คิดที่จะปฏิเสธ และแน่นอนว่ามีหลายต่อหลายครั้งที่ซูชิงเฟิงไม่เต็มใจ ซึ่งเขาก็ไม่เคยบีบบังคับ
“ถวายบังคมเสด็จพ่อ” อวี้ฉู่จาวกับหลินหร่านถวายความเคารพ
“ถวายบังคมฝ่าา” ซูชิงเฟิงรวบพัดก่อนถวายความเคารพ
“ลุกขึ้นเถิด”
ฮ่องเต้ฉงเต๋อเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้ม
แม้พระราชโอรสของตนจะประชวร แต่ฮ่องเต้ฉงเต๋อกลับยังคงแสดงสีหน้าเรียบเฉย และเมื่อมองไปยังพระสนมลี่อีกครั้ง พระสนมก็ได้แสดงท่าทีที่แตกต่างไปจากก่อนหน้านี้
สีหน้าของพระสนมลี่ในยามนี้ ดูซีดเซียวเสียยิ่งกว่าตอนที่ตระกูลฉินเกิดเื่เสียอีก
“เหตุใดจาวเอ๋อร์กับพระชายาถึงได้มาด้วยละ?” ฮ่องเต้ฉงเต๋อตรัสถาม
อวี้ฉู่จาวตอบด้วยน้ำเสียงเรียบ “พระชายา้าที่จะมาตรวจดูอาการขององค์ชายห้ากับหมอซู แต่ลูกไม่วางใจ จึงได้ตามมาด้วยพ่ะย่ะค่ะ” อวี้ฉู่จาวกล่าวไปตามความจริง
เขาไม่ได้สนใจว่าผู้อื่นจะรับรู้ถึงความรักที่เขามีให้กับหลินหร่านหรือไม่ แล้วเขาก็ไม่ได้เป็ห่วงอวี้ฉู่หลิงแม้แต่น้อย
“อ้อ” ฮ่องเต้ฉงเต๋อพยักหน้ารับ “เป็เช่นนี้เองหรือ ข้าเกือบลืมไปแล้วเชียวว่าพระชายากำลังศึกษาด้านการแพทย์กับหมอซู อีกครู่หนึ่งพระชายาต้องระวังให้มากนะ เพราะหากเกิดอะไรขึ้น จาวเอ๋อร์คงโกรธข้าผู้เป็เสด็จพ่อเป็แน่” ฮ่องเต้ฉงเต๋อเอ่ยอย่างมีอารมณ์ขัน
หลินหร่านพยักหน้า ตอบรับความห่วงใยของฝ่าา
“เช่นนั้นคงต้องลำบากท่านหมอซูกับพระชายาแล้ว ส่วนจาวเอ๋อร์ นั่งรออยู่กับข้าที่นี่เถิด”
หลังจากนั้น พ่อบ้านผู้ดูแลตำหนักจึงได้เดินนำซูชิงเฟิงกับหลินหร่านเข้าไปยังส่วนหลังของตำหนักองค์ชาย เหล่าหมอหลวงต่างก็พากันเดินตามเข้าไปเช่นกัน
ก่อนจะเดินออกไป หลินหร่านได้หันไปสบตากับอวี้ฉู่จาวครู่หนึ่ง
แววตาของท่านอ๋องเปี่ยมไปด้วยความอ่อนโยน สิ่งนี้ทำให้หลินหร่านรู้สึกอุ่นใจยิ่งนัก
ภายหลังที่หลินหร่านเดินออกไป อวี้ฉู่จาวถึงได้ทิ้งตัวลงนั่งรออยู่กับฮ่องเต้ฉงเต๋อ
“่นี้จาวเอ๋อร์เป็เช่นไรบ้าง?” ฮ่องเต้ฉงเต๋อตรัสถามด้วยความห่วงใย
“ลูกสบายดี เสด็จพ่อโปรดวางพระทัย” อวี้ฉู่จาวเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“พระชายาตั้งครรภ์แล้วหรือไม่?”
“ยังพ่ะย่ะค่ะ”
“ข้ารอคอยที่จะได้เห็นลูกของเ้ากับพระชายาเป็อย่างมาก สายเืของเผ่าจือเม่ยนับเป็เื่ดี หากมีโอกาส ข้าหวังว่าเ้าจะพาพระชายาไปที่เผ่าจือเม่ย…”
ในขณะที่ฮ่องเต้ฉงเต๋อกล่าวคำพูดเ่าั้ออกมา พระองค์ก็คอยสังเกตสีหน้าและปฏิกิริยาของอวี้ฉู่จาวอยู่ตลอด ทว่าบุตรชายกลับยังคงมีสีหน้าเฉยเมยอยู่
สงสัยว่าฮ่องเต้ฉงเต๋อคงจะลืมไปเสียแล้วกระมัง ่เวลาก่อนที่พระองค์จะทราบว่าหลินหร่านมาจากเผ่าจือเม่ยและมีหลอดเืดำคู่ พระองค์ไม่ได้้าจะให้อวี้ฉู่จาวมีทายาทสืบสกุลด้วยซ้ำ
แต่เวลานี้ เมื่อรู้ถึงสถานะของหลินหร่าน หากลองมาเทียบกันแล้ว เกรงว่าตอนนี้พระองค์จะทรงใส่พระทัยกับเผ่าจือเม่ยมากกว่าอวี้ฉู่จาวเสียอีก
อวี้ฉู่จาวครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนกล่าว “ไม่ได้รีบร้อนพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ฉงเต๋อไม่รู้ว่าสิ่งที่อวี้ฉู่จาวเอ่ยนั้น หมายถึงเื่การตั้งครรภ์ของหลินหร่านหรือเื่ที่จะเดินทางไปยังเผ่าจือเม่ยกันแน่
พระองค์ก็ไม่อยากจะแสดงความคิดของตนออกไปให้ชัดเจนมากนัก อย่างไรเสีย เื่ของเผ่าจือเม่ยก็ต้องให้อวี้ฉู่จาวเป็ผู้จัดการ พระองค์ร้อนใจไปก็ไม่ได้ช่วยอะไร
………
อีกด้านหนึ่ง หลินหร่านไม่รู้เลยว่าตอนนี้ กลับมีคนที่ร้อนใจเื่บุตรของเขามากกว่าอวี้ฉู่จาวเสียอีก
เวลานี้ ซูชิงเฟิงได้เตรียมตัวเป็อย่างดีเพื่อเตรียมเข้าไปยังห้องบรรทมของอวี้ฉู่หลิง ทั้งคู่เตรียมการป้องกันกันอย่างจริงจัง
ฝ่ามือทั้งสองข้างสวมถุงมือ ใบหน้าปกปิดด้วยผ้าปิดหน้า ส่วนร่างกายสวมชุดคลุมสีขาวที่ถูกนำไปแช่ในยาฆ่าเชื้อที่ถูกเคลือบเอาไว้ทั้งชุด
สำหรับเหล่าหมอหลวงที่เดินตามมานั้น ซูชิงเฟิงมิได้ให้พวกเขาเ่าั้ตามเข้าไปด้วย และยังให้พวกเขารออยู่ด้านนอก
ในห้องของอวี้ฉู่หลิงถูกจัดการป้องกันเอาไว้อย่างแ่า เพราะเกรงว่าโรคนี้จะระบาดออกไปติดผู้คนภายนอก
ซูชิงเฟิงยื่นมือเข้าไประหว่างช่องว่างของผ้าม่านเตียง ก่อนจะวางนิ้วทั้งสองลงบนข้อมือขององค์ชายช้าๆ เพื่อทำการจับชีพจร หลินหร่านช่วยถือของให้กับซูชิงเฟิงและยืนรออยู่ข้างกาย
เขามองเห็นเพียงคิ้วเรียวสวยของซูชิงเฟิงขมวดเข้าหากันเล็กน้อย หลังจากนั้น ท่านอาจารย์ก็แหวกม่านออกก่อนจะเริ่มทำการตรวจร่างกายของอวี้ฉู่หลิง
ตอนที่ผ้าห่มถูกดึงออกมา หลินหร่านที่เห็นพลันใทันที แม้ว่าจะเตรียมใจไว้บ้างแล้ว แต่เมื่อมาเห็นเองกับตาเช่นนี้ก็ยังรู้สึกว่าน่ากลัวอยู่ไม่น้อย
หลินหร่านได้แต่พยายามอดกลั้นไม่ให้ตนเองะโและอาเจียนออกมาเสียก่อน
คิ้วของซูชิงเฟิงขมวดเข้าหากันแน่นขึ้น ร่างของอวี้ฉู่หลิงที่ไม่ได้สวมอาภรณ์เต็มไปด้วยาแเน่าเปื่อย
าแเหล่านี้ไม่เหมือนกับแผลพุพองหลังติดโรคระบาดที่เขาเคยพบเห็น บางแผลตอนนี้ใหญ่มาก ลักษณะราวกับถูกบางอย่างเจาะเข้าไปในิัและกำลังเน่าเปื่อย เหมือนตอนนี้กำลังจะมีหนอนโผล่ออกมาเลยเชียว
“ท่าน…ท่านอาจารย์ าแบนร่างกายของเขาหนักมากเลยนะขอรับ คล้ายกับอาการที่บันทึกเอาไว้ในตำราเสียจริง” หลินหร่านพยายามดึงความสนใจของตนเองมาที่ซูชิงเฟิง
ซูชิงเฟิงพยักหน้ารับพร้อมกล่าว “มีความคล้ายคลึงสามในสี่ส่วน อาการไม่เหมือนกับโรคระบาดในระยะเริ่มต้น ซึ่งหากเปรียบเทียบกับในตำรา ก็เป็อาการของผู้ติดโรคระดับกลางแล้ว สัญญาณชีพจรอ่อนแรงมาก จนเกือบไร้ซึ่งสติ แม้แต่ไข้ก็บรรเทาลง ร่างกายยังเริ่มเย็นลงแล้วด้วย”
หลินหร่านฟังคำพูดของซูชิงเฟิงแล้วก็พอจะทราบขึ้นมา ที่อาจารย์ของตนเอ่ยออกมา คงกำลังจะบอกว่า คนผู้นี้อาการหนักมากจนเกินจะรักษาและใกล้จะเสียชีวิตแล้วสินะ
ซูชิงเฟิงขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิม
หลินหร่านรีบเอ่ยถาม “ไม่ใช่ว่าเขาเพิ่งจะป่วยได้ไม่กี่วันหรือขอรับ เหตุใดอาการถึงได้รุนแรงเพียงนี้?”
“ข้าก็คิดอยู่เช่นกันว่าเหตุใดถึงได้รวดเร็วเช่นนี้ อาจเป็…” ซูชิงเฟิงครุ่นคิดอีกครู่หนึ่ง “เป็ไปได้ว่าโรคระบาดนี้อาจรุนแรงมากก็เป็ได้ พวกเรารีบออกไปกันเถอะ โอกาสในการติดเชื้อก็น่าจะสูงมากเช่นกัน เกรงว่าชุดที่สวมใส่เพื่อป้องกันของพวกเราอาจช่วยอะไรไม่ได้”
ซูชิงเฟิงลุกขึ้น ก่อนจะรีบพาหลินหร่านออกไปทันที
หลังจากออกมา ซูชิงเฟิงเร่งทำการพ่นยาเพื่อฆ่าเชื้อให้หลินหร่าน อีกทั้งยังสั่งให้ผู้คนจัดมาตรการป้องกันโรคระบาดในห้องบรรทมของอวี้ฉู่หลิงอีกครั้ง เพื่อให้ป้องกันได้ดีมากยิ่งขึ้น
หลังจากนั้น ทั้งคู่จึงเร่งรีบมายังส่วนหน้าของตำหนัก
เมื่อผู้คนที่อยู่ในโถงด้านหน้าของตำหนักเห็นทั้งสองคนเดินกลับออกมาก็ตื่นตัวกันขึ้นมาเล็กน้อย อวี้ฉู่จาวจดจ้องไปที่หลินหร่านเหมือนกัน
หลังจากหลินหร่านกับซูชิงเฟิงจัดการวางข้าวของที่ถือมาด้วยแล้ว อวี้ฉู่จาวก็ได้เรียกหลินหร่านให้มานั่งข้างกายตนเอง
หลินหร่านที่แสนจะเชื่อฟังก็เดินไปอยู่ข้างกายของท่านอ๋องโดยพลัน
จากนั้น ทั้งคู่ถึงเริ่มกระซิบพูดคุย
“เ้าไม่เป็อะไรใช่หรือไม่” อวี้ฉู่จาวเอ่ยถาม
“อื้อ ข้าไม่เป็อะไร ท่านอาจารย์รอบคอบและระมัดระวังมากพ่ะย่ะค่ะ” หลินหร่านตอบกลับ
ส่วนทางด้านของฮ่องเต้ฉงเต๋อ พระองค์กำลังให้ความสนใจไปที่ซูชิงเฟิง
“ท่านหมอซูมีความเห็นว่าอย่างไร”
ซูชิงเฟิงครุ่นคิดอย่างหนักก่อนตอบ “ยากเกินแก้พ่ะย่ะค่ะ”
ภายหลังได้ยินถ้อยคำของซูชิงเฟิง ทุกคนล้วนพากันเงียบกริบ
พระสนมลี่แทบจะเป็ลม เพราะนั่นคือพระโอรสของตนเองและเป็คนที่ตนห่วงใยเป็ที่สุด เป็ห่วงเป็ใยมากกว่าฮ่องเต้ฉงเต๋อเสียอีก นั่นเพราะว่า อย่างไรพระองค์ก็ยังเป็พระสวามีของใครอีกหลายคน ทว่านางมีอวี้ฉู่หลิงเป็โอรสเพียงองค์เดียว
หลังจากฟังคำพูดของซูชิงเฟิง ฮ่องเต้ฉงเต๋อกลับกลายเป็คนที่รู้สึกกดดันมากที่สุด
คนที่ถูกทิ้งเอาไว้ในนั้นคือผู้ที่เป็โอรสของตน ตัวพระองค์ผู้เป็ฮ่องเต้ควรจะต้องเป็ผู้ที่หาวิธีจัดการกับโรคระบาดนี้ให้จงได้สิ
หากไม่มียารักษา ประชาชนของพระองค์จะทำอย่างไร นอกจากนี้ บ้านเมืองของพระองค์จะเป็เช่นไรกันละ
----------------------------------------------------
